การหนีเที่ยวของผมได้จบลงในทันทีเมื่อได้รับรู้ถึงความซวยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองกลอริเอลแห่งนี้ ดังนั้นจึงรีบให้ซิลวี่นำทางกลับไปที่ปราสาทโดยตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง เพราะคุณเพื่อนรักก็ห่วงอาจารย์ แต่จะไปเองก็กลัวว่าจะหลงทางกลับบ้านไม่ได้
ดังนั้นจึงใช้สุดยอดเหตุผลแสนง่ายแต่ได้ผลชะงัก
พระเจ้าสั่งมา…
“ต้องขอภัยจริง ๆ ค่ะ รู้ว่าซิลวี่เป็นห่วงท่านอาจารย์แต่ว่า ฉันได้ยินเสียงค่ะ เสียงของพระองค์ที่บอกถึงบางสิ่งที่ฉันต้องไปทำ”
แน่นอนมันโคตรของโคตรจะได้ผล ซิลวี่ไม่แม้จะถามอะไรเพิ่มก็รีบพยักหน้ารับ ส่วนท่านอาจารย์จริง ๆ แกก็ไม่ได้สลบหรือหมดสติอะไร จึงได้ช่วยผมบอกซิลวี่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงทำให้เธอพอเบาใจแล้วนำผมกลับปราสาทได้
แน่นอนว่าออกมาทางไหนก็กลับเข้าไปทางนั้น ทางหมารอดที่ใช้ออกมาก็มุดกลับเข้าไปเหมือนเดิม ใครเห็นคงอนาถใจกับสภาพนักบุญของอาณาจักร
“ซิลวี่คะ ช่วยนำไปได้ไหมคะที่ห้องผนึกดาบซิลฟรอเทียได้ไหมคะ”
“อัลจะไปทำไมงั้นเหรอคะ… ถ้าเป็นเรื่องพิธีมันน่าจะเกือบอีกอาทิตย์เลยนะคะ”
“ได้ยินเสียงน่ะ เสียงของพระองค์ที่บอกว่าฉันต้องทำอะไรสักอย่าง หากไม่ทำมันจะต้องเกิดเรื่องแย่แน่ ๆ ค่ะ”
ไหน ๆ ก็แกล้งผมมาเยอะ ขอยืมชื่อมาใช้บ้างอะไรบ้างคงไม่เป็นอะไรหรอกจริงไหม พระเจ้าที่รักเอ๋ย
“งั้นเหรอคะ… เข้าใจแล้วค่ะ”
ใบหน้าของซิลวี่ดูตรึงเครียดขึ้นมาทันทีทันใด ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเข้าใจคำพูดของผมไปแบบไหนกันแล้วแต่ว่าเรื่องนั้นขอปล่อยไปก่อน ชะตาเมืองมันสำคัญกว่ามากนัก
แต่ทำไมกันนะ ตั้งแต่พูดเมื่อครู่นี้ไปทำไมตาขวามันกระตุกแบบแปลก ๆ หวังว่าจะไม่ซวยแบบที่คิดหรอกนะ… นายพอรู้อะไรไหมราส
‘เรื่องผนึกนั้นข้าเองก็บอกไม่ได้จากแค่คำบอกเล่าหรอก เพราะมันสร้างขึ้นมาภายหลังข้าหลับไป แต่ถ้าไปถึงข้าคิดว่าพอช่วยเจ้าตรวจสอบได้’
เรื่องนั้นฝากด้วยแล้วกัน
“ห้องที่เก็บดาบนั้นอยู่ส่วนในของปราสาท ห้องนั้นจะเปิดเฉพาะช่วงพิธีการสำคัญค่ะแต่ถ้าเป็นอัลขอล่ะก็ น่าจะไม่มีปัญหานะคะ”
“อย่างงั้นเหรอ.. จะดีจริงเหรอให้เข้าไปกันก่อนถึงงานพิธีน่ะ”
“เป็นพระประสงค์ของพระองค์ท่านไม่ใช่เหรอคะ ถ้างั้นก็ไม่มีกฎไหนจะมาขวางอัลจากหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี่หรอกนคะ”
รู้สึกรักในยศของตัวเองก็ตอนนี้แหละ อะไรมันจะสะดวกสบายผ่านได้ตลอดแบบไม่มีอะไรมาขวางขนาดนั้น ทุกคนให้อำนาจกับเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบมากเกินไปแล้วนะ!!!
