ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 51 ออโรร่าน้อยและซิลวี่

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

หลังปลอบซิลวี่อยู่นาน ในที่สุดเธอก็ใจเย็นลง ทั้งตอนนี้ยังดูเริ่มกล้าพูดกับผมมากกว่าตอนที่เดินกับผมในเมืองอีกด้วย นี่นับเป็นผลดีเหรอเปล่านะ

“ว่าแต่ซิลวี่รู้จักท่านเอลดรานได้ไงเหรอ”

นี่เองเป็นสิ่งที่ผมสงสัย แน่นอนว่าเอลดรานถึงจะดูเก่งแต่ทั้งสภาพบ้านและสภาพตัวของเขาที่เป็นนักดาบพเนจรนั้นไม่น่าจะสามารถเป็นอาจารย์สอนดาบให้กับซิลวี่ได้ง่าย ๆ แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องของความสามารถแต่เป็นโอกาส

ลองคิดดูสิ โอกาสที่นักดาบบ้านนอกเช่นนี้จะสามารถพบกับเด็กสาวจากตระกูลขุนนางอันดับต้น ๆ ของราสเวนน่า ไม่ว่าจะตะแคงมองอย่างไรมันก็แทบเป็นไปไม่ได้

‘เด็กเปรตอย่างเจ้ากลายเป็นนักบุญที่ทุกคนต่างศรัทธายังเป็นไปได้น้อยกว่าอีก เจ้าจะมาสงสัยอะไรเนี่ย’

เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนล่ะเรื่องกันน่ะราส นายอย่าเอาความศรัทธาแปลก ๆ มาผสมกับเรื่องของทางสังคมสิ รู้ไหมว่าตัวละครที่โผล่มาแบบนี้อย่างท่านเอลดรานน่ะ มันเป็นอะไรที่น่าสงสัยมาก ๆ ไม่ว่าจะนิยายเรื่องไหนเลยนะ

“เรื่องนั้น เป็นเพราะได้อาจารย์ช่วยได้น่ะค่ะ”

“ช่วยไว้งั้นเหรอ?”

“ค่ะ ท่านออโรร่า…”

ผมยกมือขึ้นเป็นการให้เธอหยุดพูดก่อนจะคลี่ยิ้มให้ เพราะเธอดันไม่ยอมพูดคำที่ผมอยากได้ยินออกมาสักที

“เรียกอัลสิคะ”

“เอ่อ… จะดีเหรอคะ”

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

สีหน้าของซิลวี่บอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอนั้นกำลังลังเลใจอย่างสุด ๆ แต่เรื่องนั้นไม่ทำให้ผมเปลี่ยนความตั้งใจแน่นอน เพราะไหน ๆ ก็ได้เพื่อนที่คุยได้อย่างสนิทใจ ใครจะยอมให้อีกฝ่ายมาเรียกแบบห่างเหินแบบนี้กันล่ะ เหงาจะตายไป

“เอ่อ… ท่านอัล”

“แค่อัลก็พอค่ะ”

“อะ..อัล แบบนี้ได้ใช่ไหมคะ”

“อื้อแบบนี้แหละ”

แค่ได้ยินคนเรียกตัวเองอย่างสนิทสนมด้วยชื่อเล่นมันก็ทำเอาผมรู้สึกตัวเองอดยิ้มไม่ได้ นั่นเพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากท่านพ่อกับเจ้าเด็กผีในบ้านแล้ว ทุกคนยกย่องผมกันหมด นั่นมันทำให้เหงาไม่ใช่เล่น การที่ได้เพื่อนมาเล่นด้วยแบบนี้มันก็ทำเอาใจอบอุ่นสุด ๆ เลยล่ะ

‘ช่างเป็นความคิดของเด็กน้อยอย่างแท้จริง’

เงียบน่า เจ้านกบ้า

ราสยังคงแอบแซะผมเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด แต่คราวนี้มันต่างออกไป มันไม่ได้เป็นเสียงของนกขี้หงุดหงิด แต่เป็นเสียงราวกับผู้ใหญ่พูดกับเด็กอย่างเอ็นดู แต่นั่นล่ะ มันก็ยังน่าหมั่นไส้อยู่ดี ให้ตายสิ

“เล่าต่อเลยค่ะซิลวี่”

“เมื่อปีก่อน ตอนที่แอบหนีออกมาจากคฤหาสน์ของตระกูลตอนนั้นบังเอิญไปพบเข้ากับ ปีศาจร้ายน่ะค่ะ”

“ปีศาจร้าย? กลางเมืองเนี่ยนะคะ?”

ผมทวนขึ้นอย่างสงสัย เพราะที่ศึกษามาคร่าว ๆ ก่อนมาที่เมืองกรอลิเอล จำได้ว่าเมืองนี้ถูกปกป้องโดยวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การที่จะมีปีศาจหลุดมากลางเมืองได้แบบนี้นับว่าแปลกมาก

“ค่ะ ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ อาจารย์ก็เข้ามาช่วยเหลือพอดี ตอนนั้นเพลงดาบที่อาจารย์ใช้จัดการปีศาจพวกนั้นมันยังตราตรึงฉันมาตลอดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นจึงได้ขอร้องท่านอาจารย์ให้ช่วยสอนสิ่งนี้”

ซิลวี่เล่าไป พร้อมกันก็ยิ้มให้กับความทรงจำอันงดงามของเธอด้วย น้ำเสียงที่เธอพูดนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความเทิดทูนในตัวของท่านเอลดราน หรือเอาง่าย ๆ ว่าเธอกำลังพูดถึงไอดอลที่นับถืออยู่นั่นเอง

แบบนี้ยิ่งแปลก แปลกมากเลยว่าไหมราส มันประจวบเหมาะเกินไปไหม

‘เจ้าก็คิดเหมือนกันสินะ’

ใช่เลยบีสอง ผมก็คิดเหมือนนาย

‘บีสองอะไรของเจ้ากัน’

ลืมตัวไปหน่อย ดันตบมุกไปซะได้ โลกนี้มันไม่มีกล้วยหอมจอมซนนี่นา จะรู้จักก็ไม่แปลกหรอกนะ

‘กล้วยหอมอะไรนะ’

มันตัวละครของการแสดงที่สร้างความทรงจำอันไม่รู้ลืมให้แก่เด็ก ๆ ทุกคนในโลกเดิมของผมน่ะ บอกเลยว่าจำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากกล้วยหอมสองตัว

เขาไม่ตอบกลับอะไร สงสัยอาจจะเอือมระอากับการกระทำของผม แหม นี่มันเป็นสิ่งที่เหล่าเด็กสมัยก่อนเขาชอบเล่นเลยนะรู้ไหม

“จากนั้นก็เลยเรียนกับท่านอาจารย์มาตลอดสินะ”

“ใช่ค่ะอัล”

“ท่านอาจารย์คงเป็นคนที่สุดยอดมากแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ”

“ค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครใช้ดาบเก่งเท่านั้นมาก่อน.. อ๊ะ แต่ว่าอัลเก่งกว่านะคะ พลังดาบในตอนนั้นก็ไม่เคยเห็นใครเคยทำได้มาก่อนค่ะ”

“เอ่อ ขอบคุณนะซิลวี่”

ซิลวี่กำลังพูดชมอาจารย์ของตัวเองอยู่ก็รีบหันมาชมผมโดยทันใด ทำเอาผมรู้สึกว่าเธอน่ารักไม่ใช่น้อย จึงเผลอยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

ผมรับคำชมมาอย่างเขิน ๆ โดยไม่กล้าบอกเพื่อนรักของตัวเองว่าไอ้ที่เธอเห็นน่ะ มันก็แค่การคุมพลังไม่ได้กับการกลั่นแกล้งนิดหน่อยของใครบางคนบนฟ้าก็เท่านั้นล่ะ แต่ให้ตายไงก็ไม่บอกหรอก อายตายชัก

ยังมีอีกเรื่องที่สงสัย

“ว่าแต่ ปีศาจที่ว่านี่รูปร่างเป็นอย่างไรเหรอคะ?”

“เรื่องนั้น มันเลือนลางมากค่ะอัล หากจำไม่ผิดเหมือนเป็นร่างสีดำ ๆ มืด ๆ ที่ปล่อยไอชั่วร้ายออกมาน่ะค่ะ แถมตามพื้นที่มันเดินผ่านยังมีน้ำแข็งเกาะตามด้วยอีก”

ผี…

ฟังดูอย่างไร นี่มันก็ผีชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอไง ทั้งร่างจาง ๆ ทั้งมีความเย็นตามตัว นี่ท่านอาจารย์เอลดรานเป็นนักปราบผีเหรอนี่…. กลางกลอริเอลเนี่ยนะ บ้าน่า

“จำได้ว่ากลอริเอล มีวิญญาณผู้พิทักษ์ปกป้องไม่ใช่เหรอคะ เอ่อถ้าจำไม่ผิด….”

ตายล่ะ เรียนมาแค่นี้ รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีเลยที่ดันอ่านหนังสือข้อมูลแคว้นก่อนมานี่ไม่จบเพราะความขี้เกียจ

อาย แบบนี้อายตายชัก อุตส่าห์โชว์ภูมิแต่ตกม้าตายกลางทาง แย่แล้วไง ราสช่วยผมด้วย

‘ข้าจะรู้เหรอ นี่มันเรื่องเกิดหลังจากข้าโดนผนึกนี่ ไงล่ะบทเรียนชั้นดีเลยไหม’

แง้ ผมขอโทษ

“ค่ะ วิญญาณผู้พิทักษ์ ฟรอเซีย”

ช่างเป็นคนดีอะไรเยี่ยงนี้ ซิลวี่ เธอนี่มันเป็นเพื่อนที่ดีสุด ๆ ไปเลย รู้ว่าผมพูดไม่ได้เลยรีบตอบกันเขินสินะ คนดี เพื่อนผมคนดีที่สุดเลย

คิดได้แล้วผมก็เผลอคว้ามือของเธอขึ้นมาก่อนจะมองแบบน้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยความประทับใจในน้ำใจอันดีงามของซิลวี่

“ขอบคุณมากเลยนะซิลวี่ เป็นคนดีจริง ๆ”

“ด้วยความยินดีค่ะ..เอ๋ เอ่อ อะไรกันคะเนี่ย อัล ท่านออโรร่าคะ ฉันคือฉัน…!!!”

สงสัยผมจะเผลอมากไปหน่อย การจับเนื้อต้องตัวแม้จะเป็นเพศเดียวกันมันก็ออกจะถึงเนื้อถึงตัวเกินไป ทำให้ซิลวี่เริ่มทำตัวไม่ถูกจนเริ่มพูดไม่เป็นภาษา ผมที่รู้สึกตัวได้ก็รีบปล่อยมือออกมา

“ขอโทษด้วยค่ะ เผลอดีใจไปหน่อย”

“ดีใจอะไรกันคะน่ะ??”

“ไม่มีอะไรหรอก มาต่อเรื่องของฟรอเซียดีกว่านะ”

ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยทันทีเพราะกลัวว่าจะทำให้บรรยากาศอึดอัด และก็ยังรวมถึงความสงสัยของตัวผมเองอีกด้วย

“ท่านฟรอเซีย อดีตนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่านักบุญแห่งเหมันต์ ต้นตระกูลแห่งเดอ ฟรอเซียซึ่งได้รับดาบศักดิ์สิทธิ์ซิลฟรอเทียมาจากพระเจ้าเพื่อสังหารปีศาจร้ายในดินแดนนี้ค่ะ”

“ท่านฟรอเซียเป็นวิญญาณผู้ปกปักเมืองนี้งั้นเหรอ”

“ไม่ค่ะ แต่เป็นดาบของท่าน ซิลฟรอเทีย เดอะวินเทอร์เบนซึ่งท่านได้ร่ายอาคมเอาไว้จนมันกลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งกลอริเอลค่ะ”

อุ้ยหน้าแตกเลยผม.. เขินนิด ๆ

“เหมือนจะจำผิดไปต้องขอโทษด้วยนะ”

“มะ..ไม่หรอกค่ะ อัลมีเรื่องให้เรียนรู้มากมาย จะผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่แปลกหรอกค่ะ”

โอ๊ะ…..

“นั่นสินะคะ ขนาดฉันที่เป็นนักบุญยังผิดพลาดได้ แล้วทำไมซิลวี่ที่เป็นขุนนางจะผิดพลาดไม่ได้ เรามาช่วยเรียนรู้และแก้ความผิดพลาดของกันและกันเถอะค่ะ”

ผมพูดไปพลางยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันน่ารักเกินกว่าใครจะต้านทานได้ของออโรร่าน้อย นั่นก็เพื่ออยากเป็นกำลังใจให้คนตรงหน้าอีกนิดหน่อย ที่พูดย้ำไปครั้งนี้ก็แบบนั้นแหละ

“ขอบคุณมากนะคะ”

ซิลวี่ยิ้มอย่างมีความสุขออกมา จนตอนนี้บรรยากาศอึดอัดก่อนหน้านั้นสลายหายไปไม่มีเหลือแม้แต่ร่องรอยนั้นทำเอาผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

“แล้วดาบนั่นสรุปคือผู้พิทักษ์สำหรับป้องกันวิญญาณร้ายสินะ”

“ค่ะ เพราะกรอลิเอลนั้นเป็นดินแดนซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสนามรบขนาดใหญ่ ทำให้มีวิญญาณแค้นมากมายทั้งของปีศาจและมนุษย์ แต่ด้วยพลังของผนึกที่สามารถอ่อนลงตามกาลเวลาทำให้วิญญาณร้ายพวกนั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ค่ะ”

