บทที่ 1034 เจ็ดสิบล้านปี บุกเบิกปฐมยุค
หานฮวงยืนอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศที่พังทลายอย่างทระนง ปราณอนธการพัวพันรอบกายดูราวกับลมพายุที่พัดแม่น้ำให้ปั่นป่วนอยู่เป็นนิจ อำนาจทรงพลังทำลายล้างห้วงมิติยับเยิน เขาทอดมองผู้ทรงพลังรายหนึ่งที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมอย่างยิ่ง
ผู้ทรงพลังรายนี้สวมชุดเกราะสีดำดุดัน เสื้อคลุมกันลมที่ดูคล้ายเปลวเพลิงปลิวสะบัดอย่างบ้าคลั่ง เรือนผมยาวแผ่สยายเปล่งประกายแสงแห่งมหามรรค เขามองหานฮวงที่อยู่สูงกว่าอย่างโกรธแค้น เสียงเยาะเย้ยถากถางจากรอบข้างทำให้เขายิ่งโกรธเกรี้ยวกว่าเดิม
“วันนี้ข้าจะไม่สังหารเจ้า จงไสหัวกลับไปบอกเหล่าผู้บำเพ็ญของโลกผลาญนภาเสีย วันหน้าเมื่อมาถึงฟ้าบุพกาลจงยอมสยบต่อข้าเสีย มิเช่นนั้นตัวข้าหานฮวงจะถล่มโลกผลาญนภาให้ราบ!”
หานฮวงพูดจาถากถางจากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไป
ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร!
พลังฝ่ามือแสนเผด็จการซัดผู้ทรงพลังเกราะดำปลิวออกไปจากฟ้าบุพกาล เหล่าผู้ทรงพลังที่ชมการต่อสู้อยู่พากันร้องชมว่าดี จากนั้นก็เหาะเข้ามาหาหานฮวงเริ่มเอ่ยเยินยอเขา
แต่จู่ๆ ผู้ทรงพลังรายหนึ่งกลับเอ่ยคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควรออกมา “หานฮวง โลกผลาญนภายังมาไม่ถึงเจ้าก็แสดงความแข็งแกร่งออกมาเช่นนี้ย่อมยั่วโทสะของโลกผลาญนภาเข้าแล้ว ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”
หานฮวงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ผู้ทรงพลังรายอื่นๆ ก็เงียบเสียงลง
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
ผู้ทรงพลังรายนั้นเปิดเผยไร้ความกริ่งเกรง สบตากับหานฮวงอย่างกล้าหาญ
หานฮวงแค่นเสียงคราหนึ่ง จากนั้นก็เลือนหายไป
เหล่าผู้ทรงพลังอดโล่งใจไม่ได้ โชคดีที่หานฮวงมิได้โหดเหี้ยมต่อชาวฟ้าบุพกาลด้วยกันเองขนาดนั้น
นับตั้งแต่หานฮวงแสดงพลังสะกดข่มกลุ่มมิ่งก็ได้กลายเป็นยอดมหามรรคอันดับหนึ่งไปโดยปริยาย ในสถานการณ์ที่อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่เผยตัวสู่โลกา ในฉากหน้าของฟ้าบุพกาลก็ยากจะเฟ้นหาตัวตนที่ทัดเทียมกันได้อีก
เหล่าผู้ทรงพลังก็จากไปเช่นกัน ข่าวเกี่ยวกับศึกนี้แพร่สะพัดไปทั่วฟ้าบุพกาลอย่างรวดเร็ว
ข่าวเกี่ยวกับโลกผลาญนภาก็แพร่ไปในฟ้าบุพกาล ทำให้ความคึกคักของงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งที่สองสลายลง แม้แต่ชื่อเสียงของจ้าวซวงเฉวียนที่ได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคก็ซาลงเช่นกัน ทำให้จ้าวซวงเฉวียนชิงชังโลกผลาญนภาอย่างยิ่ง
….
