ตอนที่ 449 ท่านปลุกวิญณาณอาฆาตขึ้นมาแล้ว
เมื่อถึงตระกูลติง ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ปิดบังอำพราง คำไม่กี่คำก็สามารถอธิบายความน่ารังเกียจของตระกูลติงได้
เจ้าสำนักศึกษาถังขมวดคิ้ว “แค่ร้านผลไม้แช่อิ่ม แล้วก็เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน ตระกูลติงทำไมถึงมองอะไรตื้นเขินเช่นนี้นะ ข้าจำได้ว่าสมัยก่อนติงโส่วซิ่นดูเหมือนจะเคารพท่านปู่เจ้าเป็นอาจารย์มิใช่หรือ”
“ก็เพียงลมปาก หากนับถือท่านปู่ข้าเป็นอาจารย์จริง ตระกูลฉินเกิดเรื่องขึ้น ไยหลบลี้ไม่เห็นหน้า” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา
เจ้าสำนักศึกษาถังได้ฟังเรื่องราว สายตาของเขาแสดงออกถึงความไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม “สัญชาตญาณคนจะแสวงหาโชคลาภ หลีกเลี่ยงโชคร้ายไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่จะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้ เป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆ กลับส่งเสริมให้คนในจวนกระทำความผิดโดยไม่ห้ามปราม เห็นได้ถึงนิสัยใจคอ”
แสวงหาโชคลาภ หลีกเลี่ยงโชคร้าย แต่อย่าเห็นคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ ยังไม่พูดถึงเมื่อก่อนที่เคยขอความช่วยเหลือจากบ้านเรา ตอนนี้บ้านเราอาศัยร้านนี้เป็นรายได้เลี้ยงชีวิตเพียงทางเดียว ยังคิดจะแย่งไป เกินไปแล้ว
“สงสัยเข้าตาจนแล้ว!” ฉินหลิวซียิ้มหยัน
เจ้าสำนักศึกษาถังถาม “ให้ข้าทำอะไรให้หรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่จำเป็น อะไรที่ควรทำข้าทำไปแล้ว ของที่ข้าอยากได้ ต้องดูว่าจะมีโชคได้มาหรือไม่” ข้าให้สะใภ้หวังรับหน้า เป็นหน้าที่ของนาง
เจ้าสำนักศึกษาถังใจเต้น เห็นนางไม่มีท่าทีกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย แต่คิดถึงความสามารถของนางจึงวางใจ ยังคงกล่าวอีกประโยคว่า “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ สามารถขอความช่วยเหลือจากข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดแต่เรื่องกรรมสนองอะไรพวกนั้น”
“ตกลง” ฉินหลิวซีตอบรับง่ายๆ เจ้าสำนักศึกษาถังรู้จักนิสัยนาง เรื่องที่จัดการได้จะไม่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น กลัวนางจะแบกเวรกรรมยิ่งกว่าเดิม
เขายังไม่ทันได้เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ใจคิดไปถึงจวนเจ้าเมืองติงที่อยู่หัวเมือง ต้องเขียนจดหมายไปบอกสหายทางนั้นให้เปิดโปงธาตุแท้ของตระกูลติงให้รู้ทั่วกัน ใช่แล้ว ยังมีผู้ตรวจการเซียวทางนั้นอีก ส่งจดหมายไปถามไถ่สักหน่อย อย่างไรก็ไม่ให้พวกเขาอยู่อย่างเป็นสุข เกี่ยวขาให้สะดุดล้มสักหน่อยถึงจะดี
อีกด้านหนึ่ง เหยียนฉีซานก็ได้ฟังจากปากลูกศิษย์เกี่ยวกับ ‘เรื่องดี’ ของฉินหลิวซีที่ทำไว้ที่หน้าจวนตระกูลติง ตอนนี้เรื่องของตระกูลติงถูกแพร่กระจายออกไปผ่านทางจดหมายแล้ว
