เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 128 ยอดปีศาจกิเลน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 128 ยอดปีศาจกิเลน

สองร่างเงา หน้ากับหลัง

เส้นทางแคบ ประตูสี่เหลี่ยมบานนั้น ช่วงที่จุดดาราความเป็นเทพจะเผาไหม้หมดนั้น ร่างเงาแคบยาวว่ายเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ซ่อนในเงามืด ตามหลังหนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยน

สองคนที่อยู่หน้าสุดถือแสงสีขาว แสงไฟริบหรี่สว่างออกไป สว่างไปข้างหลังสามสี่จั้ง ก็เหมือนดอกไม้ไฟกลางฟ้ายามราตรี ดับลงเช่นนี้ ดับกลางน้ำ ข้างหน้าข้างหลังมีแต่ความมืด

ดังนั้นร่างเงายาวสีดำนั้นจึงตามหลังสองคนอย่างเงียบเชียบ การเคลื่อนไหวของเขาเบามาก ตอนแหวกว่ายน้ำก็ไร้เสียง เหมือนเงามืดที่เกิดมาพร้อมกับน้ำ

เขามองท่าทางการว่ายไปข้างหน้าของสองคนเงียบๆ โดยเฉพาะสายตาจะจับจ้องไปที่หญิงเผ่ามนุษย์ที่ว่ายไปช้าๆ ท่าทางอ่อนหัดและไม่ชำนาญ

เด็กสาวคนนั้นงดงามมากจริงๆ ส่วนแสงสว่างในมือเด็กหนุ่ม หลังดับลงแล้วก็รวมที่ตัวนางอยู่ช่วงหนึ่งถึงได้ดับลง

“ข้าเคยได้ยินพี่บอกว่าทะเลพลิกผันแดนอุดร เขตแดนเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจยืนกรานกันมีแดนต้องห้ามโบราณมากมาย หากผู้บำเพ็ญเข้าไปในนั้นจะเจอกับอันตรายหลากหลาย จะได้โชควาสนาและโชคลิขิตเยอะมาก”

เด็กสาวพูดน้ำเสียงปลงอนิจจังเล็กน้อย “ตอนนี้พวกเราถือว่าเข้ามาในแดนต้องห้ามในตำนานหรือไม่”

“นับว่าใช่” หนิงอี้หลุดหัวเราะ เขาพูดเสียงเบา “เขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณถือว่าเป็นแดนต้องห้ามแล้ว ต่อให้พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบสูงเทพสวรรค์กว้างใหญ่ สำหรับผู้บำเพ็ญต้าสุยที่มีพลังบำเพ็ญปกติ ยอดปีศาจบุพกาลห้าหกร้อยปีพวกนั้นก็เป็นสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้คนอับจนหนทางได้ ฆ่าพวกมัน มอบให้ราชวงศ์ต้าสุยหรือสมาชิกสามกรมก็จะแลกเป็นทรัพยากรได้ไม่น้อยเลย ถือว่าเป็นโชควาสนากับโชคลิขิตที่ควรได้”

“ในอันตรายมีโชคอยู่ที่ว่าก็เป็นหลักการตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าจะอยู่ใต้ฟ้าต้าสุยหรือใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งฝอย กุ้งฝอยกินโคลนเลน”

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “สิ่งที่ราชันดาราดูถูก ดาราชะตากลับมองเป็นสมบัติ สิ่งที่ดาราชะตาไม่แยแส สิบขอบเขตกลับชอบจนวางไม่ลง…ฐานะยิ่งสูงการมองโลกก็ยิ่งสูง แต่ก็ไปถึงปลายทางเดียวกัน มีหลักการเดียวกัน หากวางผู้บำเพ็ญขอบเขตที่ห้ากับหกในภูเขาแดง แม้โชควาสนาที่นี่จะเยอะ แต่เหยียบค่ายกลสังหารก็มีแต่ความตาย สมบัติเยอะกว่านี้ มีชีวิตมองแต่ไม่มีชีวิตเก็บ จะมีประโยชน์อะไร”