หนึ่งล้านปีต่อมา
โลกผลาญนภาชนเข้ากับฟ้าบุพกาล ห้วงมิติทั่วฟ้าบุพกาลเกิดความปั่นป่วนราวกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำ มหามรรคสามพันวิถีเกิดเสียงดังครืนๆ ขึ้นพร้อมกัน เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นในปวงสวรรค์หมื่นโลกา
โลกผลาญนภาไม่เล็กไปกว่าฟ้าบุพกาลเลย มีห้วงอวกาศเช่นเดียวกับฟ้าบุพกาล หลังจากทั้งสองโลกชนกันแล้วจู่ๆ ฟ้าบุพกาลก็ดูเหมือนขยายตัวเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ผู้ทรงพลังของสองโลกเริ่มแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบโลกอีกฝั่ง
หานเจวี๋ยที่ปิดด่านอยู่ก็ถูกรบกวนเช่นกัน แต่เขามองดูเพียงแวบเดียวก็ปิดด่านต่อไป
โลกผลาญนภาแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ถึงขั้นจะสยบฟ้าบุพกาลได้ เขาย่อมคร้านจะใส่ใจ
หลังจากโลกผลาญนภาเชื่อมต่อกับฟ้าบุพกาลแล้ว ภายในหมื่นปีแรกโลกมหามรรคทั้งสองต่างไม่รบกวนกันและกัน แต่ก็มีผู้บำเพ็ญตบะต่ำออกสำรวจห้วงอวกาศจนล่วงล้ำเข้าไปในเขตห้วงอวกาศของโลกมหามรรคอีกฝั่ง ทั้งสองโลกจึงเลิกเก็บตัวพากันออกมาเจรจาพบปะ
เทพมหาทัณฑ์มีฐานะเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคได้เข้าพบผู้นำดวงจิตมหามรรคของโลกผลาญนภา ไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายทำสนธิสัญญากันอย่างไร เมื่อผ่านไประยะหนึ่งผู้ทรงพลังของทั้งสองโลกก็เริ่มทยอยเดินทางเข้าสู่โลกของอีกฝ่าย เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นมา
สงครามชิงอำนาจอันวุ่นวายของฟ้าบุพกาลเริ่มลามไปถึงโลกผลาญนภา มีผู้นำกลุ่มอิทธิพลมุ่งหน้าไปยังโลกผลาญนภาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องการยึดครองพื้นที่ดินแดน ผู้นำกลุ่มอิทธิพลในโลกผลาญนภาก็แทรกซึมเข้าสู่ฟ้าบุพกาลเช่นกัน ผู้นำดวงจิตมหามรรคของทั้งสองโลกไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย นับว่าอนุญาตให้แก่งแย่งชิงอำนาจกันไปโดยปริยาย
เวลาผันผ่านไปรวดเร็วนัก
สองล้านปีต่อมา สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลเคยชินกับการมีอยู่ของโลกผลาญนภาแล้ว สรรพสิ่งของโลกผลาญนภาเองก็เช่นกัน
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบเจ็ดสิบล้านปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที มุ่งหน้าไปบุกเบิกโลกปฐมยุคขึ้นในดินแดนเวิ้งว้าง จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
[ท่านได้รับโอกาสใช้งานสวรรค์ประทานโชคหนึ่งครั้ง]
มาแล้ว!
หานเจวี๋ยเฝ้ารอให้รางวัลทางเลือกปรากฏขึ้นมาตลอด เขาเลือกตัวเลือกแรก จากนั้นก็กระโจนมาโผล่ยังดินแดนเวิ้งว้างบริเวณที่ร่างแยกอยู่อย่างรวดเร็วจากนั้นก็ปลดปล่อยโลกปฐมยุคออกมา
[ท่านมุ่งหน้ามาบุกเบิกโลกปฐมยุคในดินแดนเวิ้งว้าง ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา
หลังจากถูกปลดปล่อยออกมาโลกปฐมยุคก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ครอบครองพื้นที่ดินแดนเวิ้งว้างในละแวกนี้ ดูราวกับจุดดำที่เข้ากลืนกินสีขาวโพลนอย่างกะทันหัน จักรวาลโลกดวงดาวนับไม่ถ้วนขยายตัวขึ้นมา ราวกับดอกพลับพลึงที่เบ่งบานขึ้นในนรก งดงามตระการตา
ไม่นานนักโลกปฐมยุคก็อยู่ในขนาดที่แท้จริงแล้ว ใหญ่เทียบเท่ากับฟ้าบุพกาล!
ทันทีที่โลกปฐมยุคโผล่ออกมา อำนาจแกร่งกล้าสายหนึ่งก็เริ่มดึงดูดชักลากโลกปฐมยุคไปทางฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงจงใจเหาะออกมาให้ไกลที่สุด ด้วยความเร็วระดับนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ หลายพันล้านปีกว่าจะเข้าไปชนกับฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยจัดการส่งร่างแยกของตนเข้าไปในโลกปฐมยุค เพื่อป้องกันไว้ในกรณีมีผู้สร้างมรรคามาโจมตี
“หืม ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้สร้างมรรคารายที่หกถือกำเนิดขึ้นจากฟ้าบุพกาลอย่างเงียบเชียบ!”
เสียงหนึ่งพลันแว่วลอยเข้ามา ดังไปทั่วดินแดนเวิ้งว้าง เสียงกึกก้องทรงพลังกังวานอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยตัวจริงเปิดใช้งานยอดสมบัติทั่วร่างพลางถอนหายใจนิดๆ
ไม่คิดเลยว่าจะโผล่ออกมาเร็วขนาดนี้!
เขาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ดินแดนเวิ้งว้างเหนือโลกปฐมยุค สายตามองไปยังทิศทางหนึ่ง เห็นเพียงว่ามีไอหมอกดำกลุ่มหนึ่งกวาดม้วนตลบเข้ามาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ขนาดใหญ่โตนับเป็นครึ่งหนึ่งของโลกปฐมยุค
อีกฝ่ายโผล่มาอย่างยิ่งใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคิดจะประชันข่มขวัญเขา
หานเจวี๋ยก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เขาคือหน้าใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมีแต่ต้องสำแดงพลังออกมาถึงจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจกฎเกณฑ์!
เขาเพ่งสายตาในทันใด ปฐมยุคประทับนภาพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากลุ่มหมอกดำ ขยายใหญ่ขึ้นทันที เพียงพริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับโลกปฐมยุคแล้ว สกัดขวางอีกฝ่ายไว้อย่างทรงพลัง
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับอีกฝ่าย
[มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ: ผู้สร้างมรรคาระยะต้น ทวยเทพฟ้าบุพกาล ผู้สืบทอดฟ้าบุพกาลลำดับที่หนึ่ง ศิษย์สืบทอดของเจ้านวฟ้าบุพกาล]
เป็นแค่ระยะต้นก็กล้ากำแหงหรือ!
หมอกดำพลันระเบิดตัว กลายเป็นดวงจิตร่างมหึมาสูงใหญ่หลายพันล้านจั้งร่างหนึ่ง เป็นมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ เขาสวมอาภรณ์สีดำลายเปลวเพลิง มังกรดำดุร้ายสองตัวรองอยู่ใต้เท้า มีวิหคแปลกประหลาดที่ดูคล้ายนกอินทรีสองตัวเกาะอยู่บนสองไหล่ ใบหน้าดูคล้ายอิสตรีที่เจือรอยยิ้มแปลกพิกลไว้
รูปลักษณ์ภายนอกของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญดูคล้ายมนุษย์ ใบหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วมีใบหน้าอัปลักษณ์น่าเกลียดขนาดเล็กจ้อยงอกอยู่ ดูราวกับผีร้ายที่ดุดันน่าสยดสยอง
ไอสังหารน่าหวาดหวั่นนัก!
เป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยได้เผชิญกับไอสังหารระดับนี้
“หานเจวี๋ย เทพมารฟ้าบุพกาล อายุไม่ถึงร้อยล้านปีก็พิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้แล้ว บอกข้ามาว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเจ้านวฟ้าบุพกาลอย่างไร”
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญจ้องมองหานเจวี๋ยพลางเอ่ยถามเสียงเยียบเย็น ไอสังหารไร้สิ้นสุดคล้ายจะมีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง ไร้ตัวตนแต่คล้ายจะจับต้องได้ ก่อตัวเป็นสีโลหิตเข้าครอบคลุมดินแดนเวิ้งว้างในแถบนี้และเข้าปกคลุมโลกปฐมยุคด้วย
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านต้องการประกาศศึกกับข้าหรือ”
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญหัวเราะดังลั่น “ช่างโอหังนัก ก็ถูกแล้ว พลังระดับผู้สร้างมรรคาเพียงพอจะทำให้คนหลงทางได้ รุ่นเยาว์เอ๋ย เจ้าคิดว่าตัวเจ้าไร้พ่ายแล้วจริงๆ น่ะหรือ”
หานเจวี๋ยสำแดงพลังก่อปฐมยุคสิ้นสูญขึ้นมา ดาบแสงแห่งทัณฑ์เทพเจ็ดสายแผ่ขึ้นรอบกาย เขาตอบกลับอย่างสงบว่า “ไร้พ่ายยังอีกยาวไกล แต่ก็มีกำลังพอจะป้องกันตัวได้”
บรรยากาศตึงเครียดอย่างยิ่ง!
รัศมีของผู้สร้างมรรคาทั้งสองทะยานสูงขึ้นมา ทำให้เขตแดนไอโลหิตเริ่มพังทลาย
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญหรี่ตาลง รู้สึกตกใจอยู่ภายในใจ
‘เหตุใดพลังอำนาจของชนรุ่นเยาว์ถึงแกร่งกล้าปานนี้’
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญรู้สึกไม่ชอบมาพากล เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้ภายในร้อยล้านปี ซ้ำยังมาจากฟ้าบุพกาลโดยไม่ถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลสะกดข่มด้วย
เขาพลันนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีตกาลที่เจ้านวฟ้าบุพกาลเคยเล่าให้ตนฟัง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนในทันใด
………………………………………………………………