ฟังดูก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ เพราะขึ้นชื่อว่าอาคม ตามหลักการแล้วก็ไม่มีทางที่จะอยู่ได้ตลอดเวลา นานไปพลังงานมันก็หมด หากอยากให้ใช้ต่อได้อีกก็คงมีแต่ต้องหาพลังงานมาเพิ่ม…

อย่าบอกนะว่า

“หมายความว่าที่ฉันมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องอาคมงั้นเหรอคะ”

“พิธีที่ต้องเชิญนักบุญมาร่วมการเฉลิมฉลองก็เพื่อการนั้นค่ะ เพื่อต่ออาคม”

“ไม่ยักรู้สึกว่าสัมผัสได้เท่าไหร่เลยนะ”

ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจเรียน แต่ว่าความสามารถการสัมผัสพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผมเองก็ได้รับมาจากพระเจ้าพร้อมกับพลังนักบุญ แต่ตอนที่เดินไปสำรวจปราสาทของผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของอาคมที่ว่าได้เลยแม้แต่นิดเดียว….

“เอ๋…สัมผัสอะไรไม่ได้งั้นเหรอคะ?”

“ไม่มีอะไร ๆ แค่กำลังพยายามสัมผัสถึงพระเจ้าน่ะ”

ผมรีบตอบแก้ตัวไปทันทีเพราะนึกได้ว่าเรื่องที่ตัวเองเพิ่งค้นพบนั้นมันเรื่องใหญ่มากขนาดไหน เพราะการที่สัมผัสถึงพลังของดาบไม่ได้นั้นก็เท่ากับดาบไร้ซึ่งอาคมไปแล้ว และเมื่อไร้อาคมก็ไร้สิ่งใดปกป้องเมือง ดังนั้นผีร้ายจำนวนมากก็สามารถที่จะออกมาจากผนึกได้

ภาพตอนเล่นวิ่งไล่จับแกล้งเจ้าราสได้ย้อนเข้ามา ตอนนั้นด้วยความสติแตก ผมจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมาก แต่พอนึก ๆ ดูแล้วนั้น ระหว่างที่ผมร่ายเวทมันก็มีเสียงกรีดร้องจำนวนมากดังไม่หยุด

พอทวน ๆ ความจำของตัวเองดู ไอ้สิ่งที่กรีดร้องนั่นมันก็เป็นร่างดำ ๆ ลอยได้แบบวิญญาณที่ซิลวี่เล่ามาให้ฟังไม่มีผิดเพี้ยน….. ซวยแล้วไง ผีบุกเมือง

ขืนพูดออกไป ชาวบ้านได้แตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่านจนป่าช้าแตกแน่นอน

จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ต้องวางแผนให้ดี ๆ ก่อน สงสัยกลับไปต้องปรึกษากับนายแล้วล่ะ ราสแล้วว่าจะต้องเอาไงต่อดี

‘อืม นั่นสินะยัยหนู ข้าก็ได้กลิ่นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกับเจ้า แยกตัวเจอเพื่อนเจ้าแล้วข้าว่าเราต้องหารือกันจริง ๆ จัง ๆ แล้วสิ’

“ต้องขออภัยที่รบกวนค่ะ!!! ฉันเผลอทำเรื่องผิดมหันต์ไปแล้วสิ”

ซิลวี่ร้องออกมาอย่างตกใจ สีหน้านั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พร้อมกันมือทั้งสองก็รีบขยับไปมาเพื่อทำท่าอธิษฐานขอโทษต่อพระเจ้า นั่นทำเอาเธอจิตตกหนักไปกว่าตอนแรกอีก

ให้ตายสิ ปมในใจอันเนิ่นนานดันมาสู้ไม่ได้กับเรื่องขัดการคุยระหว่างผมกับเจ้าคนกวนโอ๊ยงั้นเหรอ ซิลวี่ เธอจะจิตตกง่ายไปแล้วนะ แต่ไม่ต้องห่วง ออโรร่าคนนี้จะช่วยเหลือให้เธอยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้เอง

แต่ก่อนอื่นขอช่วยเมืองนี้ให้รอดก่อนนะ เพราะหากเมืองนี้พังไป ผมได้อดกินขนมขึ้นชื่อของกลอริเอลแน่!!!!

 

 

—————————————————————————————————————————–

ช่วงนี้เป็นช่วงปูเนื้อเรื่องนะครับ จะพยายามต่อให้จบภาคแดนเหนือให้ได้ โดยภาคนี้จะลดความกาวและเพิ่มเนื้อหา ก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับมันนะครับ

 

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท