ตอนที่ 442 เขามาหาเราแต่เราไม่ไปหาเขานับว่าไร้มารยาท
สะใภ้หวังจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านเสร็จก็ให้หลี่เฉิงขี่ม้ามุ่งหน้าไปทางจวนตระกูลติงพร้อมฉินหลิวซี
“ท่านแม่เตรียมจะให้ของกำนัลกลับเช่นใดหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
สะใภ้หวังเอ่ย “สู้ก็สู้ไม่ได้ อำนาจก็เทียบไม่ติด คงทำได้แค่เล่นแง่ต่อปากต่อคำ สร้างความสะใจให้ลิ้นก็เท่านั้น”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว ยกนิ้วขึ้นมานับคำนวณดูถึงเอ่ย “เช่นนั้นพวกเรารอให้ถึงยามเซินสองเค่อ ค่อยไปเรียกเปิดประตูทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ จะมีเรื่องน่าประหลาดใจอย่างเหนือคาด”
สะใภ้หวังสังเกตเห็นท่านับมือของนางแต่แรกแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าทำนายหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ปากว้า[1]ชัดเจนขนาดนี้ หากไปถึงสถานที่นั้น ณ เวลานั้น คงเอาคืนได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก”
สะใภ้หวังรู้สึกกระวนกระวายใจ พอนึกถึงนางฉินผู้เฒ่าขึ้นมาก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ “เจ้าดูโหงวเฮ้งเก่งมากขนาดนี้ เคยเห็นหายนะของท่านย่าเจ้าวันนี้หรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “ข้ามองเห็นเพียงว่านางมีบุตรพิการ แต่ไม่รู้ว่าใคร แต่พอดูท่านกับพวกท่านอาสะใภ้รองก็เข้าใจแล้ว เรื่องนี้ข้ารู้นานแล้ว เพียงแต่ข้าไม่ได้เอ่ย”
สะใภ้หวังเหนือคาดอยู่บ้าง “เจ้ารู้นานแล้วหรือ”
“ราวๆ ตอนที่ท่านอาสามเกิดเรื่อง ประจวบกับตอนนั้นได้ดูโหงวเฮ้งของนางกับท่านอาสะใภ้สามพอดีเลยปะติดปะต่อกันได้” ฉินหลิวซีเอ่ย “ซีเป่ยไกลแสนไกล ต่อให้ข้าจะทำนายได้ แต่ข้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หากเป็นความโชคดีคงไม่มีหายนะ แต่หากเป็นหายนะก็คงหลบไม่พ้น ร่างกายพิการก็ยังรับง่ายกว่าตายไปอยู่บ้าง”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ หัวใจก็เต้นตึกตัก “เช่นนั้นน้องสามของเจ้า…”
“เขาปลอดภัยดีทุกอย่าง ตอนนี้ท่านแม่ชีวิตอาภัพเรื่องลูก รอยย่นห่างกัน ลักษณะบ่งบอกว่าจะอยู่ห่างไกลจากลูก แต่สุดท้ายจะได้มาบรรจบพบเจอกัน”
สะใภ้หวังน้ำตาร่วง นางปาดหางตา เอ่ยถาม “แล้วเจ้ารู้อายุขัยของท่านย่าเจ้าหรือไม่” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้นางก็ปัดป่ายมือแล้วเอ่ย “ช่างเถิด เผยความลับของสวรรค์ไม่ใช่เรื่องดีต่อเจ้า ไม่ต้องทำนายหรอก”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “นางอายุไม่ยืน”
หัวใจของสะใภ้หวังหนักอึ้ง มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พึมพำ “ถ้าฝืนรอจนพวกเขากลับมาได้ก็ตายตาหลับแล้ว”
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไร
รถม้าตกอยู่ในความเงียบ กระทั่งถึงยามเซินสองเค่อ รถม้าก็เคลื่อนมาถึงจวนตระกูลติง ตรงทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีประตูหัวมุมหนึ่งอยู่
สะใภ้หวังลงจากรถม้า ฉินหลิวซีช้ากว่าหนึ่งก้าวก่อนจะกระโดดตามลงไป
“หลี่เฉิง ไปเรียกให้เปิดประตูเถิด”
หลี่เฉิงเดินเข้าไปทุบประตูแล้วเดินถอยออกมา
ฉินหลิวซีเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยใบหน้าหนึ่ง เขาเป็นขอทานที่นั่งในตรอกซอยของพวกนางแต่ดันมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ นางกระดิกนิ้วให้ขอทานผู้นั้นก่อนชี้ไปทางริมกำแพง
ขอทานผู้นั้นไหวพริบดีไม่หยอก จากนั้นก็นั่งลงตรงตำแหน่งที่นางบอกแล้วแกล้งตาย
“ใครกัน” มีเสียงของบ่าวรับใช้ชายดังแว่วมาจากข้างประตู ประตูเสียงดังแอ๊ดก่อนเปิดออก
บ่าวผู้นั้นมองไปทางพวกสะใภ้หวัง กวาดตามองรอบหนึ่ง “พวกเจ้าเป็นใคร”
ฉินหลิวซีสายตาคมปลาบ พอได้ยินเสียงรถม้าแว่วมาก็รีบปรากฏกายในครรลองสายตาอย่างว่องไว
“ท่านแม่ พูดเถิด”
สะใภ้หวังกระแอมในลำคอ เอ่ยเสียงสูง “ข้าเป็นนายหญิงของตระกูลฉินอยู่ตรอกปาจิ่ง ซอยปาสี่”
“ตระกูลฉิน ซอยปาสี่หรือ” บ่าวขบคิดครู่หนึ่ง “นั่นเป็นบ้านเก่าของขุนนางที่กระทำผิด เสนาบดีสำนักกวงลู่มิใช่หรือ ท่านเป็นฮูหยินใหญ่หรือ”
“ใช่แล้ว” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ทรงไม่เอาผิดคนในตระกูลแล้วยังคืนบ้านเดิมให้ เมื่อก่อนจำได้ว่าใต้เท้าผู้ว่าการถือบิดาข้าเป็นอาจารย์จึงตั้งใจส่งเทียบมาขอเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ แต่คิดไม่ถึงว่าในบ้านจะวุ่นๆ จนไม่ได้เจอสักที”
ทันใดนั้นบ่าวน้อยก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่น แต่เหลือบเห็นรถม้าของจวนตนกลับมาจึงรีบทิ้งสะใภ้หวังไว้แล้วรุดหน้าเข้าไปหา
ภายในรถม้า ปรากฏบุรุษที่สวมอาภรณ์สูงศักดิ์กระโดดลงมาสองสามคนพลางมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่เสียงของสะใภ้หวังสูงไม่เบา พวกเขาจึงได้ยินกันหมด
ฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้นก็หลุบตาลงแอบหัวเราะ เขาคือคุณชายตระกูลติง ซึ่งก็คือบุตรชายของผู้ว่าการติง ส่วนพวกนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขา ไม่ผิดแน่
ติงหย่งเหลียงเห็นพวกสะใภ้หวังก็ถามบ่าวผู้นั้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“คุณชาย” บ่าวก้าวขึ้นไปหาพลางรายงานสถานะของสะใภ้หวังให้ฟัง
พอติงหย่งเหลียงได้ยินว่าเป็นตระกูลขุนนางที่มีความผิดติดตัวก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตนและตระกูลฉินในวันวานจึงฉีกยิ้มเดินเข้าไปหา จากนั้นก็ทำความเคารพ “ที่แท้ก็ฮูหยินของตระกูลฉินนี่เอง มาเยี่ยมเยียนท่านย่าหรือขอรับ รีบเข้ามาเถิด”
พอสะใภ้หวังเห็นเขา สายตาก็กวาดมองเหล่าคุณชายที่แต่งตัวด้วยอาภารณ์สูงศักดิ์ เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน้อยมิกล้าย่างกรายเข้าไปในจวนโอ่อ่าของท่านหรอก อาศัยที่ว่าฮูหยินติงผู้เฒ่าตั้งใจส่งวัตถุดิบยาไปให้ถึงจวน อีกทั้งแจ้งข่าวคราวของเหล่าคุณชายจากทางฝั่งซีเป่ยให้นางผู้เฒ่ารับรู้ ข้าหวาดหวั่นจนไม่กล้ารับไว้จริงๆ”
เวลานี้ฉินหลิวซีทำทีขุ่นเคืองใจ “ท่านแม่ พวกเขาเสแสร้งชัดๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าท่านย่าเป็นห่วงพวกเขาจนสุขภาพย่ำแย่ แต่ยังจงใจไปบอกเรื่องที่ท่านอาสามพิการถึงบ้าน บัดนี้ท่านย่าเป็นโรคหลอดเลือดในสมองนอนหมดสติอยู่บนเตียงไปแล้ว เหตุใดท่านยังต้องฝืนเกรงใจพวกเขาอยู่อีก”
นางปรายตามองไปทางติงหย่งเหลียงเอ่ย “หากท่านย่าของข้าเป็นอะไรขึ้นมาจนร่างกายรับไม่ไหว ตระกูลติงก็คือคนที่ฆ่าท่านย่าของข้า”
นางฉินผู้เฒ่าที่ถูกสาปแช่ง ความกตัญญูของเจ้าช่างแกร่งกล้าเสียจริง!
ติงหย่งเหลียงสีหน้าเปลี่ยน มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากด้านหลัง ซึ่งก็คือเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง
“ซีเอ๋อร์!” สะใภ้หวังใช้สายตาค้อนใส่ฉินหลิวซีไปที “พูดจาเหลวไหล ฮูหยินติงผู้เฒ่าเองก็เจตนาดี หลังจากรู้เรื่องนี้ยังช่วยพวกเราหาเงินเพื่อให้ท่านพ่อกับท่านอาๆ ของเจ้าใช้ชีวิตดีขึ้นมิใช่หรือ”
“ถ้าเจตนาดีจริงคงไม่ถึงขั้นส่งเทียบมาตั้งหลายครั้งแต่กลับหลบหน้าไม่อยากเจอหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างเรื่องเงิน บอกให้พวกเราขายร้านให้นาง จากนั้นก็เอาเงินพวกนี้ไปช่วยอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ร้านนั้นเป็นแค่ร้านเล็กๆ ที่คนแก่ สตรี เด็กน้อยในตระกูลเราต้องอาศัยเลี้ยงปากท้อง พอให้คนมาก่อกวนไม่สำเร็จก็ใช้ดาบอ่อนมาทิ่มแทงกัน ข้าว่าเป็นการจงใจเสียมากกว่า”
“เจ้าเด็กคนนี้…” สะใภ้หวังทำทีเอือมระอา มองไปทางติงหย่งเหลียง เอ่ยว่า “เด็กคนนี้ไม่ได้ถูกเลี้ยงสั่งสอนโดยข้ามา พูดจาโผงผางไม่รู้จักอ้อมค้อม คุณชายติงอย่าถือสาเลย”
ติงหย่งเหลียงโมโหจนกำหมัดแน่น สองคนนี้กำลังเล่นละครตบตากันอยู่แท้ๆ คิดว่าเขาโง่นักหรือไร
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น สู้ฮูหยินฉินเข้าจวนไปค่อยว่ากันดีกว่า” ติงหย่งเหลียงคิดว่าถึงอย่างไรเพื่อนๆ ของตนก็อยู่ด้วย เขาจึงฝืนรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้
“เข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดออกมาหรือเปล่า คงมิกล้า หลี่เฉิง จัดการยกของออกมา” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเอาแต่ใจ
หลี่เฉิงยกของในรถม้าออกมาวางไว้ตรงประตู
สะใภ้หวังเอ่ยเสียงอ่อนโยน “คุณชายติง วัตถุดิบยาเหล่านี้พวกเราคงไม่กล้ารับไว้ อีกอย่างในเมื่อจวนท่านชอบผลไม้แช่อิ่มกับขนมของร้านข้านัก ข้าเลยจัดเตรียมมาให้ด้วย ขอฮูหยินผู้เฒ่ารับไว้ก็พอ ซีเอ๋อร์ พวกเรากลับกัน ไม่รู้ว่าท่านย่าของเจ้าจะฟื้นหรือยัง เราต้องกลับไปดูแลอีก”
“ฟื้นขึ้นมาก็ดี แต่ถ้าไม่ฟื้นขึ้นมา…” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา เหลือบมองไปทางติงหย่งเหลียง “ก็ถือว่าเจตนาฆ่าคน!”
ติงหย่งเหลียงเผยสีหน้าถมึงทึงจับจ้องใบหน้าของฉินหลิวซี แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาขึ้นมาจึงเอ่ย “ช้าก่อน แม่นาง พวกเราเคยเจอกันที่ไหนหรือไม่”
เวลานี้ฉินหลิวซีแต่งตัวเป็นหญิง ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ทว่าใบหน้ากลับหยิ่งผยองวางมาดใหญ่โต โดยเฉพาะยามเหล่มองคน ท่าทีเย่อหยิ่ง ดวงหน้าเช่นนี้ เหมือนเขาเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ
ทว่าฉินหลิวซีไม่สนใจเขาพลางประคองสะใภ้หวังขึ้นรถม้า รวมถึงนางยังส่งเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนบอกขอทานผู้นั้นด้วย
ติงหย่งเหลียงเองก็ไม่ได้พินิจพิเคราะห์อะไรมากมาย เพราะเหล่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาบอกว่ายังมีเรื่องต้องหารือกันอย่างพร้อมเพรียง ชมหิมะครั้งหน้าค่อยว่ากัน ก่อนจะขอตัวแยกย้ายกันไป
เขาสังเกตเห็นว่ารถม้าสูงศักดิ์คันงามที่อยู่ด้านหลังรถม้าตระกูลติง คนด้านในยังไม่ทันลงมา ทว่ารถม้าก็เลี้ยวกลับจากไปแล้ว พลันก็อดใจหายวาบไม่ได้
[1] ปากว้า เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่สะท้อนหลักความเป็นจริงในวัฒนธรรมจีน