ตอนที่ 290 พูดถึง(1)
ตอนที่ 290 พูดถึง(1)
เซี่ยเจ๋อหลี่ฟังสิงเจิ้งหาวพูดแล้วก็จดจำเอาไว้ หลังจากนั้นก็ตบบ่าสิงเจิ้งหาวแล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ ฉันเข้าใจเรื่องนี้แล้ว นายก็อย่าคิดมาก แต่ต่อไปถ้าเหยาอี้หนิงติดต่อนายมาอีก นายก็อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ลองดูก่อนว่าเขาคิดจะทำอะไร”
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ครอบครัวเซี่ยเจ๋อหลี่ช่วยเหลือภรรยาของเขา เขาก็จดจำน้ำใจนั้นเอาไว้ จากนั้นก็เลิกมองเซี่ยเจ๋อหลี่ในทางอคติ นอกจากนี้ก็ยังเริ่มชื่นชมอีกฝ่ายทีละเล็กละน้อยด้วย เซี่ยเจ๋อหลี่เป็นคนที่มีความสามารถมากจริง ๆ เทียบกับเหยาอี้หนิงแล้วดีกว่ามาก
และเมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นว่าสิงเจิ้งหาวยอมรับฟัง ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วโบกมือลาเขา
ฉินเคอเหล่ยเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มา ก็อดถามไม่ได้ “อาหลี่ พวกเรากลับกันเลยไหม?”
เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้า แล้วพูดขึ้น “ได้ กลับกันเลย”
หลังจากมองกลับไปครั้งสุดท้าย แววตาของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับไป ฟู่ซวี่ตงก็เดินมาหา “อาหลี่ ทำไมนายถึงเดินเร็วขนาดนี้ล่ะ ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญดี ๆ กับนายเลย”
ในตอนนี้ ด้านหลังฟู่ซวี่ตงคือติงจ้วง หวังเจียเหอและคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดคือสมาชิกกลุ่มเดียวกัน
“ผู้กองเซี่ย ทำไมนายถึงรีบไปจังล่ะ พวกเรายังไม่ได้ลานายดี ๆ เลย”
“ใช่แล้ว ต่อให้ขาเจ็บ แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนงานก็ได้นี่นา”
พวกลูกทีมในทหารกองที่หนึ่งต่างชื่นชมเซี่ยเจ๋อหลี่ ครั้งนี้ก็ได้ออกไปทำภารกิจด้วยกัน จึงทราบด้วยว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ได้รับบาดเจ็บอย่างไร พวกเขาไม่อยากให้เซี่ยเจ๋อหลี่ลาออกไปจริง ๆ
เซี่ยเจ๋อหลี่มองพวกลูกทีมตรงหน้า ดวงตาฉายแววความอบอุ่น เขายกยิ้มแล้วบอกกล่าวกับพวกเขา “ต่อไปก็ยังมีซวี่ตงอยู่ พวกนายก็เชื่อฟังเขาด้วยล่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะเปลี่ยนงานแล้ว ฉันก็จะกลับมาเยี่ยมพวกนายบ่อย ๆ”
“ผู้กองเซี่ย ถ้าอย่างนั้นนายอย่าเพิ่งรีบไป พวกเราอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ ก่อนจะยกยิ้มแล้วพยักหน้า
ฉินเคอเหล่ยย่อมไปด้วยกันอยู่แล้ว สุดท้ายสิงเจิ้งฮ๋าวก็มาด้วย ทุกคนกินข้าวกันในโรงแรมรัฐอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นก็ไปส่งเซี่ยเจ๋อหลี่
เมื่อรถไฟเริ่มออกตัว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็หันกลับไปมอง พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ฉินเคอเหล่ยเห็นเช่นนี้ จึงอดพูดปลอบใจเสียไม่ได้ “อาหลี่ จริง ๆ นายไปทำงานที่สถาบันวิจัยก็ดีนะ จะได้กลับมาหาครอบครัวได้ แล้วอีกอย่างก็ได้ทำงานที่เดียวกับท่านเจี่ยงด้วย พวกนายก็จะได้ดูแลกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยกยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ผมก็คิดว่ามันดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องพูดปลอบใจผมหรอก”
ฉินเคอเหล่ยเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น จึงไม่พูดอะไรอีก เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องปลอบใจคนสักเท่าใด
และเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยถามเรื่องลุงใหญ่กับคนอื่น
“พี่ใหญ่ พวกลุงใหญ่จะมากันเมื่อไหร่เหรอ?”
ฉินเคอเหล่ยได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวทันที “อาจจะอีกนานเลย เพราะยังเช่าบ้านไม่เรียบร้อย ถึงจะเช่าแล้วก็ต้องรอให้พวกพ่อทำงานที่ไร่ให้เสร็จก่อน”
“ก็จริง แต่ถ้าพี่ใหญ่ติดขัดตรงไหน ก็มาบอกพวกผมได้นะ”
ฉินเคอเหล่ยได้ยินแล้วก็ยกยิ้ม “อาหลี่ ขอบใจพวกนายมากนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนาย ฉันกับเคอเจี๋ยคงไม่มีวันได้มาที่ปักกิ่งแน่ แล้วก็คงไม่กล้าคิดเรื่องเช่าบ้านในปักกิ่งด้วย”
“พี่ใหญ่ การที่พวกพี่ได้มา เราก็ดีใจเหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่พูดจากใจจริง ฉินเคอเหล่ยก็รู้สึกมีความสุขมาก
ทั้งสองนั่งรถไฟกลับไปเมืองหลวง แต่เมื่อมาถึงท้องฟ้าก็มืดแล้ว โชคดีที่ฉินเคอเหล่ยอยู๋ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงสามารถหารถได้ ทั้งสองจึงนั่งตรงกลับไปที่บ้านตระกูลเจี่ยง
ซูหว่านอี๋กำลังทำของว่างอยู๋ในครัว เมื่อเห็นพวกเขากลับมากันแล้ว สีหน้าก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“อาหลี่ เคอเหล่ย น้าคิดว่าเราจะกลับมากันเร็ว ตอนนี้กำลังทำของว่างให้พวกเธออยู่ รีบไปล้างมือเร็วเข้า แล้วมากินสักหน่อย”
มองดูบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้า เซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินเคอเหล่ยก็รู้สึกหิวกันนิดหน่อย จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ครับ พวกเราจะรีบไปล้างมือ”
หลังจากทั้งสองนั่งลงแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็อดถามไม่ได้ “แม่ครับ มู่หลานกับลูก ๆ สองคนหลับแล้วเหรอครับ?”
“ใช่ มู่หลานเข้านอนไปพร้อมกับลูก ๆ แล้ว เดี๋ยวกินเสร็จเธอก็กลับไปพักผ่อนซะนะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าแล้วขานรับ
ทั้งสองคนกินกันรวดเร็วมาก ไม่นานนักก็กวาดกันเกลี้ยงชาม หลังจากซูหว่านอี๋ทำความสะอาดเสร็จ ก็บอกให้ทั้งสองคนไปพักผ่อน
เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานตื่นขึ้นมาก็พบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ ยามเห็นว่าเขากลับมาแล้วก็ยกยิ้มอย่างเสียไม่ได้
ในตอนนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้น เห็นภรรยากำลังยิ้มสดใสมาให้ตัวเอง แววตาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “มู่หลาน คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้ค่ะ”
พูดจบ ฉินมู่หลานก็ยันตัวลุกขึ้นนั่ง “พวกเรารีบลุกเถอะ วันนี้พวกพ่อกับแม่จะมาหา แล้วเราจะไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเหยากัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็คิ้วขมวดเล็กน้อย
“ไปกินข้าวที่ตระกูลเหยาอีกแล้วเหรอ?”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเซี่ยเจ๋อหลี่ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ “เป็นเพราะเรื่องเปลี่ยนงานของคุณ หลังจากที่คุณตารู้เรื่องของคุณ เขาก็อยากให้เราไปกินข้าวด้วยน่ะค่ะ”
“จริง ๆ ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ผมก็แค่เปลี่ยนงานเอง”
“แต่คุณตาก็ชวนแล้ว ถ้างั้นเราก็ไปกินข้าวกันเถอะ” ขณะที่ฉินมู่หลานพูดก็ไปดูลูกทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าพวกเขายังหลับอยู่ แววตาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เจ้าหนูสองคนนี้ ยังไม่ตื่นเลย”
ในตอนนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เดินมาเช่นกัน เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนยังหลับอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“มู่หลาน คุณไปล้างหน้าก่อนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่ดูพวกเขาที่นี่เอง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็ไม่ปฏิเสธ ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน”
ฉินมู่หลานล้างสร็จเรียบร้อยก็พบว่าเด็กทั้งสองตื่นแล้ว ตอนนี้เซี่ยเจ๋อหลี่กำลังเล่นกับลูกทั้งสองคนอยู่ “เฉินเฉินกับชิงชิงตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ จริง ๆ ก็ไม่ร้องหิวนมเลยนะเนี่ย”
เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พวกเขาเพิ่งตื่น พอเห็นผมก็ชวนผมเล่นเลย”
เพิ่งจะพูดจบ เด็กทั้งสองก็ยื่นมือมาทางฉินมู่หลาน แล้วไม่สนใจเซี่ยเจ๋อหลี่อีกเลย
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นแบบนี้ ก็แค่นหัวเราะด้วยความน้อยใจแล้วพูดขึ้น “สองคนนี้ร้ายกาจจัง เมื่อกี้เห็นผมอยู่คนเดียวยังชวนเล่นอยู่เลย แต่พอเห็นคุณก็ทิ้งผมซะอย่างนั้น”
ฉินมู่หลานได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเขาคงจะหิว เอาเถอะ คุณรีบไปล้างหน้าได้แล้ว เดี๋ยวฉันให้นมลูกก่อน”
หลังจากเด็กทั้งสองกินอิ่มแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งล้างหน้าล้างหน้าเสร็จก็เดินเข้ามา หลังจากนั้นทุกคนก็พากันไปที่ห้องอาหาร
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่หลี่คงมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคนในกองมากทีเดียว ออกทีมีแต่คนอาวรณ์
ไหหม่า(海馬)