ตอนที่ 321 ลมสงบเมฆสลาย
ถ้ากล่าวอย่างจริงจังถือว่าเป็นครั้งแรกที่จี้หยวนเห็นมหาสมุทรอย่างแท้จริงในชาตินี้
นานเข้ายิ่งเข้าใกล้เส้นชายฝั่งขึ้นเรื่อยๆ จี้หยวนแค่กวาดสายตามองลักษณะภูมิประเทศและหมู่บ้านตรงชายฝั่งบนพื้นดิน ลอยเข้าเขตห้วงสมุทรโดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อย
ต่อให้ปัจจุบันเขาไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนชาติก่อน ตอนนี้เมื่ออยู่กลางมหาสมุทรกับน่านฟ้า ความรู้สึกว่าฟ้าดินกว้างใหญ่แต่ตนตัวเล็กจ้อยยังก่อเกิดเหมือนเดิม
เวลานี้จี้หยวนเจตนาลดความสูงลง ทำให้ตนอยู่ภายใต้ชั้นเมฆ ด้านล่างคือทะเลครามกว้างใหญ่ ด้านบนคือเมฆม้วนสลับคลาย ยามแหวกอากาศสัญจรอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นรู้สึกเหมือนทะลวงผ่านทะเลขนาบ
แต่ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นอิสระเช่นนี้ มรรคซ่อนเร้นบนตัวกลับยิ่งสะกดข่มไม่อยู่ จี้หยวนยังเหาะเหินไปทางตะวันออก เบื้องหน้าคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ แต่กลับไม่เปลี่ยนเส้นทาง
ผ่านไปไม่นานภายในสายตาเริ่มปรากฏเกาะเล็กขนาดเหมาะสมแห่งหนึ่ง เขาลืมตาทิพย์สังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า ทั่วเกาะนอกจากพืชพันธุ์ สัตว์เล็ก วิหคเหินแล้ว ไม่มีผู้คนหรือสัตว์ขนาดใหญ่ปรากฏ ถือเป็นสถานที่เหมาะสม
บอกว่าเป็นเกาะเล็กๆ แต่เปรียบเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว ความจริงพื้นที่ไม่ถือว่าเล็กนัก อย่างน้อยก็มีภูเขาแถบหนึ่ง มียอดเขาสิบกว่าแห่ง ภายในนั้นยังมียอดเขาสูงชันเด่นตระหง่านบางส่วน น่าจะสูงถึงร้อยจั้ง ด้านบนคือยอดแหลมเหมือนสิ่งประดิษฐ์จากธรรมชาติ
จี้หยวนขับเคลื่อนเมฆเข้าไปใกล้ สายตากวาดมองยอดเขามากมายบนเกาะเล็ก สุดท้ายค่อยเลือกมาแห่งหนึ่ง
ฮูม…
กระบี่เครือเขียวส่งเสียงครวญแผ่วเบา พุ่งตัวออกไปก่อน เพียงพริบตาก็มาถึงท้องฟ้าเหนือเกาะเล็ก
ชิ้ง…
กระบี่เซียนออกจากฝัก เผยแสงกระบี่เหนือยอดเขาหินมากมายบนเกาะเล็ก ตรงยอดเขาสูงสุดหนึ่งในนั้น หินแหลมถูกตัดออกช่วงหนึ่ง ต่อจากแสงกระบี่วาบไหว หินผาซึ่งกำลังเกลือกกลิ้งก้อนนั้นถูกฟันละเอียด เหลือเพียงเศษหินลอยตามลม
ยอดเขาหินลูกนั้นเหลือเพียงหน้าหินราบเรียบใหญ่เท่าเบาะรองนั่ง ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ สองเท้าของจี้หยวนทยอยสัมผัสลงบนนั้นพอดี
มองซ้ายขวาหน้าหลังครู่หนึ่ง จี้หยวนพอใจตำแหน่งนี้มาก หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย เขาถอดชุดคลุมขาวบนตัว เปลี่ยนเป็นชุดคลุมเทาของตน จากนั้นค่อยนั่งขัดสมาธิตรงจุดเดิม
หลับตาจิตจดจ่อกับด่านเร้น ทุกลมหายใจหมุนตามวัฏจักรฟ้าดินทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เริ่มฝึกปราณหยั่งรู้
ตะวันเด่นตะวันคล้อย คลื่นขึ้นสูงและลงต่ำ เมฆลมผันเปลี่ยน หนาวร้อนผลัดผัน…
ใช่ว่าจี้หยวนไม่สนเรื่องนอกกาย กลับกลายเป็นว่าเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกอย่างฉับไว ไม่ว่าจะเป็นฟ้าแลบฟ้าคำรามหรือลมฝนกระหน่ำ เขาล้วนรับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในนั้น กลางคืนดาราปกคลุมยังเงยหน้ามอง
แต่จี้หยวนกลับเชื่องช้ามาก ไม่มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่ว่าลมฝนมาเยือนหรือสายฟ้าล้อมรอบ เขาล้วนไม่เคลื่อนไหวเกินความจำเป็น หลงลืมตัวตน สับสนเคลิบเคลิ้ม
ความรู้สึกของฝันท่องเมฆาจางจากใจไปช้าๆ แต่กลับแผ่ขยายทั่วกาย ในตัวจี้หยวนห้าปราณแผ่ซ่านเหมือนการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่พบเจอ บ้างเป็นเมฆม้วนตลบ บ้างเหมือนอากาศแจ่มใส วัฏจักรห้าปราณโคจรพลุ่งพล่าน
เมื่อห้าปราณบรรลุถึงขีดสุด จี้หยวนเปลี่ยนจากการรับผลกระทบของเมฆลมสี่ฤดูเป็นส่งผลต่อสิ่งโดยรอบทีละน้อย ความนิ่งสงบไม่ทุกข์ร้อนแผ่ลอยจากยอดเขาซึ่งจี้หยวนนั่งอยู่
…
แม้ว่าอาณาจักรจู่เยวี่ยขัดแย้งกับต้าเจิน แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีคำนวณปีแบบเดียวกับต้าเจิน หรือพูดว่าเมื่อย้อนทวนไปหลายราชวงศ์ก่อน นี่คือสิ่งตกทอดยามราชวงศ์ต้าโจวแบ่งแยกเป็นหลายอาณาจักร
สี่ฤดูผันเปลี่ยน ถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีมังกรน้ำ หรือก็คือปีที่สี่ซึ่งจี้หยวนนั่งสมาธิอยู่บนเกาะ นอกเขตน่านน้ำกำลังมีพายุม้วนพัดมา
บนโลกนี้ไม่มีพยากรณ์อากาศ ทั้งไม่มีการสื่อสารโลกาภิวัตน์ แน่นอนว่าไม่มีคนเตือนภัยพายุล่วงหน้ากับเรือออกทะเล ดังนั้นเรือออกทะเลค่อนข้างไกลส่วนหนึ่ง บางครั้งอาจเผชิญหน้ากับสภาพอากาศเลวร้ายกะทันหัน นี่คือสองบททดสอบสำคัญของเรือกับคนเดินเรือ
โดยทั่วไปเรือประมงไม่มีทางออกนอกฝั่งไปไกลเพื่อจับปลา ด้านหนึ่งด้วยวิธีเก็บรักษาปลาไม่ถึงขั้น โถงเก็บปลาเป็นไม่มากนัก อีกด้านเป็นเพราะอันตราย
แต่เรื่องราวย่อมมีข้อยกเว้น หลายครั้งเมื่อจับปลาใกล้ฝั่งไม่ได้นัก เรือประมงขนาดใหญ่บางลำอาจพาชาวประมงมากมายรวมตัวออกทะเลไกลไปพร้อมกัน จริงอยู่ว่าโถงเก็บปลาเป็นล้ำค่า แต่ถ้าไม่รอดค่อยเก็บรักษาด้วยการหมักดอง
เปรียบเทียบความเสี่ยงกับผลกำไรแล้ว การออกนอกฝั่งรอบหนึ่งมักได้รับผลประโยชน์มากมาย
ปีนี้เมื่อเริ่มเข้าฤดูร้อน สถานที่หลายแห่งใกล้เขตน่านน้ำอย่างหมู่บ้านเฉียนกั่งกับหมู่บ้านเพียนวานจับปลาไม่ได้ตลอด สองหมู่บ้านจึงจำต้องรวมขบวนเรือใหญ่ออกทะเลมาจับปลา
แต่ครั้งนี้โชคไม่เข้าข้างขบวนเรือประมงหกลำของหมู่บ้านเฉียนกั่งกับหมู่บ้านเพียนวาน ด้วยไม่ทันจับปลาเต็มลำเรือ พวกเขากลับติดอยู่กลางมรสุม
ตอนนี้บนผืนทะเลลมฝนกระหน่ำ เสียงอสนีบาตดังครั่นครื้นจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนระหว่างเรือ
ครืน… ซ่า…
คลื่นยักษ์ซัดข้างเรือประมงลำหนึ่ง โถมใส่ชาวประมงบนเรือจนกลิ้งไปกลิ้งมา นายเรือคอยควบคุมทิศทางหางเสือ ส่วนตนเกือบถูกซัดกระเด็นเช่นกัน
“พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราจะตายหรือ!?”
มีชาวประมงหนุ่มตะโกนถามชาวประมงคนอื่นอย่างลนลาน พวกเขากวาดมองโดยรอบ เรือลำอื่นบ้างลอยโคลงเคลง บ้างมองไม่เห็นว่าอยู่ไหน บ้างอาจเป็นไปได้ว่าจมแล้ว
ถึงขั้นว่ามีเรือลำหนึ่งยังไม่ชักใบเรือลงมา เห็นชัดว่าอันตรายอย่างยิ่ง
“หุบปาก! จับแน่นๆ!”
ตูม…
“อ้าก…”
คลื่นใหญ่ซัดมาจนเรือประมงทั้งลำเอียงไปด้านข้าง คนผู้หนึ่งถูกเหวี่ยงออกนอกเรือ แต่คนที่ยังไม่เข้าห้องโดยสารต่างกอดเสากระโดงจับกราบเรือแน่น ไม่มีกำลังเหลือไปช่วยเขาโดยสิ้นเชิง
“จับให้แน่น! ทุกคนจับให้แน่น! คลื่นยักษ์มาอีกแล้ว…”
คนผู้หนึ่งตะโกนสุดเสียง แต่เทียบกับลมฝนคำรามก้องคลื่นยักษ์ซัดสาดกลางทะเลแล้วเสียงเขาช่างแผ่วเบาเหลือเกิน
ตูม… ซ่า…
ตัวเรือโคลงเคลงโยกไหวไม่หยุด โชคดีว่ายังไม่พลิกคว่ำ สิ่งของทั้งหมดภายในห้องโดยสารยิ่งกลิ้งไปกลิ้งมาดังสนั่น คนที่หลบอยู่ในห้องโดยสารเหมือนลูกเต๋ามากมายในถ้วยเขย่า ชนจนหัวปูดแล้วยังต้องหลบของร่วงหล่นนานัปการ
มนุษย์ตัวเล็กจ้อยเช่นนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางอานุภาพฟ้าดินยังสู้จอกแหนไม่ได้ ถ้าตกน้ำคงแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิต
นายเรือแต่ละลำถือเป็นผู้รับแรงกดดันและเสี่ยงอันตรายมากที่สุด พวกเขาไม่ใช่แค่จำเป็นต้องรักษาชีวิตของตัวเอง ยังมีชีวิตของทุกคนบนเรือด้วย
ชายคนหนึ่งซึ่งมัดตัวเองติดกับรังกาคอยสังเกตผืนน้ำทะเลไม่หยุด ทันใดนั้นในสายตาพลันเหลือบเห็นเกาะแห่งหนึ่ง เขาตะโกนบอกนายเรืออย่างบ้าคลั่งทันที
“ผู้เฒ่าจาง… ผู้เฒ่าจาง… ตรงนั้นมีเกาะอยู่!”
นายเรือคือผู้อาวุโสเคราขาวแต่ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อบนตัวสั่นเทาด้วยคอยคุมหางเสือ ขณะเดียวกันดวงตายังสังเกตการณ์รอบทิศ พยายามเปลี่ยนทิศทางเดินเรือก่อนคลื่นยักษ์ลูกต่อไปมาเยือน ไม่ถึงขั้นถูกซัดคว่ำไปทั้งอย่างนี้
แน่นอนว่าเขาเห็นเกาะตรงนั้นเช่นกัน แต่เกาะนั้นมีเนินลาดน้อยผาสูงชันเยอะ ถ้าเข้าไปใกล้ตอนนี้อาจถูกลมพัดกระแทกหน้าผาสูงชัน ทุกคนคงร่างแหลกกระดูกป่น ทั้งสถานที่แบบนั้นต่อให้เลี่ยงผาสูงชันได้ เรือคงเสียหายเพราะหินโสโครกโดยง่าย ยากรอดชีวิตเช่นกัน
“ผู้เฒ่าจาง… เข้าไปใกล้เกาะนั่นเถอะ!”
ชาวประมงอีกคนตะโกนลั่น ยามมนุษย์เจอวิกฤติบนทะเลเช่นนี้ เมื่อเห็นผืนดินย่อมเหมือนเห็นฟางข้าวยื้อชีวิต
“ไม่ได้…! ถ้าเข้าไป ทะ เท่ากับรนหาที่ตาย… ทะ ทั้งเข้าใกล้ไม่ได้ด้วย…”
บนยอดเขาแห่งหนึ่งของเกาะ จี้หยวนพลันลืมตา ตอนนี้พายุม้วนซัดจนฟ้าดินมืดสลัว แต่เมื่อจี้หยวนมองผ่านตาทิพย์ ห่างออกไปกลับมีเรือถาโถมขึ้นลงอยู่กลางลมฝน เห็นชัดว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ไม่กี่ปีมานี้จี้หยวนเห็นเรือล่องออกเขตน่านน้ำมาไกลขนาดนี้น้อยนัก ถึงอย่างไรทักษะพลังก็มีจำกัด พวกเรือประมงต่างล่องมาไม่ไกล แม้ว่ามีเรือสินค้าแต่ส่วนใหญ่ล้วนล่องเลียบชายฝั่ง หรือมีเส้นทางเดินเรือโดยเฉพาะ
หลายปีมานี้จี้หยวนนั่งสมาธิหยั่งรู้จนได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก แม้ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ควรยกเลิกกลางคัน ทว่าเห็นเรือหลายลำตกสู่วิกฤติความเป็นตายเช่นนี้ต่อหน้าตน มีความสามารถแต่ไม่ลงมือถือว่าไม่ใช่วิถีชีวิตของจี้หยวน
เขาสะบัดแขนเสื้อขวา น้ำฝนแถบใหญ่โดยรอบถูกจี้หยวนดูดซับมา ควบรวมเป็นลูกโป่งน้ำขนาดมหึมากลางฝ่ามือ จากนั้นจี้หยวนใช้สองมือเคลื่อนหมุนลูกโป่งน้ำอย่างแผ่วเบา
จี้หยวนโคจรพลังทั้งตัวตามการเคลื่อนไหว ขับเคลื่อนวิชาคุมวารีวาโยตามความคิด ปากเอ่ยคำบัญชาโดยไม่ส่งเสียง
ครั้งนี้คือมรสุมยักษ์บนผืนทะเล จี้หยวนอยากสลายมันโดยเร็ว ต่อให้ใช้วิชาคุมวารีวาโยเป็นก็ต้องเสียพลังอย่างมาก โชคดีว่าไม่ใช่ลักษณ์สวรรค์ซึ่งควบคุมโดยพวกเซียนปีศาจ ยามรับมือถือว่าสบายๆ
เมื่อวงโคจรการหมุนฝ่ามือของจี้หยวนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลูกโป่งน้ำแผ่ขยายชั่วพริบตา แพร่กระจายจากวงโคจรตามการหมุนของฝ่ามือก่อนหน้านี้เป็นคลื่นอักษรขนาดมหึมา
“ลมสงบ เมฆสลาย!”
ครู่ต่อมาจี้หยวนพลันสะบัดแขนเสื้อ กวาดตัวอักษรขนาดใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฟุ่บ…
คล้ายมีคลื่นมรรคซ่อนเร้นแผ่ขยายโดยปริยาย พายุโดยรอบสูญเสียแรงขับเคลื่อนทีละน้อย พยับเมฆหนาทึบกลางอากาศเริ่มสลายตัวช้าๆ
เรือใหญ่บางลำยังโคลงเคลง ด้วยคลื่นยักษ์ยังไม่สงบลง แต่เห็นชัดว่าคนบนเรือรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงชั่วพริบตาแล้ว
คลื่นเปลี่ยนเป็นเล็กลงแล้ว สิ่งสำคัญคือลมฝนต่างหยุดด้วย
ไม่นานนักความมืดสลัวแต่เดิมหายไปทีละน้อย ชั้นเมฆเหนือศีรษะซ่านสลายช้าๆ แสงแดดยามบ่ายสาดส่องสร้างความอบอุ่นแก่ผู้เลื่อนลอยทุกคนบนเรือ