”นางจะย้ายกลับหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำ เขาเหลือบมองเซียนหนุ่มพร้อมกับดึงโซ่ขึ้นจากเตียงแล้วจึงโยนมันทิ้ง การเคลื่อนไหวนี้ก่อให้เกิดลมพัดออกมาจากเสื้อคลุมสีดำที่ยังติดกระดุมไม่ครบของเขา
เซียนคนนั้นมองเห็นความโกรธเกรี้ยวที่วาบขึ้นในดวงตาของตี้จวินได้อย่างชัดเจน
”เป็นวิธีต่อต้านที่ดีทีเดียว”
ดวงตาของเขาเย็นชาขณะเอ่ยเช่นนั้น โซ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกสลายกลายเป็นเถ้าทันทีที่เขาออกเดิน
เซียนคนนั้นไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร การย้ายออกไปจากที่นี่จะนับว่าเป็นการต่อต้านตี้จวินได้อย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่าทางสนิทสนมระหว่างอรหันต์หงส์เพลิงกับตี้จวินนั้นเป็นเพียงแค่การแสดง
และตอนนี้พวกเขามีเรื่องบาดหมางกันเพราะตระหนักได้แล้วว่าพวกเขาเข้ากันไม่ได้
เฮ้อ ผ่านไปแค่ไม่กี่วันพวกเขาก็จะสู้กันอีกแล้ว
เซียนคนนั้นส่ายหน้า แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถอนหายใจ ตี้จวินที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาก็ต่อยกำปั้นเข้ากับผนังอย่างกะทันหัน กล้ามเนื้อหน้าท้องที่เห็นได้รางๆ ของเขายิ่งดูดุดันขึ้นด้วยการกระทำนี้ ความสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้วบนร่างนั้นดูน่าหลงใหลอย่างยิ่งจนทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาไปได้
”นางเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทิ้งข้าไว้ข้างหลัง” ชายหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาไม่อาจมองเห็นได้ในความมืด แต่สีหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีดำยาวนั้นกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย็นชา
เซียนคนนั้นยิ่งรู้สึกสับสน ตี้จวินหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่านางทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจคำพูดของตี้จวินเลยแม้แต่คำเดียว
ชายหนุ่มเคลื่อนสายตาขึ้น เวลานี้มุมปากของเขายิ่งดูเจ้าเล่ห์ซุกซน ”ดูเหมือนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการเอาชนะใจนาง ไปเตรียมตัวซะ พวกเราจะไปที่แดนพระพุทธศาสนากัน”
”ไปแดนพระพุทธศาสนาหรือขอรับ” เขาคิดที่จะแก้แค้นอรหันต์หงส์เพลิงหรือ เซียนคนนั้นทำตาโตพร้อมกับคาดเดา จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างลังเลว่า ”ตี้จวินขอรับ การไปหาเรื่องคนอื่นถึงบ้านถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมมิใช่หรือ”
ชายหนุ่มเหลือบมองเขาอีกครั้ง ”ใครบอกว่าข้าจะไปหาเรื่อง ข้าจะไปสวดมนต์ชำระล้างสิ่งชั่วร้ายต่างหาก”
”เป็นเช่นนี้นี่เอง” เซียนหนุ่มก้มหน้าลงแล้วคิดกับตัวเองว่า ตี้จวินไม่เคยสนใจที่จะสวดมนต์มาก่อน หากพระพุทธศาสนาส่งจดหมายเชิญมาสักสิบฉบับ เขาก็จะไปร่วมพิธีสวดมนต์เพียงแค่ครั้งเดียวด้วยความรำคาญ แต่ทำไมวันนี้เขาถึงกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ล่ะ
เอาเถอะ ตราบใดที่เขาไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อหาเรื่องใครก็ดีแล้ว
เซียนคนนั้นผงกศีรษะเล็กๆ ของตัวเองขึ้นลง แล้ววิ่งออกไปส่งข้อความแจ้งทางพระพุทธศาสนา
ดอกบัวทองคำเป็นคนรับข้อความนั้น อย่างไรนางก็เป็นคนที่สวดมนต์ให้กับตี้จวินตลอดหลายวันที่ผ่านมา ดังนั้นคนที่ออกมาต้อนรับเขาในครั้งนี้จึงเป็นนางเช่นกัน
ดอกบัวทองคำได้รับข้อความว่าครั้งนี้ตี้จวินเป็นฝ่ายมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อฟังการสวดมนต์ ดังนั้นนางจึงสั่งให้บรรดาสามเณรทำความสะอาดห้องฝึกปฏิบัติธรรม และเตรียมกระทั่งพระไตรปิฎกฉบับมหายานเอาไว้ด้วย
แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้เข้าไปในห้องฝึกปฏิบัติธรรม ทว่ากลับหยุดอยู่ระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขาซวีหมี เขาจ้องมองต้นโพธิ์ที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกับขยำอาหารปลาในมือ ”สวดมนต์ที่นี่ก็แล้วกัน”
”ที่นี่หรือ” สีหน้าของดอกบัวทองคำแข็งตึงไปชั่วขณะ ก่อนที่นางจะยิ้มขึ้นเล็กน้อย ”ดูเหมือนตี้จวินจะไม่รู้ว่าในการชำระล้างสิ่งชั่วร้ายนั้น เราจำเป็นต้องอยู่ภายใต้แสงแห่งพระพุทธคุณเจ้าค่ะ พวกเรายังไปไม่ถึงห้องฝึกปฏิบัติธรรมเลยด้วยซ้ำ ข้าเกรงว่าการสวดมนต์ที่นี่จะไม่ได้ผลเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มได้ยินคำพูดของนาง แล้วจึงหัวเราะออกมา ”ข้าได้ยินมาว่าทุกคนที่ต้องการเป็นพระอรหันต์ต่างก็ต้องเดินผ่านทางเส้นนี้เพื่อเติมเต็มผลบุญของตัวเอง หากคิดเช่นนี้ แม้จะไม่มีแสงแห่งพระพุทธคุณ แต่การชำระล้างสิ่งชั่วร้ายบนทางเส้นนี้ย่อมให้ผลไม่ต่างกัน”
ไม่มีใครคัดค้านคำพูดของเขา เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดขึ้นล้วนแต่ถูกต้อง
ดอกบัวทองคำยิ้มออกมาเล็กน้อย นางไม่ได้พูดอะไรต่อ นางบอกให้สามเณรนำบทสวดมาที่นี่
รูปร่างหน้าตาของตี้จวินทำให้พระอรหันต์ผู้หญิงหลายคนที่เดินผ่านไปมาต่างต้องชะงักฝีเท้าลง
เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เขาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
ราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถนี้
สามเณรน้อยที่เดินตามหลังหงส์เพลิงอุทานขึ้นเมื่อเขาเห็นตี้จวิน ”โอ้ สวรรค์ นั่นตี้จวินนี่ขอรับ! ทำไมเขาถึงมาสวดมนต์อยู่ข้างนอกนี่ แทนที่จะไปที่ห้องฝึกปฏิบัติธรรมล่ะขอรับ”
หงส์เพลิงไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์รดน้ำต้นไม้เงียบๆ จากนั้นจึงยื่นกระบอกน้ำอันว่างเปล่าให้กับสามเณรน้อย ”ไปกันเถอะ”
นางกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบศีรษะของสามเณรน้อย
ฝีเท้าของสามเณรน้อยแฝงไปด้วยความลังเล เขายังอยากมองตี้จวินอีกสักสองสามครั้ง
ชะตาลิขิตให้พวกเขาเดินสวนกัน
ชายหนุ่มยิ้มทันทีที่สังเกตเห็นว่าหงส์เพลิงกำลังเดินมาทางเขา
สามเณรน้อยเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพว่า ”อมิตาพุทธ”
หงส์เพลิงมีท่าทางเหมือนปกติ นางพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย
สายตาของตี้จวินจมดิ่งในทันใด
เขาไม่พอใจกับการแสดงออกของหงส์เพลิงอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่านางมักจะทำเหมือนไม่สนใจไยดีสิ่งใด นางสามารถเริ่มต้นและจบทุกอย่างได้ทุกเมื่อที่นางต้องการ
”ตอนนี้เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรกับข้าเลยหรือ เจ้าคงกลัวข้าเสียแล้วกระมัง” คำพูดของชายหนุ่มฟังดูราวกับยั่วยุ ทุกคนที่อยู่รอบๆ ล้วนแต่ได้ยินมันอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นสามเณรหรือพระอรหันต์ทุกนางต่างก็หันไปมองทางเขาทั้งสิ้น
หงส์เพลิงหยุดเดิน แล้วมองเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว ”ตี้จวิน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
”ข้าคิดมากเกินไปหรือ” ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากของเขาแนบเข้ากับใบหูของนาง ”ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
นิ้วของหงส์เพลิงเกร็งแน่น นางเบี่ยงตัวออกจากเขาโดยไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว…
ชายหนุ่มหรี่ดวงตาคู่สวยลงทันที!
แม้กระทั่งคนหัวทึบอย่างสามเณรน้อยก็ยังมองออกว่าระหว่างทั้งสองมีบางอย่างผิดปกติ
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามเณรน้อยไม่เข้าใจ ทำไมความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงได้ตึงเครียดเช่นนี้ล่ะ
ดอกบัวทองคำรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนที่อยู่ในอากาศได้เช่นกัน นางจึงยิ้มแล้วก้มหน้าลง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยกับชายหนุ่มว่า ”ตี้จวินเจ้าคะ อรหันต์หงส์เพลิงชอบมารดน้ำต้นโพธิ์ที่นี่ นางชื่นชอบความเงียบสงบ พวกเราไปสวดมนต์ที่ห้องฝึกปฏิบัติธรรมกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
สามเณรน้อยชำเลืองมองตี้จวินที่อยู่ข้างหลังเขา แล้วยกมือขึ้นกระตุกชายเสื้อของหงส์เพลิง ”อรหันต์ขอรับ ตี้จวินดูไม่พอใจมากเลยขอรับ”
”กลับกันเถอะ” หงส์เพลิงตอบสั้นๆ อย่างไร้อารมณ์
หลังจากสามเณรน้อยพยักหน้า เขาก็เห็นว่าตี้จวินกลับเดินเข้ามาหาหงส์เพลิง เขากระชากร่างของนางเข้าหาตัวต่อหน้าทุกคน ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วประทับจูบลงที่ริมฝีปากของนางอย่างแม่นยำทันที!
ทุกคนต่างพากันอ้าปากค้าง อรหันต์ผู้หญิงแทบทุกนางต่างก็หันมามองทางพวกเขา
ในเวลานั้น สีหน้าของดอกบัวทองคำดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง และมือที่นางยื่นออกไปก็แข็งค้างอยู่กับที่
ดวงตาของหงส์เพลิงเบิกกว้างเพราะนางยังไม่ชินกับการถูกจูบ ปลายลิ้นของนางชาวาบจากการดูดของเขา นางรู้สึกแสบร้อนในปากทุกครั้งที่ลิ้นอันร้อนระอุดังเปลวไฟนั้นขยับไปมา แม้กระทั่งแผ่นหลังของนางก็ยังเริ่มสั่นสะท้าน…
นางกำมือแน่นและพยายามฝืนขบฟันเข้าหากัน
ชายหนุ่มปล่อยนางเป็นอิสระทันทีที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบนั้น ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยรสชาติของเลือด แต่แทนที่การกระทำนั้นจะทำให้ความเร่าร้อนนั้นเลือนหายไป มันกลับกระตุ้นความทรงจำบางอย่างกลับมา
หงส์เพลิงมองเขา และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”นี่คือวิธีที่ตี้จวินทักทายคนอื่นหรือ”
ชายหนุ่มลูบไล้ริมฝีปากที่มีเลือดออกของตัวเองพร้อมกับมองตรงไปที่หงส์เพลิง รอยยิ้มบนมุมปากของเขาดูชั่วร้ายจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทั้งสองดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะจูบกันมา แต่ดูเหมือนคนที่กำลังจะประมือกันเสียมากกว่า…