สวีชิงเยี่ยนครุ่นคิด

ขอบเขตที่ห้ากับหก…หนิงอี้พลันนึกเย้ยเยาะ ตนก็เหมือนจะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตที่หกเท่านั้น เพียงแค่คำพูดเมื่อครู่ไม่เหมาะจะใช้กับตน ดังนั้นเขาจึงพูดเสริม “มีชีวิตใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งได้สมบัติใหญ่มากเท่านั้น หากลิขิตไว้ว่าเป็นของเจ้า เช่นนั้นต่อให้เจ้าอยู่เพียงขอบเขตแรก อีกฝ่ายขอบเขตที่สิบ ก็แย่งไปไม่ได้ แตะต้องไม่ได้”

สวีชิงเยี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

นางพูดงึมงำ “ก็เหมือนที่อารามรู้กรรมรึ”

หนิงอี้เห็นแววตาอมยิ้มของเด็กสาวก็รู้ว่า…เรื่องของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน เกรงว่าคงก่อคลื่นลมในเมืองหลวงไม่น้อย แรงกระทบกระเทือนในการเอาชนะองค์ชายสามน่าจะรุนแรงมาก แม้แต่สวีชิงเยี่ยนที่ถูกขังในตรอกฝนพรำยังรู้ มิน่าองค์ชายสามถึงแค้นตนเข้ากระดูก องค์ชายต้าสุย มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ นี่เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดแล้ว

“ก็ประมาณนั้น…” เขาหัวเราะเสียงเบา “ตอนแรกหลี่ไป๋หลินจะเชิญข้าไปประจักษ์การเป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานของเขา ต่อมาก็พบว่านี่เหมือนจะเป็นเรื่องตลก เขาเลยคิดว่าข้าแย่งทุกอย่างไปจากเขา แต่เขาพลาด ดังนั้นเขาถึงกลายเป็นตัวตลกจริงๆ”

คำพูดนี้ตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่เข้าใจไม่ยาก

สวีชิงเยี่ยนถอนหายใจ “เขาไม่ใช่คนดี”

“เขาติดค้าง” หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “ดังนั้นเขาถึงสมควรแล้ว”

เด็กสาวกลั้นขำไว้ไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้น มองช่องทางที่กำลังจะสว่างขึ้นตรงหน้าพลางพูดพึมพำ “ข้างหน้ามีอะไร”

หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจ “ในแดนต้องห้ามโบราณปกติจะมีสมบัติอยู่บ้าง…อย่างพวกไข่มุกวิเศษ ไข่มุกเงินทอง พวกนี้มีไม่น้อยแน่ แต่เจ้าน่าจะไม่ถูกใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นในลานบ้านตรอกฝนพรำมาไม่น้อยแล้วกระมัง”

สวีชิงเยี่ยนกัดปากล่าง ก่อนหน้านี้ไป๋ฉี่หยวนยกไข่มุกมาเป็นกล่องใหญ่ ให้ตนเล่น น่าเสียดายนางไม่ได้สนใจ…โลกนี้มีคนสองประเภทที่ไม่เข้าใจความหมายของสมบัติพวกนี้

หนึ่งคือคนที่ไม่เคยก้าวสู่ทางโลก อย่างเช่นสวีชิงเยี่ยน ไม่รู้ความล้ำค่าของสิ่งในชีวิตประจำวัน ไม่รู้จักประหยัดอดออมเพื่อครอบครัว แต่เป็นนกลายทองที่ถูกขังในกรง ผลประโยชน์เดียว เกรงว่าคงมีเท่านี้กระมัง

ประเภทที่สองคือผู้มีอำนาจกดขี่อยู่เหนือทุกคนอย่างแท้จริง

องค์ชายสามต้าสุยเป็นอย่างหลังแน่นอน

ในสองประเภทนี้ รวมถึงยอดผู้บำเพ็ญที่เหนือกว่าสิ่งของนอกกายอย่างโจวโหยว เจ้าตำหนักนภาม่วงแห่งสำนักเต๋า พวกเขาไม่มีความปรารถนา ใช้ศักยภาพของตัวเองได้ทุกอย่างที่ตนต้องการ

ทว่าในสองประเภทนี้ ไม่รวมหนิงอี้ในตอนนี้

ในสายตาหนิงอี้เหมือนจะขยับประกายวาว เขานึกไปถึงสุสานของมหาปราชญ์เผ่าปีศาจในตำนาน และเจ้าของภูเขาแดงท่านนั้น หากตอนมีชีวิตเป็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงสำนักเต๋าจริงๆ เช่นนั้นจะมั่งคั่งเพียงใดก็ยากจะจินตนาการได้

มหาปราชญ์เผ่าปีศาจเป็นคนระดับใด

นั่นต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตนิพพานใต้ฟ้าต้าสุย

ส่วนมหาเทพผู้ขจัดทุกข์ท่านนั้น เล่าลือว่าอยู่มาได้แปดร้อยปี เดินไปบนเส้นทางนิรันดร์ได้ไกลกว่าไท่จงในตอนนี้เล็กน้อย อาศัยการนั่งลืมเกิดในภพที่สอง น่าจะมีสมบัติระดับใดกัน

“ที่นี่ผนึกแสงดารา คัมภีร์แสวงมังกรไม่เจอเงื่อนงำ น่าจะไม่มีอันตรายอะไรมาก…” หนิงอี้พูดเสียงเบาในใจ “ทรัพยากร ทรัพยากร ขอให้ทรัพยากรข้าเยอะๆ ด้วย…”

ผนึกแสงดารา ไม่ได้หมายความว่าจะทะลวงพลังไม่ได้

ก็เหมือนภูเขาไท่ซานกดอยู่เหนือศีรษะ หากพลังมาก กระทั่งยกตัวภูเขาขึ้นได้ ภูเขานี้จำกัดแค่การใช้แสงดารา ให้ไม่อาจไหลเวียนในเลือด ไม่อาจรวมบนผิวกาย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงทะลวงผิวหนังออกมาใช้ข้างนอก

เทียบกันง่ายๆ หากพลังผนึกแสงดาราต้องมีพลังขอบเขตที่สิบถึงจะฝ่าได้ เช่นนั้นเจ้าอยู่ขอบเขตที่เก้าก็ได้แต่ถูกกดดัน แต่เมื่อเจ้าทะลวงขอบเขตที่สิบ เช่นนั้นผนึกพวกนี้จะยกพลังหลังจากทะลวงขอบเขตออกไป จะไม่ขวางเจ้าอีก…หนิงอี้รู้สึกได้ว่าละอองน้ำที่นี่มีการผนึกแสงดาราแข็งแกร่ง หากต่อไปตนไปถึงสุสาน มีทรัพยากรมากพอ หากทำให้ตนทะลวงขอบเขตที่หกไปถึงขอบเขตที่เจ็ด ก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยพลังฝ่าผนึกได้หรือไม่

หนิงอี้ค้างอยู่ขอบเขตที่หกมาระยะหนึ่ง ทำให้ตนได้ย่อยสิ่งที่สั่งสมมาบ้าง ทำความคุ้นเคยกับขอบเขตพลังตอนนี้ ความเร็วในการบำเพ็ญหลังจากเขาไปถึงเมืองหลวง เรียกได้ว่าพุ่งพรวด เทียบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นแล้ว ไม่ด้อยกว่าเลย หากไปถึงขอบเขตที่เจ็ด เช่นนั้นต่อให้ไม่อาจเผชิญหน้ากับศัตรูได้อย่างซึ่งหน้า ก็จะไม่น่าอนาถเกินไป ถึงอย่างไรก็อยู่ขอบเขตพลังใหญ่เหมือนกัน

ขอบเขตที่เจ็ดแปดและเก้าสามขอบเขตนี้ ก็ยังเป็นเทือกเขากั้นน้ำแต่ละขอบเขต สำหรับระดับความต่างแล้ว ผู้บำเพ็ญที่ขอบเขตพลังสูงกว่าขั้นหนึ่งจะใช้พลังกำราบขอบเขตต่ำกว่าได้จริงๆ แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไป

บุตรศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่สู้ข้ามขอบเขตพลังได้ ขอบเขตที่เจ็ดสู้ขอบเขตที่แปด ขอบเขตที่แปดสู้ขอบเขตที่เก้า นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่รีบร้อนทะลวงพลัง ฝึกบำเพ็ญไม่ได้หมายถึงกำลังรบอย่างเดียว

……

เส้นทางแคบยาวจะมาถึงสุดทางแล้ว

หนิงอี้สั่นมือ แสงสว่างของขลุ่ยกระดูกถูกกระจายออกไป เหมือนดอกไม้เต็มฟ้า ไหลเวียนไป

สวีชิงเยี่ยนได้ยินเสียงเด็กหนุ่มที่เบาอย่างยิ่ง

“กอดข้าไว้แน่นๆ”