“เด็กสาวคนนี้ มีความสามารถหลากหลาย” เหยียนฉีซานชมไม่ขาดปาก “แล้วยังเรื่องตระกูลติง หากินด้วยกลอุบาย หน้าไม่อายจริงๆ ร้านค้าเล็กๆ ก็มีค่าพอให้แลกกับชื่อเสียงตัวเอง โง่อะไรเช่นนี้” ร้านค้าที่เพิ่งเปิดกิจการจะหาเงินได้มากสักเท่าใด มองพวกเขาแล้วเหมือนสุนัขแย่งอาหารไม่มีผิด
“ขโมยแม่ไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวไปเป็นกำ[1]” เจียงเหวินหลิวเอ่ยอย่างเย็นชา
ตระกูลติงเป็นถึงขุนนางขั้นสี่แล้ว สายตามองอะไรตื้นเขินนัก ไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แม้ว่าเรื่องทำนองนี้ไม่แปลก พบเห็นได้ทั่วไป แต่พวกเขาเป็นชาวเมืองหลีเหมือนกัน อีกทั้งบ้านฉินยังเคยมีบุญคุณต่อพวกเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลฉินเป็นตระกูลนักโทษหรือไม่ เรื่องนี้แพร่ออกไปต้องถูกผู้คนประณามหยามเหยียด
เสียชื่อเสียงไปเพื่อแลกกับร้านค้าเพียงร้านเดียว โฉดเขลาเบาปัญญายิ่งนัก
เหยียนฉีซานเอ่ย “ตระกูลติงไร้คุณธรรม เจ้าก็อย่าไปคบค้าสมาคมกับติงหย่งเหลียงผู้นั้นเลย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กสาวลูกศิษย์เจ้าสำนักศึกษาถังคนนั้น ให้ความสนิทสนมได้ต่างกัน”
“เดิมทีศิษย์ก็ไม่ได้คิดจะสนิทสนมลึกซึ้งกับเขา” เจียงเหวินหลิวเอ่ย
เหยียนฉีซานพยักหน้า เขาหยิบพิณโบราณขนาดกะทัดรัดที่ห่อด้วยผ้าแพรออกมาจากห่อที่ถือติดตัวมาในการเดินทาง เขาเปิดผ้าแพรออก ลูบคลำลายดอกไม้สีแดงที่ส่วนปลายของพิณ ดอกไม้นั้นงดงามราวเปลวเพลิงอันโชติช่วง เขาพึมพำชื่นชมแล้ววางมันลงอีกครั้ง
พิณตัวนี้เสียงใสกังวาน เป็นพิณที่ดีตัวหนึ่ง เขาประมูลซื้อมันมา
เขานำกล่องใส่ชาดคุณภาพดีออกมาจากก้นหีบ เป็นชาดที่ร่อนได้มาเมื่อครั้งไปเยี่ยมเยียนสหายที่เมืองอวี่ เดิมทีจะเหลือเก็บไว้ใช้ทำสี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันควรจะมีประโยชน์มากกว่านั้น
“ไปกันเถิด”
“รีบมาดูเร็วว่ารางวัลนี้คือสิ่งใด” เจ้าสำนักศึกษาถังมองด้วยความสนใจไปยังเหยียนฉีซานที่ไปนำของขวัญกลับมา
เหยียนฉีซานส่งกล่องให้ฉินหลิวซี “ชาดชั้นดีที่ร่อนได้จากเมืองอวี่ น่าจะเหมาะให้เจ้าได้ใช้” ชาดคุณภาพชั้นหนึ่งเชียวนะ ต้องได้ใช้ประโยชน์แน่นอน
ฉินหลิวซีรับมาเปิดดู นางพินิจดูสีของมันอย่างละเอียด จึงเหลือบตาขึ้นเงยหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก…หืม?”
เหยียนฉีซานเห็นความประหลาดใจในสายตาของนาง อดถามออกมาไม่ได้ “ทำไมหรือ หรือว่าของรางวัลชิ้นนี้ไม่มีค่าพอ?”
“ข้าไม่ได้ติดใจของขวัญตั้งแต่แรก แต่ว่าปัญหาของท่าน” ฉินหลิวซีดึงสายใยพลังหยินออกจากตัวเขามาแล้ว นางจึงขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ดึงสายใยแห่งพลังหยินออกมาขจัดไปหมดแล้ว ท่านเดินกลับไปรอบเดียว ทำไมถึงมีสัมผัสของพลังหยินปะปนกลับมาอีก ท่านเหยียน ท่านนำของสิ่งใดเข้ามาในสำนักศึกษาแห่งนี้กัน?”
หลายคนในที่นั้นตกใจ สัมผัสเข้าอีกแล้วหรือ
เจ้าสำนักศึกษาถังกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จ้งชิง กลัวว่าเจ้าได้นำสิ่งไม่ดีติดตัวมาโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว“
เหยียนฉีซานคิดดูให้ดีอีกครั้ง สัมภาระของเขาก็ไม่น่าจะมีชิ้นไหนเป็นของไม่ดี?
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน เอ่ย “ข้าไปดูสักหน่อย”
ก่อนจะมาที่นี่เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวแค่ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงมาเท่านั้น สัมภาระมีไม่มาก ล้วนเป็นของที่ได้จากการทัศนาจร ฉินหลิวซีบอกจะไปดู เช่นนั้นก็ไปดู
เมื่อเข้ามาในห้อง นางมองไปรอบๆ หนหนึ่ง สายตาของนางจับอยู่ที่บนตะกร้าใบหนึ่ง นางเดินไปดู “ตรงนี้”
เจียงเหวินหลิวมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อสักครู่อาจารย์เพิ่งจะนำกล่องใส่ชาดออกมาจากตรงนี้เอง เขาเดินไปเปิดห่อของออก พลางเอ่ย “มีแต่ของธรรมดาทั่วๆ ไป”
แต่ฉินหลิวซีกลับหยิบสิ่งของลักษณะยาวๆ เหมือนแขนมนุษย์ที่ห่อด้วยผ้าแพรขึ้นมา พอเปิดออกดูจึงพบพิณโบราณตัวนั้น นางลูบตัวพิณเบาๆ รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง จึงถือวิสาสะดีดสายพิณตัวนั้น
เมื่อลงปลายนิ้วบนสายพิณ เกิดเสียงลึกยาว เป็นเสียงพิณอันไพเราะที่ทอดเสียงยาวออกไปเล็กน้อย ราวกับเสียงหญิงสาวที่กำลังกระซิบบอก เหมือนกำลังร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกและคับแค้นใจ
เหยียนฉีซานได้ยินเสียงพิณ เขารู้สึกเวียนศีรษะ สายตาเคลิบเคลิ้ม เหมือนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังลูบคลำพิณอยู่ เสียงพิณที่ทอดยาว ร้องบอกด้วยความเศร้าโศก ทำให้คนรู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทและเกลียดชังที่อัดแน่น อยากจะระบายออกมา
แกร็ก
เสียงพิณที่อยู่ๆ ดังเข้าหูทำให้พวกเขารู้สึกตัวขึ้นมา ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด
“ข้า นี่เกิดอะไรขึ้น?” คิ้วของเหยียนฉีซานขมวดเข้าหากันทั้งสองข้าง
“เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ย “เมื่อสักครู่เจ้าทำท่าเหมือนแมวป่าคลั่งที่อยากจะตะปบเหยื่อ หน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยม”
“เป็นไปได้อย่างไร” เขาเป็นสุภาพบุรุษที่เป็นดังนักปราชญ์ของขงจื่อ จะทำหน้าตาโหดเหี้ยมได้อย่างไร
ฉินหลิวซีกดสายพิณแล้วเอ่ย “เป็นการยึดติด หลงใหลจนกลายเป็นความแค้นของพิณตัวนี้ เสียงพิณดังขึ้น มันดึงด้านมืดในจิตใจของพวกท่านออกมา เมื่อครู่ หรือว่าพวกท่านไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาท?”
เหยียนฉีซานกุมหัวใจของตัวเองเอาไว้ เขารับรู้ถึงความรู้สึกนั้น เขามองไปยังพิณขนาดกะทัดรัดที่ประณีตงดงามนั้น รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง อดไม่ได้กลืนน้ำลายลงครั้งหนึ่ง “พิณตัวนี้ข้าได้มาจากการประมูลของเก่าที่โรงประมูลจิ่วเสียนในหย่งโจว ข้าเห็นว่าพิณตัวนี้ทำได้ประณีต เสียงก็ไพเราะ จึงเกิดความสนใจ แต่ตอนนั้นที่ข้าจับพิณขึ้นมาดีดเล่น กลับไม่เป็นเช่นนี้”
ฉินหลิวซีมองดูพิณอย่างละเอียด ที่ส่วนปลายมีลวดลายดอกหั่วเยี่ยนสีแดงแบ่งบานราวกับเปลวเพลิง สีสันของมันสวยสดงดงาม นางใช้นิ้วมือจุ่มลงในน้ำเล็กน้อยแล้วถู ปลายนิ้วติดสีแดงเข้มจนเกือบดำ เป็นเลือด
“นี่เป็นเลือดที่ท่านเหลือทิ้งไว้เมื่อบรรเลงพิณ?” ฉินหลิวซีจ้องมองขณะถือพิณที่เต็มไปด้วยพลังหยิน “ท่านปลุกวิญญาณอาฆาตที่ถูกขังอยู่ในพิณให้ตื่นขึ้นมาแล้ว”
เหยียนฉีซาน “?”
[1]ขโมยแม่ไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวไปเป็นกำ เดิมทีคิดเอาเปรียบผู้อื่น ลงท้ายกลับเป็นผู้เสียเปรียบเสียเอง