บทที่ 583 บุคลิก ‘รัก’
เขาขึ้นบันไดไปยังห้องพักชั้นสองภายใต้การนำทางของพนักงานโรงเตี๊ยม
ลั่วอวี้เหิงโบกมือ ควบคุมพระอรหันต์ตู้ฉิงให้สงบลงที่มุมหนึ่ง จากนั้นก็ถอดรองเท้าปักลวดลายเมฆ แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง
นางสะบัดขวดและกล่องไม้ขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ
แขนเสื้อโดราเอมอนรึ?
สวี่ชีอันมองด้วยความประหลาดใจ เขาเคยเห็นพื้นที่จัดเก็บของวิเศษมาไม่น้อย มีทั้งกระเป๋าผ้า กระจกเงา เครื่องลายคราม แต่ไม่เคยเห็นใครใช้แขนเสื้อมาก่อน
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมลั่วอวี้เหิงถึงไม่เคยเปลี่ยนเสื้อคลุม แต่เปลี่ยนเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นในอยู่บ่อยครั้ง สิ่งนี้สวี่ชีอันสามารถยืนยันได้ แต่แทบไม่เคยเห็นนางเปลี่ยนเสื้อคลุมด้านนอกมาก่อน
ที่แท้เสื้อคลุมก็เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง
ลั่วอวี้เหิงเปิดจุกไม้ก๊อกออก จากนั้นกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่วห้อง
เกือบลืมไปแล้ว นางเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย ไม่ว่ายาขนานวิเศษชนิดใดก็มีหมด เมื่อเทียบกับนักบวชเต๋าจวี๋เมาที่ยากจนแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยวางในที่สุด
เขากังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของลั่วอวี้เหิงมาโดยตลอด ว่ามันอาจจะกระทบกับความสมดุลของไฟแห่งกรรมของนาง
แต่เมื่อเห็นความร่ำรวยของนางในตอนนี้ เขาก็สบายใจขึ้นชั่วขณะ
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิลงที่ข้างเตียงเพื่อนั่งเข้าฌานกับลั่วอวี้เหิงทันที
ตัวเขาเองก็ต้องรักษาเส้นลมปราณที่ยุ่งเหยิงเช่นกัน
การเคลื่อนไหลของชี่เป็นเวลานานจะกระทบต่อตะปูตอกวิญญาณจำนวนหลายตัว ทำให้เจ็บปวดบริเวณปากตะปูจนทนไม่ได้ เท่ากับแผลเก่าก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับบาดแผลสะท้อนกลับของ ‘หยกสลาย’ ที่เริ่มหายสนิทอย่างช้าๆ
“ดูเหมือนเจ็ดยอดกู่จะก้าวหน้าขึ้นแล้ว ไม่สิ มันเข้าสู่ขั้นถัดไปแล้ว…”
หลังจากหล่อเลี้ยงอย่างยากเข็ญเป็นเวลานาน ในที่สุดเจ็ดยอดกู่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่สำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง อันที่จริง หลังจากบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง ก็นับว่าเขาตอบสนองต่อความต้องการของเจ็ดยอดกู่อย่างสมบูรณ์
ฉิงกู่ที่ปราบปรามอย่างยากลำบากสามารถระบายออกมาได้แล้ว และเนื่องจากการมอบอำนาจให้กับผู้บำเพ็ญตนหญิงขั้นสอง ฉิงกู่จึงได้รับประโยชน์มหาศาล
ในเวลานั้น เขาก็รู้สึกว่าฉิงกู่เกือบจะเจริญเต็มที่ในขั้นต้น จนกระทั่งการต่อสู้เมื่อครู่ เขาได้กลืนกินแมลงมีพิษที่ฉีฮวนตานเซียงเรียกออกมา
แม้ตู๋กู่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องมุมานะบากบั่นต่อไป
“อีกนิดเดียวก็จะแทงทะลุชั้นเนื้อเยื่อ…” สวี่ชีอันสัมผัสเจ็ดยอดกู่ผ่านทางจิต
การฝึกลมหายใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาถูกลั่วอวี้เหิงปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน
เมื่อลืมตามองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้ามืดลงเสียแล้ว พระอรหันต์ตู้ฉิงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง
“ราชครู บาดแผลท่านดีขึ้นแล้วรึ? ตอนนี้เขามีสภาพเป็นอย่างไร ปลุกให้ตื่นได้หรือไม่?” สวี่ชีอันกล่าว
“เขาถูกข้าปิดผนึกไว้ชั่วคราว ตกอยู่ในสภาพไร้ชีวิตไร้การตาย ไม่มีทางรับรู้เรื่องราวภายนอก”
ลั่วอวี้เหิงในตอนนี้ยังไม่เย็นชาและดุร้ายมากพอ นางเป็นเหมือนฟูเหรินที่ถูกเลี้ยงดูอย่างจืดชืดมาในห้องส่วนตัวของตระกูลร่ำรวย
“หากเจ้าอยากให้เขาช่วยเจ้าคลายตะปูตอกวิญญาณให้ ก็ต้องกลับไปที่เมืองหลวง”
เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว ลั่วอวี้เหิงก็กล่าวอธิบายว่า “ถึงแม้ข้าจะปิดผนึกเขา แต่ก็ฆ่าเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้เขาคลายตะปูตอกวิญญาณ อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่เขามีโอกาสทำให้ทุกอย่างพังพินาศลงพร้อมกันและฆ่าเจ้าแทน”
สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว และกล่าวอย่างไตร่ตรองว่า “ดังนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องให้ท่านโหราจารย์มาเป็นตัวกลาง”
การที่สามารถเอาชนะพระอรหันต์ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสั่งให้พระอรหันต์ทำสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่สามารถฆ่าฝ่ายตรงข้าม ไม่แน่ว่าอาจมีใครบางคนแอบล้างสมองเพื่อให้เขาเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ได้กลับไปเมืองหลวงสักครั้งก็ดี จะได้ไปสืบสถานการณ์ของอวิ๋นโจวกับท่านโหราจารย์ เพื่อเข้าใจสถานการณ์ล่าสุดของกองกำลังหลักในจิ่วโจว มากขึ้น…และจะได้ฉวยโอกาสไปพบปลาในบ่อของข้าสักหน่อย
ทันทีที่เขาคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงจ้องตาเขม็งและกล่าวว่า “ข้าไม่อนุญาตให้ไปพบหญิงสาวเหล่านั้น”
สวี่ชีอันตอบรับ “อืม อืม” และกล่าวต่อไปว่า “ในใจข้ามีเพียงราชครูคนเดียวเท่านั้น” อย่างไรพรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าแล้ว
ลั่วอวี้เหิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ราชครู ดาบเล่มนั้นเป็นอาวุธวิเศษใช่หรือไม่?”
สวี่ชีอันชี้ไปที่ดาบเหล็กเล่มนั้นที่เสียบอยู่ในศีรษะของพระอรหันต์ ครึ่งหนึ่งของดาบโผล่ออกมาด้านนอก
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “เมื่อก่อนเคยเป็น แต่ต่อมาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกกำจัดโดยเจ้าของของมัน”
“หืม?” สวี่ชีอันแสดงความสงสัยด้วยเสียงอุทานในลำคอ
“เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ท่านหนึ่งที่ไร้เทียมทาน ปรมาจารย์ดาบที่ไม่เป็นสองรองใครท่านนั้นได้ใช้ศิลปะการฆ่าในการปกครองจิ่วโจว อาวุธศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ และกระหายเลือดอย่างมาก ตอนที่ปรมาจารย์ท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถปราบปรามมันได้ จนกระทั่งเขาสิ้นชีพจากภัยพิบัติ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็เสียการควบคุมมากขึ้น ทำให้เกิดการฆ่าจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกปราบโดยผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ท่านต่อมา และถูกลบล้างจิตสำนึกจนหมดสิ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดาบเล่มนี้ก็กลายเป็นตัวพาหะที่สะสมปราณดาบและเจตนาดาบของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ในแต่ละยุคในอดีต” ลั่วอวี้เหิงอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
สวี่ผิงเฟิงก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดในขั้นสอง ไม่รู้ว่าราชครูจะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่…ไม่สิ โหรและนักพรตเป็นระบบที่แตกต่างกัน แต่ละระบบมีจุดแข็งของตัวเอง ไม่สามารถแบ่งแยกด้วยพลังรบเพียงอย่างเดียว…สวี่ชีอันกล่าวอีกว่า “ทำอย่างไรให้อาวุธวิเศษก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว? ตอนที่ข้าต่อสู้วันนี้ ก็พบว่าอาวุธวิเศษมีข้อบกพร่อง”
เขาบอกลั่วอวี้เหิงเรื่องดาบไท่ผิง เด็กโง่ที่ได้รับผลกระทบจากซินกู่
“มันน่าจะเกี่ยวข้องกับนิสัยของอาวุธวิเศษ ลึกๆ แล้วดาบของเจ้าเล่มนี้ไม่ใช่อาวุธที่โหดเหี้ยม พูดง่ายๆ คือ มันไม่ดุร้ายมากพอ” ลั่วอวี้เหิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ อย่างไรมันก็เพิ่งกำเนิดด้วยจิตสำนึกได้ไม่นาน นับดูแล้ว ยังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำไป”
ไท่ผิงยังอายุน้อยเกินไป…สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างหมดหนทาง
“แต่ข้ากลับมีความคิดหนึ่ง”
สวี่ชีอันดวงตาเป็นประกายขึ้น “เชิญราชครูกล่าวเถอะ”
“ตอนนี้ในร่างของเจ้ามีปราณมังกรสองสาย หากวางไว้มันก็วางอยู่อย่างนั้น สู้ลองใช้มันมาเลี้ยงดูดาบไท่ผิงไม่ดีกว่ารึ” ลั่วอวี้เหิงเห็นสวี่ชีอันไม่เข้าใจ จึงกล่าวชี้แนะว่า “ดาบสยบดินแดนยังไงเล่า!”
สวี่ชีอันเบิกตากว้างทันที “ราชครูจะบอกว่า ดาบไท่ผิงสามารถกลั่นเป็นของวิเศษเหมือนกับดาบสยบดินแดน? เป็นไปได้จริงๆ รึ?”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้ากล่าวว่า “ตัวดาบสยบดินแดนเองก็เป็นอาวุธวิเศษ มันได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยโชคชะตามากว่าหกร้อยปี และเมื่อครู่มันได้กลายเป็นของวิเศษแล้ว แต่นี่เป็นการเลี้ยงดูโดยไม่รู้ตัวอย่างหนึ่ง มันจึงคืบหน้าอย่างช้าๆ แต่เจ้าสามารถโยกย้ายปราณมังกรมาหล่อเลี้ยงดาบของเจ้าได้โดยตรง ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่ดาบของเจ้าจะไปถึงระดับเดียวกับดาบสยบดินแดนในระยะเวลาอันสั้น แต่มันก็อาจจะกลายเป็นของวิเศษได้ เป็นอาวุธที่อยู่เหนืออาวุธวิเศษ ถึงเวลานั้น มันก็น่าจะสามารถต้านทานผลกระทบของซินกู่ได้แล้ว”
สวี่ชีอันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ปราณมังกรก็เป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเช่นกัน เขาจึงสามารถจำลองเส้นทางของดาบสยบดินแดนได้อย่างสมบูรณ์
เขารู้ดีที่สุดว่าพลังของดาบสยบดินแดนแข็งแกร่งเพียงใด มันคือฝันร้ายของยอดฝีมือขั้นสูงอย่างแท้จริง
หากดาบไท่ผิงสามารถกลายเป็นดาบสยบดินแดนเล่มที่สองได้ ไม่สิ แค่ต้องมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกันเท่านั้น ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาก็จะสามารถทำลายพลังเทพวชิระของจิ้งหยวนได้เพียงแค่การตวัดดาบครั้งเดียว
ในอนาคต ต่อให้เป็นระดับเพชรที่สูงกว่าขั้นสามขึ้นไป ก็สามารถสร้างภัยคุกคามได้
“ราชครูฉลาดเป็นกรดอย่างที่คิดจริงๆ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะใช้ประโยชน์จากปราณมังกรเช่นนี้” สวี่ชีอันกล่าวยกยอปอปั้นยกใหญ่
สีหน้าของลั่วอวี้เหิงสงบนิ่ง ถึงแม้จะถือมาดนิ่ง แต่ในแววตากลับมีความสุขปรากฏขึ้นเล็กน้อย
เอาใจง่ายจริงๆ หากนางมีนิสัยเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี…สวี่ชีอันกล่าวในใจ
เขาไม่รอช้าอีกต่อไป จิตสำนึกจมอยู่ในกระจกหยก ดาบไท่ผิงและมังกรสีทองกำลังหลับใหลอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีตั๋วเงิน เหรียญทอง เครื่องลายครามหยก และโบราณวัตถุ
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึกของเจ้าของ ดาบไท่ผิงก็ตื่นขึ้นและถ่ายทอดความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความรื่นรมย์
สวี่ชีอันไม่เพิกเฉยต่อการเยินยอของมันและส่งมันเข้าไปในปราณมังกร
ดาบไท่ผิงถูก ‘แช่’ ไว้ในเงามังกรทอง มันผุดความคิดขึ้นมาเป็นระยะๆ “อา สบายจัง ตายแล้ว ตายแล้ว…”
ได้นิสัยโง่เง่าเช่นนี้มาจากใครกัน? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว พลางดึงสติกลับมาด้วยความไม่พอใจนัก
“ได้ผลจริงๆ ด้วย” สวี่ชีอันกล่าว
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ายังมีอาการบาดเจ็บภายในอยู่ แม้ร่างธรรมลัทธิเต๋าจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอมตะ แต่ความสามารถในการฟื้นตัวนั้นด้อยกว่าจอมยุทธ์”
“แล้วจะทำอย่างไรดี” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยความสำรวมเล็กน้อย “การบำเพ็ญคู่ก็สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้”
…
ในห้องที่มีเปลวเทียนส่องสว่าง
ฉากบังลมแบ่งแยกพื้นที่ขนาดเล็ก ลั่วอวี้เหิงแช่ตัวอยู่ในอ่างและหลับตาลงครึ่งหนึ่ง
สวี่ชีอันนอนราบอยู่บนเตียงโดยที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าโปร่งหลายชั้น
พระอรหันต์ตู้ฉิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่มุมห้องและหันหน้าเข้าหากำแพง ซึ่งถูกจัดวางโดยสวี่ชีอัน ต่อให้ลั่วอวี้เหิงจะบอกว่าภิกษุเฒ่านี่จะเข้าสู่สภาวะไร้ชีวิตและความตาย ไม่มีทางรับรู้ทุกสิ่งในโลกภายนอกได้ก็ตาม
หลังจากผ่านไปนาน ลั่วอวี้เหิงก็ชำระล้างร่างกายจนเสร็จและเดินออกมาจากด้านหลังฉากบังลม นางสวมเสื้อคลุมขนนก เสื้อบริเวณหน้าอกเผยอออกเล็กน้อย เผยให้เห็นพื้นที่ขาวเนียน
สวี่ชีอันมองชุดชั้นในรัดรูปที่แขวนอยู่บนฉากบังลม ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
ลั่วอวี้เหิงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาหยาบคายมาก นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางเดินปล่อยอารมณ์ไปที่ข้างเตียง เหยียดเรียวขาทั้งสองข้างเข้าไปใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็ปิดเสื้อและนอนราบลงไป
บุคลิกเฉพาะตัวของบุคคลนี้ขยายความรู้สึกดีของลั่วอวี้เหิงที่มีต่อสวี่ชีอันได้เป็นอย่างดี กระทั่งเคยพูดคำพูดที่ไร้ยางอายมากมาย ด้วยเหตุนี้ นางจึงเต็มใจที่จะบำเพ็ญคู่กับสวี่ชีอัน
อย่างไรก็ตาม นางก็เป็นคนเสแสร้งที่สุดเช่นกัน หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ฝ่ามือกำเสื้อคลุมแน่นเพื่อปกปิดหน้าอก
บุคลิกโกรธ…อะไรก็ตามที่เจ้าสัมผัสล้วนทำให้ข้าโกรธ
บุคลิกใคร่…ข้ายังต้องการ ข้ายังต้องการ แม้ตลอดไปก็ยังไม่พอใจ
บุคลิกกลัว…เก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์เท่ากับหนทางสู้ความตาย เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ลุกออกจากเตียงในวันนี้
บุคลิกโศกเศร้า…อยากปลูกต้นรักแต่ก็เกรงว่าจะถูกข่มขืน
สวี่ชีอันดึงผ้านวมขึ้นมาปกคลุมร่างของทั้งสองและกดมันลง สองมือวางลงบนเตียงพลางจ้องมองนางด้วยแววตาเร่าร้อน
ลั่วอวี้เหิงสบตากับเขาหลายวินาที ก่อนจะหันใบหน้าสีแดงก่ำไปด้านข้าง ใบหูของนางถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม ช่างเป็นฉากที่งดงามเสียจริง
ในที่สุดเขาก็ก้มศีรษะลงไปจุมพิตที่ข้างแก้มของนาง ตามด้วยลำคอ จากนั้นศีรษะของเขาก็ค่อยๆ หายลับไปในผ้าห่มผืนนั้น
แสงเทียนริบหรี่ สะท้อนให้เห็นใบหน้ารูปไข่สีแดงก่ำของลั่วอวี้เหิงราวกับกำลังเมาสุรา
นางทั้งไม่ต่อต้านและไม่ตอบสนอง แต่จากพวงแก้มของนางที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ และลมหายใจที่ถี่กระชั้น สามารถตัดสินได้ว่าฝีมือการบรรเลงของสวี่ชีอันนั้นยอดเยี่ยมมาก
แพขนตาของผู้นำเต๋าราวกับเส้นไหม นางมองไปที่ยอดหลังคาอย่างพร่ามัว
…
กระบวนการบำเพ็ญคู่นั้นน่าเบื่อมาก เมื่อถึงกลางดึก อาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันก็ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจยาวและสดชื่นขึ้นมาก
แต่ภายในใจกลับมีความกังวลอยู่ลึกๆ
ข้าทำให้นางเปลืองตัวเช่นนี้ หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ข้าจะถูกนางฟันจนตายหรือไม่?
คนที่สวี่ชีอันนอนด้วยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่ใช่ลั่วอวี้เหิงในจิตสำนึกปกติ แต่เป็นบุคลิกบางอย่างที่อารมณ์ถูกขยายออก ยากที่จะจินตนาการออกว่าเมื่อราชครูคนที่เย็นชาก่อนหน้านี้ฟื้นคืนสติมา แล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร?
ถึงเวลานั้น จะต้องหนีไปเสียตั้งแต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นอาจจะตายโดยไร้หลุมกลบฝัง สวี่ชีอันแอบตัดสินใจ
“สวี่หลาง เจ้ากำลังคิดอะไรรึ?”
ลั่วอวี้เหิงยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา เส้นผมของนางยุ่งเหยิง พวงแก้มแดงก่ำ ดวงตาพร่ามัว
ราชครู สามวันหลังจากนี้ เมื่อท่านนึกถึง ‘สวี่หลาง’ สองพยางค์นี้ ท่านคงโกรธจัดและยกดาบไล่ฟันข้าแล้วกระมัง…สวี่ชีอันตำหนิอยู่ในใจ
…
ยามรุ่งอรุณ
ถนนสายหลัก เขตแดนยงโจว
ม้าสามเชือกถูกควบไปตามทางดัง ‘ตึกตึก’ ตรงกลางเป็นหญิงงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความกล้าหาญ ด้านซ้ายคือนักดาบชุดดำที่มีผมขาวบนหน้าผาก ส่วนทางด้านขวาคือหัวล้านวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงและกำยำ
“รีบวิ่ง รีบวิ่ง ฉวยโอกาสตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าตามมาไม่ทัน” หลี่เมี่ยวเจินตะโกนเสียงดัง
“อมิตตาพุทธ ผู้นำหลี่ โยมและใต้เท้าสวี่ทำเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ?” เหิงหย่วนกล่าวเสียงทุ้ม
หลังจากเขาและฉู่หยวนเจิ่นเข้าไปในเมืองยงโจว ก็ซ่อนตัวและฉวยโอกาสตอนที่เทพธิดาปิงอี๋ต่อสู้กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงอยู่ที่ด้านนอก แอบพาหลี่เมี่ยวเจินออกมาอย่างลับๆ
เทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่านเป็นเครื่องมือที่เปล่าประโยชน์ ซ้ำเทพธิดายังถูก ‘ลักพาตัว’ ไปอีก
เหิงหย่วนรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าสวี่และหลี่เมี่ยวเจินทำนั้นไม่บริสุทธิ์
“ไม่เป็นไร!” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่ปล่อยให้ผู้อาวุโสทั้งสองเดินไปในทางโลกมากขึ้น”
ฉู่หยวนเจิ่นเชื่อว่าการต่อสู้ด้วยไหวพริบระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน
“ตอนนี้ท่านอาจารย์ข้าจะต้องโกรธจัดอย่างแน่นอน อ้อ ไม่สิ นางคงไม่โกรธ แต่ครั้งต่อไปที่นางพบสวี่ชีอัน คงมีความเป็นไปได้สูงที่นางจะชักดาบออกมาฟันใครสักคน”
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือที่ดูน่านับถือท่านหนึ่งจะไร้ยางอายได้อย่างคาดไม่ถึง”
เหิงหย่วนกล่าวอย่างหมดหนทางว่า “หยอกล้อท่านอาวุโสเช่นนี้ ไม่ดีเลยจริงๆ”
“หมายเลขหก เจ้ารู้อะไรหรือไม่ สวี่ชีอันเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดมาก”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่า “ท่านอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงเป็นคนที่ไม่ฟังคำโน้มน้าวของใคร อย่างไรก็ไม่มีทางโน้มน้าวเขาได้ ใช้กำลังก็ย่อมบังคับไม่ได้อย่างแน่นอน ลั่วอวี้เหิงอาจจะทำได้ แต่หากนางเข้าไปแทรกแซงเรื่องของนิกายสวรรค์ ก็จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสวรรค์และมนุษย์ขึ้นก่อนกำหนด ในเมื่อทั้งความนุ่มนวลและรุนแรงล้วนใช้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ทำได้เพียงชิงไหวชิงพริบ เร็วเข้า รีบไปให้ถึงสวี่ชีอันก่อนรุ่งสาง”
…
ในขณะที่สหายทั้งสามกำลังไล่ตามดวงจันทร์ สวี่ชีอันกำลังกอดร่างอันเนียนนุ่มของลั่วอวี้เหิงและหลับไปในผ้าห่มอันอบอุ่น
แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนหัวใจจนตื่นขึ้น เพราะรับรู้ถึงข้อความที่ถูกส่งมาจากหนังสือปฐพี
เขายกมือขึ้นและโบกสะบัดเบาๆ หนังสือปฐพีลอยออกมาจากกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น พาตัวเองมาอยู่ในมือของสวี่ชีอัน
หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอัน พวกเราถึงแล้ว เจ้าอยู่โรงเตี๊ยมไหน?’
เมื่อเห็นข้อความนี้ สวี่ชีอันก็ตื่นตกใจจนความง่วงหายไปในฉับพลัน
เร็วเช่นนี้เลยรึ?
พวกเขาเดินทางกันตลอดคืนเลยหรือไร?
เขาสลัดผ้าห่มออกและลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตระหนก ในสมองมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เปิดห้องอีกห้องหนึ่ง
จะให้หลี่เมี่ยวเหินเห็นว่าเขาร่วมเตียงเดียวกับลั่วอวี้เหิงไม่ได้
ลั่วอวี้เหิงเปิดเปลือกตาขึ้นพลางกอดเอวเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “สวี่หลางจะทำอะไรรึ?”
สวี่ชีอันสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงและท่าทางของนางเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับเมื่อวานอีกต่อไป
เขาสังเกตมองลั่วอวี้เหิงอย่างระมัดระวัง พอเห็นเรียวคิ้วอันทรงเสน่ห์และรอยยิ้มอันอ่อนหวานก็สามารถคาดเดาได้ทันที
บุคลิก ‘รัก’ รึ?
จบเห่แล้ว!
………………………………….……………
————————————