พริบตาต่อมา

เกิดเสียงดังพรึ่บ ทันทีที่ร่มกระดาษมันนั้นกางออก เสียงกระแทกรุนแรงก็ดังขึ้นจากก้นน้ำ ยันต์กันน้ำพลันถูกกระแทกฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ กระแสน้ำมากมายไหลหลาก

ปลายร่มส่งแรงตบมหาศาลและดุดันเข้ามา เงาที่พุ่งเข้ามาจากในเงามืด ต่อให้ใช้กลอุบายทุกอย่างซ่อนเสียงของตนก็ยังถูกหนิงอี้พบ กางร่มไว้ได้ทัน ต้านการโจมตีนี้ไว้

ชายหนึ่งหญิงหนึ่งชนกับแรงกระแทกมหาศาล ลอยไปข้างหลัง

สวีชิงเยี่ยนกอดเอวหนิงอี้ไว้แน่น นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นไม่ชัดเลยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่นอกร่มมีเงาดำขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชนมาเป็นครั้งที่สองในเวลาอันรวดเร็วยิ่ง

ครั้งนี้หนิงอี้พลันหุบร่ม

ดังนั้นสวีชิงเยี่ยนจึงเห็นใบหน้านั้นชัดเจน

ยอดปีศาจหนุ่มที่ยันต์สีทองอมดำลุกโชตช่วง เหยี่ยวนั่นบนบ่าเขาไม่ได้ลงน้ำตามมากับเขา แต่บินสอดส่องอยู่บนยอดหุบเขาแดง เขาลงมาตัวคนเดียว ไม่อยากเชื่อว่าจะมาถึงแดนต้องห้ามที่ลึกลับที่สุดของภูเขาแดง

เขามาตั้งแต่เมื่อไรกัน

สวีชิงเยี่ยนเพิ่งคิดก็ถูกแรงกระเทือนอย่างรุนแรงตัดขาด

แสงสว่างสีขาวลักษณะโค้งสายหนึ่งพุ่งมาจากข้างเอวบุรุษร่างกำยำนั้น ถูกเขาคว้าไว้ ก่อนจะฟันจากบนลงล่าง

นั่นเป็นดาบเรียบทองอมเงิน ตัวกระบี่แคบยาว ฟันสายน้ำเหมือนกระดาษ มาพร้อมกับเสียงคำรามแหบแห้ง

พินิจเหมันต์ฟันไปเช่นกัน

ดาบและกระบี่ระดับสูงสุดสองเล่มนี้ปะทะคมกัน สองใบหน้าแทบจะชิดกันในแดนต้องห้ามสุสานที่ผนึกแสงดารา

หนิงอี้จ้องยอดปีศาจตรงหน้าเขม็ง การปะทะกันเมื่อครู่นี้ เขามองเห็นลายบนฝักกระบี่ยอดปีศาจหนุ่มชัดเจน สัตว์ร้ายนั่นที่แกะสลักบนนั้นเป็นกิเลนยอดปีศาจที่มีสายเลือดแข็งแกร่งมากในเผ่าปีศาจ

ในสามอันดับแรกรายนามรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ เล่าลือว่ามีผู้บำเพ็ญปีศาจที่ใช้ดาบอยู่คนหนึ่ง เคยสู้กับเฉาหลันแดนอุดรยังยากจะตัดสินได้ ไม่มีความต่างอะไรกับคนนี้ตรงหน้าเลย

ความเป็นเทพเดือดพล่านในที่ราบกระดูก เสริมพลังให้พินิจเหมันต์

ยอดปีศาจหนุ่มเปล่งเสียงหึจากในลำคอ

แรงสะท้อนกลับมหาศาลแยกสองร่างเงากันอีกครั้ง

ยอดปีศาจกิเลนก้าวเข้ามาในปากทาง

ส่วนหนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนอาศัยแรงสะท้อนกลับไหลออกนอกปากทาง

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก…โชคดีที่ที่นี่ผนึกแสงดารา ไม่อย่างนั้นดาบนี้เกรงว่าตนคงเป็นศพไปแล้ว

อีกฝ่ายเป็นทายาทยอดปีศาจโบราณ มีพลังสายเลือดแข็งแกร่ง ต่อให้ไม่มีพลังบำเพ็ญก็ยังอาศัยกลอุบายระเบิดสายเลือด ก็กำราบตนได้เช่นกัน

แต่ความโชคดีในโชคร้ายคือตนยังมีอาวุธสังหารยิ่งใหญ่อีก

ความเป็นเทพ!

………………………….

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท