ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 291 พูดถึง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 291 พูดถึง(2)

ตอนที่ 291 พูดถึง(2)

เมื่อพวกฉินมู่หลานมาถึง เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็มาถึงแล้วเช่นกัน

เหยาจิ้งจือเห็นลูกชายคนเล็กแล้วก็รีบเอ่ยถาม “อาหลี่ กลับไปฐานทัพครั้งนี้ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ขาขวาของแกไม่ได้ไปกระทบกระเทือนอะไรเพิ่มใช่ไหม”

“แม่ไม่ต้องก่วงครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี พี่ใหญ่ก็ไปกับผมด้วย เขาดูแลผมเป็นอย่างดี”

เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็โล่งใจ จากนั้นก็หันมองแล้วพูดกับฉินเคอเหล่ย “เคอเหล่ย ครั้งนี้ลำบากเธอแล้วล่ะ”

“คุณป้าครับ อาหลี่เป็นน้องเขยผม ผมทำสิ่งที่ผมควรทำ แล้วจะลำบากอะไรกันล่ะครับ”

“ได้ ๆๆ ป้าไม่พูดแล้ว ตอนบ่ายพวกเราไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเหยากันเถอะ”

ฉินเคอเหล่ยยังไม่ทราบเรื่องนี้ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “พวกเราไปกันหมดเลยเหรอครับ?”

เหยาจิ้งจือยกยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าว “ใช่ ไปกันหมด”

ฉินเคอเจี๋ยเดินเข้าไปหาพี่ชายคนโตของตนก่อนจะพูดด้วยว่า “เมื่อวานคุณป้ามาบอกพวกเราแล้วว่าให้ทุกคนไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเหยา หลังจากทำงานที่บ้านสี่ประสานเสร็จพวกเราไปกัน”

“ได้สิ”

หลังจากนั้น เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อก็พาสามคนพี่น้องตระกูลฉินออกไปด้วยกัน

เซี่ยเจ๋อหลี่กับเจี่ยงสือเหิงยังไม่หายดี ยังต้องอยู่พักฟื้นที่บ้าน ส่วนเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ก็ช่วยกันดูแลเด็ก ๆ และฉินมู่หลานก็กำลังยุ่งที่สุดในบรรดาคนในครอบครัว

ครั้งล่าสุดตั้งแต่เธอแต่งหน้าให้เสิ่นหรฺูฮวนในวันแต่งงาน ฉินมู่หลานก็มีแผนจะผลิตเครื่องสำอาง เพราะในปัจจุบันเครื่องสำอางมีน้อยมาก เธอจึงอยากรีบผลิตเพิ่ม เพื่อที่จะแต่งหน้าได้สะดวกขึ้น

ฉินมู่หลานที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการผลิตจนไม่ได้สังเกตเวลาที่ผ่านไปเลย จนกระทั่งเซี่ยเจ๋อหลี่มาตาม เธอจึงเพิ่งรู้ตัวว่าสายแล้ว “อาหลี่ คุณมาได้ยังไง คุณยังเดินไม่สะดวกเลยนะ ให้แม่มาเรียกฉันเองก็ได้”

เซี่ยเจ๋อหลี่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “จริง ๆ ก็ไม่ได้ไม่สะดวกขนาดนั้นหรอก ผมเดินมาที่นี่พร้อมกับไม้เท้าได้ง่าย ๆ เลย”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก

หลังจากทั้งสองมาถึงหน้าบ้าน ลุงเจี่ยงก็เตรียมรถที่จะพาพวกเขาไปส่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อจะไปบ้านตระกูลเหยาด้วยตัวเอง

นายท่านเหยาเห็นมู่หลานกับคนอื่นมาแล้ว แววตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ความสนใจพุ่งไปอยู่ที่เด็กทั้งสองคนมากกว่า “เฉินเฉินกับชิงชิงของพวกเรามาแล้วเหรอ มาให้ทวดดูหน่อยเร็ว” เมื่อเห็นเด็กทั้งสองส่งยิ้มให้เขา ชายชราก็รู้สึกดีใจมาก

หลี่เสวี่ยเยี่ยนอยู่ข้างท่านเหยา ช่วยอุ้มเด็กหนึ่งคน จากนั้นก็เดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปข้างใน

เมื่อมาถึงห้องโถง ฉินมู่หลานก็พบว่า วันนี้คุณนายเหยาก็ออกมาด้วย เมื่อเห็นคนอยู่ พวกเขาจึงเอ่ยทักทายกันตามปกติ

คุณนายเหยาเอ่ยทักทายทุกคนเช่นกัน แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นอกจากนี้ยังจ้องมองเด็กทั้งสองมากขึ้น และคุยกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนมากที่สุด

ฉินมู่หลานเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณนายเหยากับหลี่เสวี่ยเยี่ยน ก็ทำให้นึกถึงสิ่งที่เหยาจิ้งจือเคยพูดขึ้นมา เป็นอย่างที่ว่า ทั้งสองเข้าขากันได้ดี ในช่วงระยะเวลาอันแสนสั้นก็ได้คุยเรื่องต่าง ๆ มากมาย แต่คุณนายเหยาไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก ดูเหมือนว่าจะชอบหลี่เสวี่ยเยี่ยนมาก

ตอนนี้นายท่านเหยาไม่ได้ควบคุมคุณนายเหยามากนัก เมื่อเห็นเธอเข้ากันได้ดีกับหลานชายคนโตและภรรยา เขาก็ไม่ได้สนใจอีก และหันมองฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเธอคือลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของมู่หลานเหรอ พอดูแล้ว คล้ายกับ…เคอวั่งเลยนะ”

ตอนแรกเขาอยากจะบอกว่าคล้ายกับมู่หลาน แต่พอมองดูอย่างถี่ถ้วน ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยมีความคล้ายฉินเคอวั่ง ดูไม่ค่อยเหมือนมู่หลานมากนัก แต่เคอวั่งกับมู่หลานยังมีความคล้ายกันอยู่มาก ดูเหมือนว่ามู่หลานจะหน้าคล้ายแม่ ส่วนเคอวั่งได้ทั้งพ่อและแม่

ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยทราบมาก่อนแล้วว่าแม่สามีของลูกพี่ลูกน้องหญิงได้เจอพ่อแม่แท้ ๆ ที่กรุงปักกิ่ง แล้วก็ทราบด้วยว่าพวกท่านค่อนข้างร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะร่ำรวยขนาดนี้ บ้านตระกูลเหยาอันเก่าแก่สวยงามและใหญ่โตกว่าตระกูลเจี่ยงมาก พวกเขาไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่เมื่อมองดูบ้านตระกูลเหยาแล้ว มันดูดีมาก

หลังจากหลายคนพูดคุยกัน สุดท้ายนายท่านเหยาก็หันมองเซี่ยเจ๋อหลี่

“อาหลี่ ตาได้ยินว่าหลานเปลี่ยนงานใหม่ ถึงการลาออกจากกองทัพจะเป็นเรื่องน่าเสียดายนิดหน่อย แต่เรื่องนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้ท้อแท้ใจไปเลยนะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนี้ ก็รีบยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณตาไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ท้อแท้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นงานที่สถาบันวิจัยก็ค่อนข้างดี ผมจะได้กลับบ้านบ่อยขึ้น และดูแลครอบครัวได้มากขึ้น”

เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่ครับผู้อาวุโส ที่สถาบันวิจัยก็มีผมอยู่ด้วย จากนี้ไปผมกับอาหลี่ก็จะได้ช่วยดูแลกัน”

นายท่านเหยาได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้น “ใช่แล้ว พวกเธอสองคนก็จะได้ไปทำงานและกลับพร้อมกันด้วย นับว่าค่อนข้างดีเลย ตอนแรกฉันกลัวว่าอาหลี่จะรู้สึกไม่ดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องปลอบใจแล้วล่ะนะ”

“คุณตาครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่ต้องพึ่งคำปลอบของคุณตาแล้วครับ นอกจากนี้การที่ผมเปลี่ยนงานก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ่อหลี่ไม่ได้เสียใจแล้วจริง ๆ นายท่านเหยาก็รู้สึกโล่งใจ

ในตอนนั้นเอง คุณนายเหยาก็พูดอะไรบางอย่าง

“อาหลี่ไม่ได้อยู่ในกองทัพแล้ว แต่อี้หนิงยังทำงานอยู่ และเขาก็เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งด้วย”

เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณนายเหยาพูด ทุกคนก็พากันตกตะลึง

เซี่ยเจ๋อหลี่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนจะหันมองแล้วเอ่ยถามคุณนายเหยา “คุณนายครับ เหยาอี้หนิงได้เลื่อนตำแหน่งจริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเขาด้วยนะครับ”

ทันทีที่เพิ่งพูดออกไป คุณนายเหยาก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่คำพูดทั้งหมดได้ออกมาแล้ว จะดึงกลับคืนไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเจ๋อหลี่ นางก็พูดบางอย่างขึ้นอีกครั้ง

“อี้หนิงตั้งใจทำงานหนักมาตลอด ได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าหลานก็ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก งานสถาบันวิจัยก็ดี ทำงานกองทัพทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก แถมยังไม่ค่อยได้กลับบ้าน ไม่ดีเท่าที่สถาบันวิจัยหรอก” ในใจของคุณนายเหยาคิดเช่นนั้นจริง เธอจึงพูดทุกสิ่งอย่างจริงใจ

แต่ถึงอย่างนั้นคนอื่นกลับไม่ได้สัมผัสถึงความจริงใจของคุณนายเหยาเลย พวกเขารู้สึกว่าหญิงชราแค่กำลังเยาะเย้ยเซี่ยเจ๋อหลี่อยู่

เซี่ยเจ๋อหลี่ต้องเปลี่ยนงานเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขา แต่เหยาอี้หนิงกลับได้เลื่อนตำแหน่ง ช่างแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากไม่เรียกว่าเยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร

นายท่านเหยาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จึงหันมองคุณนายเหยาทันที ใบหน้าของเขาดูยับยู่มาก

ตอนแรกคุณนายเหยาไม่คิดว่าตัวเองพูดผิดอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนแล้วก็ตระหนักได้ ดังนั้นจึงเม้มปาก แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลี่เสวี่ยเยี่ยนเห็นทุกคนเงียบไม่พูดอะไร จึงรีบยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณตาเตรียมเลี้ยงฉลองงานนี้เอาไว้ วางแผนก็ตั้งนาน เพราะฉะนั้นพวกเราก็กินกันเยอะ ๆ เถอะค่ะ”

“ได้สิ พวกเราจะกินให้เยอะเลย”

คุณนายเหยาเห็นหลี่เสวี่ยเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว ทุกคนจึงไม่สนใจนางอีกต่อไป ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็หันมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนด้วยสายตาอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าตอนแรกบรรยากาศจะเงียบเหงาลงเพราะคุณนายเหยา แต่ไม่นานนัก ทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากกินเสร็จแล้ว เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อก็คิดจะไปทำงานที่เรือนสี่ประสานต่อ

ฉินมู่หลานกับลูกทั้งสองคนก็กลับไปยังห้องที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้า เพื่อให้เด็กทั้งสองเข้านอน

เซี่ยเจ๋อหลี่อยู่ในห้องโถงตามลำพัง เมื่อหันมองคุณนายเหยาก็เอ่ยถามขึ้น “คุณหญิงครับ ก่อนหน้านี้ออกไปพบเหยาอี้หนิงมาใช่ไหมครับ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คุณนายเหยาก็คิ้วขมวดแล้วเอ่ยถาม “ทำไมอยู่ ๆ หลานถึงพูดเรื่องอี้หนิงขึ้นมาล่ะ?”

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จู่ๆ ก็พูดถึงอี้หนิงขึ้นมาท่ามกลางสมาชิกทั้งหมดในครอบครัว แบบนี้มันหมายความว่ายังไงคะคุณยาย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท