ตอนที่ 448 ข้าเล่นเป็นนิดหน่อย
ฉินหลิวซีชอบหมากสีดำและลงหมากเร็ว ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น นางยังคงเล่นหมากดำ
เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวไม่แปลกใจ หมากดำได้เดินก่อน สำหรับการเดินหมากแล้วถือว่าเป็นฝ่ายที่ไม่มั่นใจ หมากดำได้เดินเร็วกว่าหนึ่งก้าว ดูแล้วฉินหลิวซีน่าจะมีแผนเดินหมากอยู่ในใจ
ต่างคนต่างถือเม็ดหมาก ฉินหลิวซีได้วางหมากก่อน ดำก่อนขาวทีหลัง สลับกันวาง
เพิ่งเริ่มเล่นยังไม่เห็นอะไร เหยียนฉีซานจึงนั่งอยู่กับเจ้าสำนักศึกษาถังที่โต๊ะน้ำชาด้านข้าง หันไปมองพวกเขาสองคนวางหมากไปพลางสนทนากันไปพลาง
เหยียนฉีซานถามเจ้าสำนักศึกษาถังว่าได้ฉินหลิวซีมาเป็นศิษย์ได้อย่างไร เจ้าสำนักศึกษาถังจึงเล่าถึงการพบกันของทั้งคู่ ได้รู้ว่าฉินหลิวซีมีความสามารถด้านการแพทย์ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายให้เขาอีก ถ้วยน้ำชาในมือของเหยียนฉีซานเกือบถือไว้ไม่อยู่
“เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นหรือ” เด็กน้อยอายุสิบขวบก็จบการศึกษาจากอาจารย์ นางเป็นวิชาแพทย์ตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาแล้วหรือ ฟังพิสดารเกินจริงไปแล้ว
เจ้าสำนักศึกษาถังถอนหายใจพลางกล่าว “ข้าจะล้อเจ้าเล่นไปทำไม เด็กบางคนสติปัญญาดีมาตั้งแต่เกิด นางก็คือคนที่สวรรค์ประทานลงมา เป็นคนของเสวียนเหมินโดยกำเนิด นางเฉลียวฉลาด เพียงแต่ฉลาดมากเกินไปจึงทำให้ตัวเองบาดเจ็บ นางมองทะลุโลกนี้ได้ง่ายดาย รับรู้รสชาติความไร้น้ำใจของมนุษย์จนเต็มอิ่ม เสวียนเหมินยิ่งให้ความสำคัญกับเหตุและผลของห้าโทษสามวิบัติ และยังต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้นเช่นเดียวกัน”
เหยียนฉีซานมองไปยังฉินหลิวซี “คนคนนี้ไม่ได้มีแต่ส่วนดีเพียงอย่างเดียว”
เจ้าสำนักศึกษาถังเห็นด้วยอย่างยิ่ง
อาจารย์สองคนสนทนากันอยู่ทางนี้ เจียงเหวินหลิววางหมากอยู่ทางนั้น ยิ่งวางยิ่งช้าลง ตอนเริ่มวางหมาก ยังมีบางครั้งที่เขาเดินหมากแบบสบายๆ อยู่บ้าง มองเส้นทางการลงหมากของฉินหลิวซีที่ชอบการวางหมากรวดเร็ว ให้ความสำคัญกับความเร็ว โจมตีฝ่ายตรงข้ามจนรับมือไม่ทัน
แต่ที่เขาชำนาญที่สุดคือโจมตีรวดเร็ว ใช้ความอ่อนโยนพิชิตความแข็งแกร่ง ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากฉินหลิวซีต้องการใช้ความเร็วมาป่วนความคิดของเขา นางคิดผิดแล้ว
เจียงเหวินหลิวคิดว่าตัวเองจะชนะอย่างสบายๆ ในการประลองครั้งนี้ แต่เขายิ่งวางหมาก ความเร็วในการวางยิ่งลดลง โดยเฉพาะตอนที่เห็นฉินหลิวซีวางหมากอย่างไม่คิดมากแต่ปิดทางเขาเอาไว้ เห็นเหมือนเล่นตามอารมณ์ แต่หมากทุกตัวล้วนวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ปิดเส้นทางของเขาหมด
เขาค่อยๆ เปลี่ยนจากท่าทางสบายๆ เป็นรอบคอบระมัดระวัง
เหยียนฉีซานมองลูกศิษย์อย่างไม่ตั้งใจ เห็นหัวคิ้วเขาขมวดหากัน ท่าทางจริงจัง สีหน้าครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง เขาห้ามสีหน้าตะลึงงันไว้ไม่ได้
มีแค่ตอนที่เขาเล่นหมากกับอาจารย์ของเขาเท่านั้นจึงจะแสดงท่าทางระมัดระวังอย่างนี้ เหยียนฉีซานอดไม่ไหว เขาหยุดสนทนากับสหายชั่วคราว เดินไปดูอย่างเงียบๆ พอเห็นหมากของทั้งสองฝ่าย บนกระดาน เขาเลิกคิ้วขึ้น
เจ้าสำนักศึกษาถังเดินมานั่งคุกเข่าลงมองอย่างละเอียด “แบบนี้ถึงขั้นเดินหมากรูปแบบลึกลับแล้ว”
หมากรูปแบบลึกลับ จริงเท็จไม่แน่นอน ในจริงมีหลอก ในหลอกมีจริง หากหมากขาวต้องการชนะกระดานนี้จะเดินผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
ผิดก้าวเดียว พังทั้งกระดาน
มิน่าเล่าเจียงเหวินหลิวหมากตัวเดียวคิดอยู่นานยังวางไม่ได้สักที เหยียนฉีซานรู้สึกแปลกใจ มองไปที่ฉินหลิวซีที แล้วหันไปมองเจียงเหวินหลิวที หัวใจเต้นตึกตัก กระดานหมากที่วิจิตรปราณีตนี้ ดูเหมือนว่าไม่มีทางชนะเสียแล้ว เขามองบนกระดานหมากอย่างละเอียด กระซิบเบาๆ ว่า “มีแต่ต้องยอมเสียส่วนน้อย”
เจ้าสำนักศึกษาถังส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องปิดช่องว่างถึงจะมีทางรอด”
ฉินหลิวซีหันไปมองอาจารย์ทั้งสองแวบหนึ่ง นางออกปากเตือน “ดูคนเล่นหมากแต่ไม่ออกปากถึงจะเรียกว่าสุภาพชน”
อาจารย์ทั้งสองรู้สึกเก้อเขินเอามือถูจมูก พวกเขาฝืนยิ้ม “คันไม้คันมือ อยากแสดงฝีมือเท่านั้น”
เจียงเหวินหลิวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อาจารย์ทั้งสองแสดงความเห็น วางหมากต่อเพื่อบุกโจมตี ที่ว่าโจมตี คืออาศัยจุดแข็งของตัวเองด้านหนึ่งซุ่มโจมตีศัตรู แบ่งหมากของฝ่ายตรงข้ามออกเป็นสองส่วน เจตนาใช้ทางหลบหลีกเพื่อหาโอกาสทำลายล้างศัตรูแล้วพลิกสถานการณ์
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้น นางจึงเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะชนะแล้วนะ”
นางวางหมากอย่างรวดเร็ว แล้วถือไว้อีกสองตัว สถานการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน หมากดำของนางปิดล้อมฝ่ายตรงข้ามไว้อย่างแน่นหนา ในสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอน หมากขาวเดินก้าวไหนล้วนตายทุกเส้นทาง
อีกแค่หมากเดียว วางกรอบดักศัตรูไว้อย่างเงียบๆ หมากขาวไม่มีทางให้ถอย
ตัวหมากสีขาวในมือเจียงเหวินหลิวหล่นลงไปในโถใส่หมาก เหงื่อออกเต็มหน้าผาก เขามองการประลองหมากครั้งนี้ เขาแพ้แล้ว
เหยียนฉีซาน “…”
เจ้าสำนักศึกษาถังตบมือหัวเราะเสียงดัง
เจียงเหวินหลิวมองกระดานหมากอยู่ครู่ใหญ่ จึงยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น ประสานมือคารวะฉินหลิวซี “ข้าแพ้แล้ว ขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี”
“ข้าเลือกหมากดำได้เดินก่อนหนึ่งก้าว คุณชายยอมให้ข้าชนะต่างหาก”
เหยียนฉีซานจึงกล่าวว่า “อย่างนั้นมาเล่นกันใหม่อีกรอบ รอบนี้ให้ฉยงจังถือหมากดำ ”
ในใจเจียงเหวินหลิวคิดว่าไม่อยากแสดงฝีมืออันต่ำต้อยออกมาอีกเลย แต่เขาก็ต้องการเล่นอีกตา เขารู้สึกว่ารอบที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ไม่ได้ตั้งใจเล่น รู้สึกค้างคา
ดูแล้วยังมีเวลา ฉันหลิวซีจึงไม่ขัดข้อง คราวนี้นางถือหมากสีขาว
ถือหมากขาว ยิ่งต้องรวดเร็วกว่าหมากสีดำ ตานี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่ชั่วยาม นางกินหมากดำไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
เหยียนฉีซานร้อนรนจนทนไม่ไหวผลักเจียงเหวินหลิวออกไป “เจ้าเด็กน้อยไม่ได้ความ ข้าเอง ข้าเล่นเอง
ได้ สองคนสลับที่นั่งกัน จากนั้นสองศิษย์อาจารย์ถูกทารุณอย่างโหดร้ายไม่ต่างกัน
การเดินหมากของฉินหลิวซีส่วนใหญ่เดินเป็นเส้นตรง แต่เมื่อเดินไปทั้งกระดานแล้ว กลับวกวนยอกย้อน เจ้านึกว่าเห็นทางออกจึงวางหมากลงไป กลับพบว่าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างรวดเร็วยิ่งทำให้พ่ายแพ้เร็วขึ้น
เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวรวมกันสองคน เล่นหมากกับฉันหลิวซีสี่กระดาน พวกเขาแพ้รวด กระดานสุดท้ายเขาโยนหมากลงในโถใส่เม็ดหมาก เอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว “เจ้าว่าเล่นเป็นนิดหน่อย”
ฉินหลิวซีตอบ “ใช่” เป็นนิดหน่อย
“เจ้าเข้าใจคำว่านิดหน่อยผิดไปแล้ว?” เจียงเหวินหลิวรู้สึกอับจนคำพูด
วิชาการแพทย์ นางบอกเป็นนิดหน่อยสุดท้ายวินิจฉัยโรคดังผู้เชี่ยวชาญ ดูราศีใบหน้า นางก็เอ่ยว่าเป็นนิดหน่อย สุดท้ายให้คนธรรมดาอย่างพวกเขาเห็นรูปร่างพลังหยิน
การเล่นหมากล้อม นางก็เอ่ยว่าเป็นนิดหน่อย สุดท้ายพวกเขาโดนเล่นงานจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
ฉินหลิวซีเอ่ย “เล่นหมากข้าเล่นเป็นนิดหน่อยเท่านั้นจริงๆ แต่ค่ายอาคมคัมภีร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ยข้าศึกษาค้นคว้ามามาก ชุดค่ายอาคมก็อยู่ในคัมภีร์ จึงได้เชี่ยวชาญจากการฝึกฝน”
ค่ายอาคมให้ความสำคัญในแต่ละชั้นซึ่งมีความสลับซับซ้อน บางทีอาจมีสิบชั้น ถึงร้อยชั้นก็มี ในค่ายอาคมมีค่ายอาคมซ้อนอยู่เป็นชั้นๆ สมองต้องทำงานอย่างเฉียบขาดถึงจะสามารถทำได้ การทำลายค่ายอาคมก็เช่นกัน
เมื่อก่อนในวันที่ฉินหลิวซีขี้เกียจก็ยังต้องค้นคว้าศาสตร์ทั้งห้า คัมภีร์ตุ้นเจี่ย ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง
ล้อมหมากนางเข้าใจเพียงนิดหน่อยเท่านั้นจริงๆ แม้แค่คำเฉพาะที่ใช้กันในการเล่นหมากนางยังไม่รู้ รู้เพียงว่าจะใช้หมากสร้างค่ายอาคมอย่างไร คนอื่นเห็นเป็นหมากล้อมแต่ที่นางเห็นคือค่ายอาคมเป็นชั้นๆ
ได้ฟังคำพูดของนาง เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี
เจียงเหวินหลิวเอ่ย “หากเจ้าพบกับท่านอาจารย์เสี่ยน เกรงว่าเขาจะยิ่งอยากรับเจ้าเป็นศิษย์”
ท่านอาจารย์เสี่ยนสอนจากความคลั่งไคล้ในหมากล้อม เมื่อประมือกับฉินหลิวซีเขานั้นไม่อาจเอาชนะนางได้สักครั้ง ถ้าเป็นอาจารย์ของเขาเล่า
ฉินหลิวซีหัวเราะ “อย่าเลย ปกติข้าไม่เล่นหมากล้อม ข้าเพียงสนใจค่ายอาคมนิดหน่อยเท่านั้น” โดยเฉพาะเศษม้วนกระดาษบันทึกค่ายอาคมคุ่นเซียน นางได้ลองซ่อมแซมบันทึกอาคมนั่นด้วยตัวเองแล้ว
เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ยอย่างภูมิใจว่า “ไม่ว่าอย่างไร สรุปแล้วเด็กคนนี้ชนะ จ้งชิง รางวัลนี้?”
“เจ้าวางใจเถอะ มันต้องเป็นของนาง ข้าจะไปเอามาให้เอง”
ฉินหลิวซีอยากจะเอ่ยว่าไม่ต้อง เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้น แต่เหยียนฉีซานไม่ใช่พวกคนหน้าหนา เขาลุกออกไปจากห้องของเจ้าสำนักศึกษาถังเดินไปยังห้องที่เขาใช้พักค้างคืนในทันที
เจียงเหวินหลิวไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เดินตามอาจารย์ไป กลัวว่าเขาจะรีบร้อนจนสะดุดล้ม
เจ้าสำนักศึกษาถังเห็นพวกเขาออกไปกันแล้ว เอ่ยอย่างสบายอกสบายใจว่า “เจ้าทำให้ข้าได้หน้าครั้งใหญ่ เจ้านั่นโอ้อวดใส่หน้าข้าทั้งวันว่าเขาได้ศิษย์ที่หาได้ยากยิ่งคนนั้นมาอย่างไร ข้าก็เลยเรียกเจ้ามากดความฮึกเหิมของเขาลงสักหน่อย เจ้าก็ถือเป็นศิษย์ของข้านี่”
“ทำตัวเป็นเด็กเชียว”
เจ้าสำนักศึกษาถังถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่มีเรื่องนี้ ข้าจะได้ยินจ้งชิงเอ่ยได้อย่างไรว่าบ้านเจ้ากับตระกูลติงนั่นมีเรื่องบาดหมางกัน เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่”