เดินกันไปเรื่อย ๆ อย่างเร่งรีบก็เริ่มรู้สึกว่ามีคนหลายคนมองมาที่พวกผมกันอย่างชัดเจน นี่พวกนายจะสงสัยอะไรกันนักหนา เด็กวิ่งเล่นกันมันเรื่องปกตินะ อย่าสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ
“ซิลเวีย เดินเร่งรีบเช่นนี้กำลังไปไหนงั้นเหรอ”
เสียงร้องทักดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำเอาพวกผมหยุดชะงักไปชั่วขณะ มันเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ผมรู้สึกคุ้น ๆ น่าจะเป็นช่วงไม่กี่วันก่อนในช่วงที่ผมมาที่แห่งนี้
“กริยาเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งบุตรีแห่งฟรอเซียจะกระทำเลยนะ ซิลเวีย”
อ่า.. พ่อซิลเวียนี่เอง ว่าอยู่ว่าคุ้น ๆ แต่ที่นึกยังไม่ออกเพราะโทนเสียงที่ใช้นั้นต่างกัน โดยเสียงที่เขาใช้กับผมตอนนั้นมันเป็นเสียงที่เปี่ยมล้นด้วยความเคารพและศรัทธา ในขณะที่น้ำเสียงของเขาตอนนี้เป็นเสียงดุ ๆ ของคุณพ่อสุดเคร่งตามตำราไม่มีผิดเพี้ยน
สองมาตรฐานเสียจริง ๆ ก็รู้อยู่ว่าออโรร่าน้อยน่ะน่ารัก แต่ว่าซิลวี่เองก็น่ารักมากนะคุณพ่อ แถมอายุก็ยังไม่เกินสิบขวบ อย่าสองมาตรฐานเลยน่า
“เรื่องนั้น…”
ใบหน้าของซิลวี่ดูหมองลงไป เป็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่าเด็กคนนี้นั้นโดนเลี้ยงดูมาอย่างเก็บกดขนาดไหนภายใต้กฎของบ้านขุนนางชั้นสูง ผมจึงรีบยื่นมือของตัวเองไปกุมมือของเธอเพื่อให้กำลังใจ
รับไปซะ พลังแห่งความสดใสของออโรร่า!!!
ไม่ใช่แค่นั้น ผมทำการลดแลกแจกแถม นอกจากจับมือให้กำลังใจและยังยิ้มให้กับเธออีกด้วย แบบนี้น่าจะพอช่วยได้บ้างล่ะนะ
“ต้องขออภัยค่ะท่านพ่อแต่ว่า….”
มือของซิลวี่ที่ผมจับนั้นสั่นเทา นั่นหมายถึงเธอกำลังหวาดกลัวในสิ่งที่กดทับเธอมานาน หวาดกลัวในการที่จะเดินออกจากข้อกำหนดทั้งหลายของความเป็นขุนนางแต่ว่าผมมั่นใจ มั่นใจว่าเธอนั้นต้องก้าวออกมาได้ขอแค่พูดมันออกมา
เอาเลยซิลวี่ ออโรร่าคนนี้เป็นกำลังใจให้ สู้เขา แค่บอกว่าตัวเองต้องการอะไรไป!!!
“แต่ว่าตอนนี้ท่านออโรร่าน่ะ มีเรื่องอันสำคัญที่จะต้องไปที่ห้องผนึกแห่งซิลฟรอเทียตามประสงค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นต่อให้จะเป็นกฎใดของขุนนาง ลูกก็พร้อมที่จะละเลยมันค่ะ”
ห๊ะ?
“เรื่องสำคัญงั้นเหรอซิลเวีย เจ้าหมายถึง…”
“ผนึกแห่งฟรอเซียอ่อนกำลัง วิญญาณร้ายแอบลักลอบข้ามเขตแดน ท่านออโรร่า… ท่านนักบุญได้รับบัญชาแห่งพระเจ้ามาให้จัดการโดยด่วนค่ะ”
เดี๋ยว ได้ข่าวว่าผมไม่ได้พูดถึงขั้นนั้นเลยนะซิลเวีย ไอ้ผนึกอ่อนกำลังกับวิญญาณร้ายบุกเมืองน่ะ แม้แต่ส่วนเดียวของคำพูดก็ไม่มี แค่พูดว่ามีเรื่องสำคัญกับเหตุร้ายเท่านั้นเองนะ!!
“งี้นี่เอง เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ด้วย”
เมื่อกี้คุณพ่อยังซีเรียสกับกริยาของคุณลูกอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วไหงมายอมรับอะไรง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร แบบนี้กำลังใจที่ผมส่งไปมันก็เสียเปล่าไม่ใช่เหรอไงเล่า
“ทุกคน นี่เป็นลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งส่งท่านนักบุญมาช่วยเราในยามที่เราละเลย ท่านนักบุญผู้เป็นที่รักแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้บอกถึงผนึกที่พวกเรามั่นใจได้อ่อนกำลังลง หากไม่ทำอันใดเมืองของเราจะล่มสลาย”
ใจเย็นก่อนท่านดยุค ยังไม่ได้พูดถึงขั้นนั้นเลยนะ ไม่สิ ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แบบนี้มันแอบอ้างชัด ๆ ช่วยเอาสติกลับมาที่ตัวกันก่อนได้ไหมทุกคน!!!
“อย่างงี้นี่เอง”
“นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะมองข้ามไป”
“สมเป็นท่านนักบุญ”
พวกแกก็ยอมรับง่ายไปไหม ตามหลักการแล้วอย่างน้อยมันก็ต้องมาเถียงหน่อยไม่ใช่เหรอไงว่าผมพูดผิดหรือพูดจาไร้สาระ ไม่ก็ต้องมีประโยคในตำนานอย่าง “พูดอะไรบ้า ๆ ผนึกแห่งฟรอเซียนั้นไม่มีวันที่จะถูกทำลาย” อะไรแบบนั้นก่อนสิ
นี่ยอมรับเลยเหรอ ไม่มีแม้แต่จะเถียงเลยเหรอ!!!
จะบอกว่าขอแค่ออโรร่าน้อยพูดอะไรมาก็พร้อมที่จะเชื่ออย่างสุดใจงั้นเหรอ… สติ ช่วยตั้งสติกันหน่อยเถอะ
“สั่งเตรียมนักบวชทั้งหมดของแคว้นและเพิ่มการระวังภัยโดยด่วน นักรบที่เกณฑ์ได้ก็ไปตรวจตรารอบเมืองทันที”
ใจเย็นนนนน ท่านดยุคโปรดใจเย็นก่อน นี่มันจะไปกันใหญ่แล้วนะ ผมแค่จะไปตรวจสอบไหงตอนนี้กลายเป็นประกาศเคอร์ฟีลภาวะฉุกเฉินระดับภัยพิบัติไปได้ล่ะ แย่แล้วไงแบบนี้!!!!
ใครก็ได้ ใครก็ได้หยุดท่านดยุคที พวกขุนนางน่ะ มันต้องมีใครสักคน ใครสักคนที่บอกว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยสิ
“เข้าใจแล้วครับท่านดยุคฟรอเซีย…. ข้าจะรีบสั่งปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้เพื่อกันไม่ให้มีผู้ร้ายฉวยโอกาส”
“ส่วนข้าจะรีบสั่งการให้เหล่าชาวบ้านไปหลบภัยขอรับ”
“ทางวิหารจะทำการสวดส่งพลังเพื่อสนับสนุนท่านนักบุญเอง”
ไม่เหลือคนที่มีสติแล้ว!!! นี่ทุกคนไหลไปตามท่านดยุคหมดแล้ว จากเรื่องสงสัยเท่าขี้มด ตอนนี้มันกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปแล้ว ใครก็ได้หยุดมันที!!!
“เอ่อเรื่องนั้นหนูว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่กันดีไหมคะ ยังไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนเลยค่ะว่าผนึกนั้นแตกจริง”
ผมพยายามจะหยุดไม่ให้เรื่องมันบานปลายจึงรีบพยายามร้องห้ามออกไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มของเหล่าขุนนางและท่านดยุคที่เปี่ยมล้นไปด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า
“ท่านนักบุญช่างมีเมตตาห่วงจิตใจของพวกเรายิ่งนัก แต่ขอท่านอย่ากังวล พวกเราคือเมืองนักรบ ไม่ว่าอันตรายใดพวกเราก็พร้อมรับมือและพร้อมสนับสนุนท่านไม่ให้ต้องรับมืออย่างโดดเดี่ยวคนเดียแน่นอน”
ท่านดยุคที่กล่าวมาพร้อมกับเหล่าขุนนางที่พูดขานรับคำกันอย่างพร้อมเพรียงทำเอาผมอยากเอาหัวมุดถังปี๊ป
นี่มันไม่ฟังกันเลยแม้แต่น้อยนี่นา!!!
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ซิลวี่ที่ใบหน้าหม่นหมองมาตลอดทางก็เริ่มยิ้ม ยิ้มอย่างมีความสุขมากจนทำเอาผมเริ่มเหงื่อตกอย่างเป็นกังวล
“ฉันทำได้แล้วค่ะ ฉันได้ใช้ความกล้าเพื่อช่วยอัลได้แล้ว”
ช่วยให้มันยุ่งกว่าเดิมสิซิลวี่!!!
——————————————————————————————-
เป็นตอนสั้น ๆ เพื่อปูสู่เนื้อหาหลักนะครับผม ก็ดูสิว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อไป ออโรร่าน้อยจะสร้างผนึก? ได้ไหมหรือว่าชาวเมืองจะสติแตกกันจนเมืองระเบิดก่อน