บทที่ 1ความฝันของปีศาจ-ตอนที่ 2 เมื่อฉันกลายเป็นปีศาจ
ตอนนี้ ฉันกับคุณเสือดำอาศัยอยู่ด้วยกัน
ด้วยความที่จิตใจของฉันเป็นผู้หญิง คุณเสือดำเองก็มีเสียงที่หนักแน่นเหมือนกับผู้ชาย ทำให้ดูเหมือนเราเป็น
คู่รักกันเลยไม่ใช่หรอเนี่ย ?
ถึงจะคิดอย่างนั้นก็เถอะแต่จริง ๆ ฉันก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นแหละ
แต่พอลองแอบคิดแบบนั้นแล้ว ใจมันก็เต้นเร็วมากเลยล่ะ
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ?”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร..”
แหม คุณแมวดำตัวใหญ่นี่ล่ะก็ เซนส์ดีจังเลยนะ
“คือ…จริง ๆ แล้วฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะค่ะ”
“อะไรรึ ?”
ถึงแม้ว่าเสียงของคุณเสือดำแฝงไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็ตอบรับกลับมาโดยปราศจากความลังเล
ที่ ๆ พวกเราอยู่กันตอนนี้ เป็นอาณาเขตของเขา แต่มันก็ไม่ถึงกับเป็นที่อยู่อาศัยหรอกนะ เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องนอนหลับหรือว่ากินอาหาร สถานที่ปลอดภัยสำหรับใช้พักอาศัยจึงเป็นของที่ไม่จําเป็น
ยังไงก็ตาม ใจจริงฉันก็อยากหาที่ ๆ ปลอดภัยอยู่เหมือนกันนะ ก็ตอนนี้ฉันยังเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ เองนี่นา
ที่ไม่โดนตัวอะไรเข้ามาทำร้ายก็ เพราะพวกมันกลัวคุณเสือดำกันหมด
“ที่พวกเราอยู่ตอนนี้ มันคือที่ไหนหรอคะ ?”
คุณเสือดำหรี่ตาลงเล็กน้อยกับคาถามที่ดูคลุมเครือของฉัน ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาจึงตอบ
“ที่ ๆ เจ้ากับข้าอยู่…เจ้าคงต้องการคำตอบมากกว่าคำว่า อาณาเขตของข้าสินะ คงหมายถึงว่าพวกเราอยู่ส่วนไหนของโลกใช่ไหม?”
“ค่ะ ! นั่นแหละค่ะ”
เขาดูฉลาดจัง กลับกันทำไมรู้สึกว่าเราซื่อบื้อ
“เจ้ามีสติปัญญาขนาดติดต่อสื่อสารได้ แต่เจ้าก็ยังพูดได้ไม่คล่องอย่างนั้นหรือเนี่ย ?
ไม่ใช่ว่าเจ้าได้เรียนรู้ศัพท์ในการพูดทั้งหมด หลังจากโดนอัญเชิญแล้วหรอกหรือ ?”
“อัญเชิญหรอ ? ไม่นะคะ ฉันเพิ่งจะเกิดมาไม่นานนี้เอง”
“หืม ?”
ท่าทางประหลาดใจของคุณเสือดำเริ่มทำให้ฉันเริ่มสับสน สุดท้ายจึงจะอธิบายเรื่องความฝันที่ฉันเคยฝันให้เขาฟัง แต่เพราะก่อนหน้านี้ได้ยิน เขาพูดเกี่ยวกับการถูกอัญเชิญ ฉันเลยรู้สึกว่าไม่ต้องบอกเรื่องที่ฉันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนจะดีกว่า
“ความทรงจำเกี่ยวกับความฝันนั้น น่าแปลกจริงนะ”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ”
บัดนี้ เสือสีดำขนาดใหญ่แล้วลูกแมวสีทองตัวจ่อย ต่างผงกหัวขึ้นลงด้วยท่าที่จริงจังกับเรื่องประหลาดๆ
ที่คุยกันไป
แปลกใจจัง เขาเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าไปง่าย ๆ เลย ก็รู้นะ ว่าเขาเป็นคนฉลาด แต่ไม่น่าจะต้องมาจริงจังกับเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้นี่น่า ?
“แล้วก็ เกี่ยวกับโลกนี้ คือว่า..”
“อา โลกนี้สินะ จริง ๆ มันก็มีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อ แต่ความจริงของโลกใบนี้ ไม่มีใครเข้าใจมันได้หรอก
ตราบใดที่เจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ตอนที่ มันเพิ่งเกิดขึ้นมา”
ข้อมูลพวกนั้นไม่ใช่ที่ฉันอยากจะรู้ซักหน่อย
“แต่มนุษย์ จำกัดความโลกนี้ด้วยคำเพียงไม่กี่คำและเรียกมันว่าโลกวิญญาณ”
“โลกวิญญาณงั้นหรอคะ ?”
คุณเสือดำเริ่มอธิบายเกี่ยวกับโลกวิญญาณอย่างง่าย ๆ ให้คนซื่อบื้ออย่างฉันฟัง
โลกกายภาพ คือสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตอย่าง มนุษย์ สัตว์อะไรจำพวกนั้นอาศัยอยู่ ส่วนโลกวิญญาณ คือสถานที่ของตัวตนที่อยู่นอกเหนือจากนั้น เป็นตัวตนที่ไร้ซึ่งกายเนื้อหรือแม้แต่แกนกระดูก
“มองไปข้างบนสิ”
“ข้างบนหรอ ? ”
พอฉันทำตามที่เขาบอก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของฉันไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์เหมือน
ในความทรงจำจากโลกแห่งความฝัน แต่เป็น ท้องฟ้าอันมืดมิดเต็มไปด้วยเมฆหมอก
“ลองเพ่งมองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น เจ้าจะเห็นบางอย่างอยู่”
เพราะบอกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ ฉันจึงลองมองหาและในจุดที่สูงขึ้นไปนั้นเอง ฉันก็เห็นกลุ่มเมฆสีขาว
ที่แยกออกจากกัน
“เห็นแล้วหรือยัง ?”
“มันคือ ?”
“โลกวิญญาณน่ะไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวหรอก จริง ๆ แล้วมันถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน
ที่เจ้าเห็นก็คือหนึ่งในนั้นเรียกว่า โลกแห่งภูติ”
เมื่อได้ยินเรื่องนั้นฉันก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ว่าไม่ได้รู้สึกสับสนเท่าไหร่นัก
ตั้งแต่รู้เรื่องเกี่ยวกับการอัญเชิญ ฉันก็เริ่มเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น มันก็คือโลกแบบนั้นไม่ใช่รึไง ?
โลกแบบเดียวกับที่เคยอ่านในหนังสือจำพวก เทพนิยายไม่ก็ตำนาน ฉันจำได้คร่าว ๆ
ว่าเคยอ่านหนังสือแบบนั้นด้วยกันกันกับพี่ ๆ น้อง ๆ ในตอนที่ฉันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ถึงคุณเสือดำจะไม่เคยไปมาก่อน แต่เขาบอกว่าด้านบนนั้น นอกจากโลกแห่งภูติแล้ว ยังมีโลกของวิญญาณร้ายอยู่อีกด้วย
“แล้ว โลกสวรรค์ล่ะคะ ? มีรึเปล่า ?”
“ข้าไม่เคยได้ยิน”
ไม่เคยได้ยินหรอ สงสัยจังว่ามันไม่มีอยู่หรือแค่คุณเสือดำเขาไม่รู้กันนะ แต่ที่สำคัญกว่านั้น…
“หืม ?”
“ที่นี่…ไม่สิ พวกมนุษย์เรียกเราว่าอะไรหรอคะ?”
ฉันลองถามออกไป ถึงแม้ว่าจะรู้สึกกังวลกับคำถามนั้นอยู่ในใจ
“อืม นั่นสินะ ถ้าเจ้าหมายถึงการมีอยู่ของพวกเราทั้งหมดแล้วละก็ พวกมนุษย์คงจะเรียกเราว่าปีศาจกระมัง”
ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าต้องเป็นแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็อยากให้เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ปีศาจ
เห.. แต่ว่า โลกนี้ถูกแบ่งเป็นหลายส่วนอย่างนั้นหรอ อื้ม….
******
สำหรับปีศาจแล้ว คุณเสือดำนับว่ามีนิสัยที่ค่อนข้างรักสงบ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นเขาก็เป็นปีศาจอยู่ดี
และวันหนึ่งพวกเราก็มีโอกาส ที่จะได้ออกไปหา 『ขนม』ด้วยกัน
“ระวังอย่าให้ตกลงไปล่ะ”
“…ค่ะ”
วันนี้ ฉันไม่โดนคุณเสือใช้ปากคาบอย่างที่ผ่าน ๆมา แต่กลายมาเป็นนั่งอยู่บนหัวของเขาแทน ดู ๆ
ไปแล้วเหมือนเขาใส่วิกสีทองอยู่เลย
แล้วก็ถ้าเกิดว่าฉันเกิดพลัดตกลงไป ต้องจำไว้ว่าห้ามเผลอเอาเล็บไปเกาะเกี่ยวเขาเด็ดขาด
ถ้าเกิดทำอย่างนั้น มีหวังโดนคุณเสือกัดเป็นการลง โทษแน่ ๆ เลย
“เจอแล้ว”
“อื๋อ ?”
หลังจากที่พูดแบบนั้น คุณเสือดำก็เร่งความเร็วขึ้น แบบที่เรียกว่าเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
พุ่งเข้าไปหาลิงสีเทาตัวหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าและกระชากตัว ของมันออกมาด้วยเขี้ยวของเขา
รอบ ๆ ตัวพวกเราตอนนี้มีเศษชิ้นเนื้อและเลือดกระจายอยู่ทั่ว นอกจากนี้กลิ่นหวานเหมือนกลิ่นของแอปเปิล
ก็ฟุ้งไปในอากาศ
“ถูกปากเจ้าไหม?”
“อร่อยมากค่ะ”
จริง ๆ มันก็อร่อยล่ะนะ ถ้าไม่ติดว่าก่อนหน้านี้ฉันเผลอสัมผัสได้ถึงจิตใจของเจ้าลิงตัวเมื่อกี้
หมายถึง ฉันบังเอิญเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความ หวาดกลัวของมัน ก่อนที่มันจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ
คุณเสือดำยังคงไล่สังหารเหล่าขนมต่อไปเรื่อย ๆ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ แต่คุณขนมพวกนี้นี่รสชาติดีจริง ๆ
แต่คุณก็น่าจะรู้นะ ว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่มันคือโลกปีศาจ แล้วพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในปีศาจที่อยู่ที่นี่ อย่างนี้ก็ไม่เท่ากับว่าเรากำลังกินพวก เดียวกันเองหรอกหรอ ?
“นี่คุณเสือดำคะ !”
“คุณเสือดำ? มันคืออะไร?”
เขาจ้องมองมาที่ฉัน
“ปีศาจอย่างพวกเรานั้นไม่จำเป็นต้องมีชื่อ การที่ปีศาจให้ชื่อซึ่งกันและกันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิเสธตนเองภายหลัง
ประชากรแห่งโลกปีศาจต่างเป็นพวกไร้นาม
จากที่คุณเสือดำบอกมาคือ ถ้าเกิดมีชื่อขึ้นมาแล้วชื่อนั้นเกิดเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปฏิเสธตนเองในภายหลังการมีอยู่ของปีศาจตนนั้นจะอ่อนแอลง
แต่ว่ากลับกันถ้าหากเราใช้ชื่อที่ได้รับมาจากโลกกายภาพ ชื่อนั้นจะช่วยทำให้การมีอยู่ของเราแข็งแกร่งขึ้น
“ถ้างั้น คุณก็ไม่มีชื่อหรอคะ ?”
“ข้ายังมีชื่อของเผ่าพันธุ์อยู่ ก็เหมือนกับที่เจ้าเรียกสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งว่า มนุษย์ หรือหมาป่า
คนอื่น ๆ จะเรียกข้าว่า เผ่า สัตว์อสูรทมิฬ”
เขาพูดว่าสัตว์อสูรทมิฬสินะ ฉันคิดว่าชื่อนั้นมันออกจะกว่างเกินไปสำหรับชื่อเผ่าพันธุ์ซะอีก พอลองคิดดูต่อ
มันจะไม่ลำบากแย่หรอ เพราะใน หมู่สัตว์อสูรทมิฬลักษณะแต่ละตัวน่าจะแทบไม่ต่างกันเลย แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า ไม่มีปัญหาเพราะเขาเป็นตัวเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว ..
ส่วนเจ้าลิงตัวเล็ก ๆ ที่คุณเสือดำไล่สังหารอยู่เป็นประจำนั้น ถ้าจะให้เรียก
ก็เรียกได้แค่แบบลวกๆว่าปีศาจ เท่านั้นแหละ
“ถ้าอย่างนั้น คุณสัตว์อูสรทมิฬคะ แล้วฉันเป็นเผ่าพันธุ์ไหนล่ะคะ?”
“ไม่จำเป็นต้องเติมคำว่า คุณ ในชื่อของข้า แล้วก็เจ้าเลิกพูดสุภาพ ๆ เถอะ มันน่ารำคาญ”
“อ๊ะ อื้ม ถ้าอย่างนั้น แล้วฉันล่ะเป็นเผ่าพันธุ์อะไร?”
“ชื่อเผ่าพันธุ์สินะ อืม..จะว่าไปข้าก็เคยเห็นปีศาจคล้าย ๆ เจ้าเมื่อนานมาแล้วด้วยนี่นา”
เหมือนกับว่าทั้งฉันและคุณเสือดำ เป็นปีศาจที่ค่อนข้างจะหายาก แม้กระทั่งตอนที่ฉันกำลังจะเปลี่ยนร่าง
คุณเสือดำก็คิดว่าฉันจะเปลี่ยนไปเป็นแค่ ลิง แบบเจ้าพวกนั้นด้วย ใจร้ายจริง ๆ
นอกจากนี้ การที่เขาถูกปีศาจอื่น ๆ ที่มีสติปัญญาเหมือนกันเรียกว่า สัตว์อสูรทมิฬ
ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้วเช่นเดียวกัน
“เจ้าเองก็มีลักษณะ คล้ายๆกับตัวข้า ถ้าอย่างนั้นก็ สัตว์อสูรทองคำล่ะเป็นยังไง?”
“อ่ะ.. อื้ม ขอบคุณค่ะ”
สัตว์อสูรทองคำหรอ~….ก็ไม่เลวนะเนี่ย อ๋อย แต่พอเห็นคุณเสือทำหน้ายิ้มกริ่ม เชิดอกภูมิใจแบบนั้นแล้ว
ชมไม่ลงเลยแฮะ
*****
ตอนนี้ฉันเริ่มคุ้นชินกับการเป็นปีศาจแล้ว
เพราะฉันเป็นแค่ลูกแมว แม้แต่เจ้าลิงตัวเล็ก ๆ ที่ปกติจะเอาแต่ทำหน้าหวาดกลัวอยู่ตลอด พอเผชิญหน้ากับฉัน มันกลับแสดงอาการต่อต้านอย่างชัดเจน แต่ว่าเจ้าพวกนี้เอื้อมเท้าตบไม่กี่ทีก็ม่องแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มชินกับการที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของมันก่อนตายแล้วด้วย ปีศาจอย่างพวกมันคงยังไม่มีจิตใจพอที่จะรู้สึกหวาดกลัวได้หรอกมั้ง
ส่วนเหตุผลที่พวกมันกล้าทำตัวก้าวร้าวต่อหน้าฉัน ก็คงเป็นเพราะร่างลูกแมวมันไม่น่ากลัวพอรึเปล่านะ?
เฮ้อช่วยไม่ได้แฮะ
นอกจากนี้ระหว่างใช้ชีวิตฉันก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณเสือดำในหลาย ๆ เรื่อง
ฉันติดใจมาตั้งแต่ตอนที่เจอกับเจ้าลิงตัวแรกแล้ว คุณเสือดๆนี่ไม่ว่าจะเจอกับตัวอะไร มีสติปัญญาหรือจิตใจอยู่ในระดับไหน เขาก็ไม่สนและ ฆ่าพวกมันอย่างไร้ปราณี
แล้วจู่ ๆ ฉันไม่รู้นึกยังไงลองถามเหตุผลเขาดู แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่า เพราะ ไม่ชอบพวกมัน ปีศาจส่วนใหญ่ที่เจอมักจะเป็นพวกที่ โง่ น่าหงุดหงิด หยิ่งเกินจำเป็น เอ่อเป็นหัวข้อการคุยที่ชวนอึดอัดจริง ๆ นะเนี่ย
มันใช้เวลานานมาก ๆ กว่าเขาจะหาคนที่คุยด้วยได้แบบฉันเจอและเท่าที่นับๆดู ในชีวิตนี้เขาเจอปีศาจที่คุยด้วยแล้วสนุกแค่ห้าตนเท่านั้น
“คุยกับมันฉันสนุกหรอ ?”
“ใช่ ความฝันที่เจ้าพูดถึงมันน่าสนใจดี”
ฉันเองก็รู้สึกสนุกที่ได้คุยกับคุณเสือดำ ก็เพราะเสียงของเขาน่ารักด้วยแหละนะ
ถึงเราจะอยู่กันตลอดแต่ก็เคยมีอยู่บ้างบางครั้งที่พวกเราไม่ได้คุยกันเลย
อาจจะเป็นเพราะ พวกเราเป็นปีศาจประเภทที่คล้ายๆแมวเหมือนๆกัน ทำให้ชอบเล่นด้วยกันมากกว่า
“ฟุเนี้ยว!!”
จู่ ๆ คุณเสือดำก็เอาจมูกเข้ามาฟุดฟิดแถว ๆ ท้องของฉัน
จั๊กกะจี้อ่ะ
ฉันแอบคิดไว้ในใจว่า ถ้าเขาทำเกินไปถึงขั้นเลียละก็ จะข่วนหน้าเข้าให้ แต่บางทีมันอาจจะเปล่าประโยชน์ก็ได้ เพราะเขาคงแค่รู้สึกเหมือนโดนสะกิด
จากนั้นฉันโดนจับกลิ้งไปมาเป็นลูกบอลขน จากนั้นก็โดนฟุดฟิดที่ท้องอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเล่นจนหนำใจแล้ว คุณเสือดำก็เปิดโอกาสให้ฉันฟุดฟิดกลับบ้าง
ขนของเขาเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะตรงบริเวณหน้าอกจะฟูฟ่องและนุ่มกว่าตรงอื่น ฉันถือสิทธิ์โผเข้าไปตรงบริเวณนั้น ก่อนจะฝังตัวเองลงไปในก้อนขน และเริ่มปฏิบัติการฟุดฟิดเต็มรูปแบบ
กลิ่นดีมากเลยล่ะ
แถมยังมีกลิ่นหวานอ่อน ๆ เหมือนกลิ่นของมึนเมาที่มักจะได้กลิ่นเมื่อจิบแอลกอฮอล์อยู่ด้วย
เอ… แล้วถ้าลองฟุดฟิดท้องของตัวเองดูจะได้กลิ่นแบบนี้ไหมนะ ?
พวกเราเล่นกันไปอย่างนั้น จนเวลาผ่านไปมากพอสมควร
อาจจะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน หรืออาจจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ได้ มันไม่มีหนทางที่จะบอกได้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วอีกอย่าง กฎของเวลา ในโลกวิญญาณก็ยังคุมเครืออยู่
แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็สัมผัสปริมาณเวลาที่ผ่านไปด้วยร่างกายได้
ร่างกายตัวเล็กเท่าลูกแมวบัดนี้เติบโตขึ้นจนเท่ากับแมววัยเจริญพันธุ์ทั่วไปแล้ว แต่ถึงตัวจะเล็กแค่นั้นแต่ฉันก็สามารถวิ่งได้เร็วเท่าคุณเสือดำแล้วนะ
…ถึงจริง ๆ ฉันจะต้องใช้เจ้าปีกค้างคาวช่วยเพื่อเพิ่มความเร็วก็เถอะ
ความน่าเกรงขามของร่างนี้เองก็เพิ่มขึ้นพอสมควร เคยมีคุณลิงตัวใหญ่กว่าฉันที่บังเอิญเดินผ่านมาแล้วมันก็จ้องมาที่ฉัน จากนั้นมันก็ทําหน้าปั้นยาก ก่อนจะถอยกลับไปทีละก้าวๆ
อ่า.. อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันก็คึกแล้วไล่กวดคุณซะหรอก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นตอนที่ฟัดกับคุณเสือดำ ฉันก็เป็นฝ่ายโดนเป่ากระจุยซะทุกทีเลย สุดท้ายก็เลยต้องยอมแพ้ ปล่อยให้เขาฟุดฟิดที่ท้องของฉัน
งืออ ครั้งหน้าไม่แพ้แน่
“นี่ นั่นอะไรหรอ ?”
ตอนนี้ฉันกำลังโดนคุณเสือดำฟุดฟิด เพราะแพ้ในการเดิมพัน จนกระทั่งเขาจั๊กกะจี้ฉันแรงไปหน่อย
เลยกัดจมูกเข้าให้หลังจากนั้น เขายอมให้ฉันฟุดฟิดกลับเพื่อเป็นการขอโทษ
และระหว่างที่กำลังฟุดฟิดอยู่นั้นเอง ฉันก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“อ่อ นั้นน่ะหรอ วงเวทย์อัญเชิญไงล่ะ ข้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเจ้าเรอะ ?”
เขาตอบขณะจ้องมองไปยังวงเวทย์อัญเชิญ
ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เขาดูอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ แต่จู่ ๆ กลับทำหน้าปั้นยากขึ้นมา ดูแล้วก็รู้สึกตลกชอบกล
บางทีอาจจะรู้สึกรำคาญที่จะต้องรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆเพื่ออธิบายฉันสินะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันอยากจะถามว่าทําไมปีศาจตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ๆถึงโดนดูดเข้าไปล่ะ ?”
วงเวทย์อัญเชิญ ฉันเองก็เคยได้ยินมาจากคุณเสือดำมาบ้างเหมือนกัน
สรุปสั้นๆ มันก็คือ ประตูที่สร้างขึ้นด้วยเวทย์อัญเชิญจากโลกกายภาพ ถ้าหากมีปีศาจจากโลกวิญญาณเผลอเหยียบมันเข้า ก็จะถูกอัญเชิญไปยังโลกอื่น
ฉันก็ไม่เคยลองเข้าไปหรอกนะ ตอนแรกที่ได้ยินว่ามีของแบบนี้อยู่ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเลยล่ะ เพราะว่ามันอาจจะพาไปยังโลกแห่งแสงที่ฉันเคยฝันถึงได้ แต่ว่าฉันดันเข้าไปไม่ได้นี่สิ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจอวงเวทย์ ฉันก็เคยลองวางปลายเท้าให้ห่างที่สุดเท่าที่ฉันคิดว่าจะกระโดดถึง แต่พอเริ่มใช้เล็บจิกพื้นเพื่อเตรียมกระโดด ฉันก็ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้แหลมบาดแก้วหูดังขึ้นมา จากนั้นวงเวทย์อัญเชิญก็หายไปซะดื้อ ๆ เลย
คุณเสือดำเล่าว่า เมื่อตอนที่เขายังตัวเล็กกว่าตอนนี้มาก เขาเคยเข้าไปในวงเวทย์และถูกส่งไปโลกอื่นมาหลายครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะทำไม่ ได้แล้ว-
เวทมนต์หรอ อยากเห็นของแบบนั้นบ้างจังน้า
“ท่าไมน่ะหรือ…. เจ้าพวกปีศาจที่มีจิตใจอ่อนแอพวกนั้นถูกบังคับอัญเชิญยังไงล่ะ พอเป็นเช่นนั้น อย่าคิดว่าเจ้าจะได้ทำพันธสัญญากับคนอัญเชิญเลย ก็แค่โดนไปใช้งานโดยไม่มีค่าตอบแทนก็เท่านั้น”
โดยทั่วไปหลังจากปีศาจตอบรับการอัญเชิญจากโลกกายภาพแล้วก็จะได้ทำพันธสัญญากับผู้อัญเชิญ ปีศาจจะได้รับวิญญาณ เครื่องเซ่นและอะไรอีกหลายอย่างเป็นค่าตอบแทน แต่เท่าที่ฉันได้ยินมา ผู้อัญเชิญจะต้องแบกภาระหนักมาก
แต่การอัญเชิญที่สมบูรณ์จะทำให้ปีศาจ ใช้พลังได้โดยไร้ข้อจำกัดและสามารถสำแดงฤทธิ์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่
ทว่า ปีศาจอย่างพวกเรานั้นสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นไม่ได้ และถ้าปีศาจที่มีจิตใจอ่อนแอถูกอัญเชิญออกไป สุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วย การทำพันธสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ ผลที่ตามมา คือไม่มีพลังพอที่จะทำงานให้้สำเร็จลุล่วง
“สรุปคือ ถ้าจิตใจอ่อนแอก็จะถูกดูดเข้าไปอย่างนั้นหรอ ? ฉันต้องระวังบ้างแล้วแฮะ”
ฉันไม่ได้พูดเกินจริง เพราะรู้ว่าตัวเองมีจิตใจที่ค่อนข้างอ่อนแอ ขนาดทนความยั่วยวนของพวกคุณขนม
ฉันยังทนไม่ได้เลย
“ถ้าเป็นเจ้า ข้าว่าน่าจะไม่เป็นไร”
“อื๋อ ? ทำาไมหรอ ?”
“เพราะเจ้าค่อนข้างเฉื่อยกระมัง ?”
“งื้อออ”
จริง ๆ ก็รู้หรอกนะว่าตัวเองมันหัวช้า แต่ไม่เห็นต้องว่ากันขนาดนั้นก็ได้นี่นา
ด้วยความที่ผิดหวังจากคำตอบเล็กน้อย ฉันจึงใช้เท่าหน้าตบหน้าคุณเสือดำไปหนึ่งที
แต่ถึงจะโดนไปอย่างนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
หมัดแมวของฉัน คงไม่ระแคะราคายเขาเลยสินะ ฮือออ
พอฉันทำหน้าผิดหวัง จู่ ๆคุณเสือดำก็หยุดหัวเราะแล้วก็ดันตัวฉันให้มาอยู่ใกล้ๆก่อนจะกัดลงไปที่คอของฉัน
“หวา !? โอ้ย ๆ”
เป็นครั้งแรกที่โดนกัดแรงขนาดนี้ ความรู้สึกที่เขี้ยวจมลงไปแล่นผ่านแผ่นหลังทำให้ฉันเริ่มรู้สึกกลัวเหมือนกับตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก
จริง ๆ แล้ว ร่างกายปีศาจไม่ค่อยจะได้รับความรู้สึกเจ็บปวดหรอก แต่ความเจ็บปวดที่ส่งเข้ามากำลังบ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ปั่นป่วนของคุณเสือดำ อยู่ต่างหาก
“เจ้าไม่จำเป็นต้องไปไหนทั้งนั้น จงอยู่ที่นี่ซะ ”
เขาพูดเสียงแข็งและเป็นเสียงที่น่ากลัว เหมือนกับครั้งแรกนั้นไม่มีผิด
“อะ อื้ม”
สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่ผงกหัวยอมรับคําพูดนั้นเท่านั้น
*****
ยังไงคุณเสือดำก็เป็นปีศาจ
ถึงเขาจะชอบฉันในฐานะสัตว์เลี้ยงมากเท่าไหร่ เขาก็พร้อมจะกินฉันทุกเมื่อถ้าความรู้สึกเหล่านั้นมันเหือดแห้งไป
ก่อนที่จะเกิดเรื่องก่อนหน้านี้ อุตส่าห์คิดว่าเราทั้งสองนั้นฐานะเท่ากัน แต่พอเป็นอย่างนั้นแล้ว
ก็ได้แต่เสียใจที่ฉันคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากสัตว์ เลี้ยง
ใจนึงก็อยากเข้าไปฟุดฟิดเขา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ต้องยับยั้งชั่งใจตัวเอง กระซิก ๆ
หลังจากเรื่องคราวนั้น ทุกครั้งที่เขาจะมาฟุดฟิดฉัน ถ้าฉันปล่อยไปเลยตามเลย เขาก็จะทำเกินไปกว่าปกติ ซึ่งจะเกินไปถึงไหน มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ เพราะฉะนั้นฉันจึงตบเขาด้วยอุ้งมือเป็นการห้าม แต่เขาก็ตอบรับการตบของฉันด้วย การกัดบนตัวฉันเบาๆหรือไม่ก็เลีย ซึ่งฉันไม่ชอบเอาซะเลย
อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ
และแล้ววันหนึ่งคุณเสือดำก็ออกไปข้างนอก
จากการที่ปกติเราอยู่ด้วยกันตลอด เรื่องนี้จึงยากที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้ฉันกำลังเขี่ยๆกลิ้งๆ ปีศาจตัวเล็กให้เข้าไปในวงเวทย์อัญเชิญที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นฉันก็เห็นคุณเสือดำเดินกลับมา
“ไปไหนมาหรอ…อื๋อ ? เจ้าพวกนี่มันคืออะไร?
“สัตว์เลี้ยงของเจ้า…ล่ะมั้ง”
สัตว์เลี้ยง ? ทําไมถึงต้องเอามาด้วยล่ะ? หรือว่าเอาเจ้าพวกนี้มาเพื่อให้ฉันระบายความรู้สึกอยากฟุดฟิดที่เก็บกดไว้อยู่งั้นหรอ ?
ปีศาจตัวเล็กหลายตัวที่อยู่ในร่างกำลังพัฒนาถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าฉัน
มีราว ๆ4 ตัว ร่างกายแต่ละตัวเพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนสีและเพราะยังมีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจและสติปัญญาอยู่น้อย พวกมันจึงทำท่าทาง หวาดกลัว ทั้งฉันและคุณเสือดำ
พวกมันน่ารักจังเลย และท่าทางจะน่าอร่อยด้วยสิ ฟุดฟิด ๆ
เหล่าปีศาจตัวน้อยตัวสั่นหงึก ๆ อย่างกับเจ้าเข้าตอบสนองต่ออาการหน้ามืด เพราะเห็นของน่ารักที่ฉันแสดงออกมา
เห็นอย่างนั้น ฉันจึงพยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรน้า~ ฉันไม่กินพวกเธอหรอก อย่ากลัวไปเลยน้า~”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองดูไม่น่าเชื่อถือพอแฮะ
ช่วยไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เทคนิคอะไรนิดหน่อยซะแล้ว
ฉันคาบพวกปีศาจน้อยทุกตัวมาตั้งไว้บนแผ่นหลัง จากนั้นจึงกางปีกค้างคาวสีดำออกมา
ก่อนจะใช้แรงจากปีกนั้นส่งตัวเองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ณ ตอนนี้ การมีอยู่ของวงเวทย์อัญเชิญ หรือความปรารถนาที่อยากกลับไปยังโลกแห่งความฝันสีขาวนั้น
ไม่ได้อยู่ในใจฉันอีกแล้ว
ส่วนคุณเสือดำตอนนี้เขากำลังเงยหน้ามองฉันที่กําลังโลดแล่นอยู่บนท้องฟ้าด้วยใบหน้าที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย และเต็มไปด้วยความกระ ตือรือร้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ทำมาซะนาน
แปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะแปะ
เหล่าปีศาจตัวน้อยบนหลังของฉันต่างกระโดดขึ้นๆลงๆ ด้วยความสนุกสนาน แล้วพวกมันก็เริ่มติดใจ กลิ่นหวาน ๆ ของผลไม้ที่ลอยออกมาจากการที่ฉันออกล่าปีศาจลิง
น่ารักจริง ๆ
ไม่นานพวกมันก็เลิกหวาดกลัวในตัวฉัน ค่อยยังชั่ว ฉันเริ่มลดระดับความสูงในการบิน หลังจากร่อนลงมาบนพื้นเรียบร้อย ต่อมาก็เป็นการนั่งคุย กับเหล่าปีศาจตัวน้อยพวกนี้ ถึงจะเป็นการที่ตัวฉันพูดเองอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะนะ
ฉันคุยกับพวกเหล่าตัวน้อยด้วยวิธีการพูดแบบเดียวกันกับที่เคยทำในโลกความฝัน ทั้งการคุยแบบพี่เลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แบบคุณครูที่ โรงเรียนและแบบที่คุยกับเหล่าน้องสาวของฉัน
แต่ว่าถ้าคุยด้วยวิธีการแบบนั้นกับปีศาจจะเป็นอะไรไหมนะ? ความคิดนั้นจู่ ๆ ก็แล่นเข้ามาในหัว
แล้วฉันจะทำยังไง ถ้าเกิดการทำแบบนี้จะเป็นสาเหตุให้ พวกเขาปฏิเสธตนเองในภายภาคหน้าแล้วก็หายไป
อืม ยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นปีศาจนี่นะ !
ฉันเลิกคิดมากในเรื่องนี้ เอ่อ..หมายถึง อยากจะลองให้โอกาสเหล่าตัวน้อยให้ได้รับการศึกษา เพราะถ้าพวกเขาเรียนรู้อะไรจากฉัน จนสุดท้าย พัฒนาตัวเองจนพูดได้ คงจะสนุกน่าดู ใช่มั้ย ?
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ดูเหมือนการสอนจะได้ผล เหล่าตัวน้อยดูท่าทางจะฉลาดขึ้นแล้วล่ะ เอ่ออย่างน้อยก็คิดแบบนั้นล่ะนะ
พวกเค้าตัวใหญ่ขึ้นแถมเริ่มออกล่าหาคุณขนมด้วยตัวเองได้แล้ว บางทีอาจจะถึงช่วงที่สามารถเปลี่ยนร่างได้แล้วก็ได้
“เจ้าไม่คิดจะให้ชื่อเผ่าพันธุ์ เจ้าพวกนั้นหน่อยรึ ? ”
“ชื่อเผ่าพันธุ์หรอ ทําไมล่ะ ?”
ในช่วงที่ไม่ได้ดูแลเจ้าพวกตัวน้อย ฉันก็จะถูกคุณเสือดำฟุดฟิดใส่
ไม่คิดจะมีเวลาว่างให้พักหายใจบ้างเลยรึไงเนี่ย
“ถ้าเจ้ากำหนดภาพขึ้นมาให้ชัด บางทีเจ้าพวกนั้นอาจจะมีโอกาสเปลี่ยนเป็นร่างนั้น ๆ ได้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเปลี่ยนไปเป็นอย่างเจ้าลิงพวกนั้น “
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง แล้วทําไมตอนนั้นคุณไม่ทำแบบเดียวกับฉะ… โอ๊ย ! โอ๊ย ! โอ้ย ! ”
พอฉันเริ่มบ่นออกมา จู่ ๆ เขาก็กัดฉันแบบ ไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียง พอบอกไปว่าเจ็บ เขาก็เปลี่ยนเป็นเลียตัวฉันแทน
ให้ตายสิยังไง ๆ ก็ไม่ชินกับมารยาทของเขาซักที อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ
“….อืม….”
“แล้วจะเอาชื่อเผ่าพันธุ์อะไรดีล่ะ ?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามีความทรงจำแปลกๆพวกนั้น? ทำไมไม่ลองเอามาใช้อ้างอิงล่ะ”
ฉันบุ่ยปากอย่างหงุดหงิด กับท่าทีที่ไม่ใส่ใจของคุณเสือดำ
ดูๆไปอย่างกับพวกเราทั้งคู่เป็นเด็กเลย
แต่พอลองคิดดูแล้ว ก็เป็นคำแนะนำที่ไม่เลว
เอายังไงดีน้า ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเอาที่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีไหม? ไม่ ! ไม่ ! ไม่ยุ่งกับเรื่องเทพอะไรพวกนั้นจะดีกว่าแฮะ อีกอย่างจินตนาการของฉันคงไปไม่ถึงด้วย
สัตว์ประหลาดที่ปรากฏตามตำนานล่ะ ดีไหม?
แล้วก็ต้องไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดาๆด้วย แต่เป็นตัวที่อยู่ระหว่างปีศาจกับภูตผี สัตว์ศักดิ์สิทธิ์์ล่ะเป็นยังไง?
ฉันพึมพำกับตัวเอง ในระหว่างที่คิด ปีศาจตัวน้อยทั้งสี่ก็กระโดดดึ๋ง ๆไปมา เหมือนจะคิดว่าฉันกําลังกังวลอยู่
ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้จากพวกมันเริ่มแตกต่างไปจากเดิม บางทีอาจจะแค่คิดไปเอง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยพวกนี้จะมีเพศเป็นของตัวเองแล้วด้วย
“ไหนดูซิ ตัวนี้กับตัวนี้ สีเข้ากันดีนะ ฉันจะให้พวกเธอเป็นพี่น้องกันละกัน
ระหว่างที่กำลังพึมพำแบบนั้น ฉันก็กำลังจินตนาการภาพของปีศาจตัวน้อยทั้งสี่ตัวอยู่ในใจ ลึกจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยส่วนสุดท้าย
แต่ว่ามันจะดีหรอ จริง ๆ แล้วเจ้าพวกนี้ควรจะเปลี่ยนร่างไปตามที่ตัวเองคิดตัวเองต้องการ อืม..แต่พวกเค้าทำท่าเหมือนจะยอมรับและยินดีที่จะใช้ชื่อเผ่าพันธุ์กับร่างกายที่ฉันเป็นคนคิดให้ซะด้วย
รู้สึกอึดอัดแปลก ๆ แฮะ ฉันจึงลองหันไปถามคุณเสือดำเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบรับของเจ้าพวกตัวน้อย ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่าไม่มีอะไรแปลก
ปีศาจที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนร่างตนเอง ถ้าไม่เคยถูกอัญเชิญไปโลกกายภาพมาก่อน การที่จะจินตนาการถึงร่างที่จะเปลี่ยนไปนั้น เป็นเรื่องยากมาก เพราะแบบนี้ปีศาจหลายตน จึงประสบกับการเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นลิง แถมยังไม่สามารถมีเพศเป็นของตัวเองได้ด้วย
“ทําไมถึงต้องกลายเป็นลิงตลอดเลยล่ะ ?”
“เพราะมนุษย์มักจินตนาการถึงรูปร่างของปีศาจอย่างพวกเราตามใจ
ตัวเอง ข้าก็ไม่รู้เพราะเหตุใด มันถึงส่งผลกระทบมายังโลกวิญญาณด้วย”
ก็แล้วทำไม ถึงต้องเป็นลิงล่ะ…
หรือประมาณว่า ภูติไฟกับดิน ถ้าจินตนาการดูก็น่าจะมีลักษณะเป็นกิ้งก่ากับหมาป่า ส่วนภูติแห่งน้ำและลม
ก็ควรมีลักษณะเป็นหญิงสาว การที่ออกมาแบบนี้ ก็เพราะเป็นจินตนาการของมนุษย์อย่างนั้นสินะ
หรือจะให้พูดอีกอย่างคือ ปีศาจ=น่าเกลียด=ลิง นี่อาจจะเป็นระบบความคิดที่ว่านั่นก็ได้ อันตราย อันตรายจริง ๆ
หลังจากนั้น ฉันก็คอยชมพวกตัวน้อยทั้งสี่ตัวว่า น่ารัก น่ารักมากเลย อยู่ทุก ๆ วันทำให้ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าพวกเค้าต้องโตมาน่ารักแน่ ๆ
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?”
“คือจะอธิบายยังไงดีล่ะ”
อย่างกับเดจาวู แตกต่างอยู่อย่างเดียวก็คือ เสียงของคุณเสือดำไม่ได้แสดงความโกรธออกมา แต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความสนอกสนใจและ ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
“นายท่านเหมียว ขอรับ/เจ้าขา ”
ถึงแม้จะเป็นเสียงที่เบา แต่ประโยคทักทายที่พวกเขาพูดมาได้อย่างถูกต้องตามที่สอนนั้น น่ารักมาก
แต่ปัญหามีอยู่หนึ่งข้อ คือ มันจะน่ารักเกินไปแล้วววว
สองในสี่ตัวนั้น มีรูปร่างคล้าย ๆ ขนมปังปิ้ง พวกเขาจ้องมาที่ฉันด้วยดวงตาเป็นประกายสีม่วง
ส่วนที่สื่อถึงความเป็นปีศาจมีอย่างเดียว คือ เขาแกะสองข้างที่ติดอยู่บนหัว
จากความคิดของฉัน เขาทั้งสองข้างนั้นดูคล้าย ๆ ทรงผมทวินเทลเลย น่ารักจัง
มีตัวนึ่งเปลี่ยนร่างเป็นลิง แต่ว่าเป็นลิงที่มีขนสีขาว บริสุทธิ์ ฟูฟ่อง ดูนุ่มนิ่ม ทำให้ตัวมันน่าเอ็นดู แต่ว่าใบหน้าของมัน เหมือนกับตัวตลกยังไงก็ไม่รู้ ฉันจึงลองเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้ว ก็ได้รู้ว่าหน้ามันเหมือนตัวตลกจริง ๆ
ตัวสุดท้ายเป็นงู แต่เป็นงูที่ไร้เกล็ดแถมมีผิวที่นุ่มอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย และเจ้าตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ฉันเลือกให้มีสีเข้ากับตัวเองนั่นก็ คือ สีทองอ่อน ๆ กับดวงตาสีแดง
ขอโทษนะ ท่าทางฉันจะทำเหมือนพวกแกเป็นสัตว์เลี้ยงไปจริง ๆ ซะแล้ว
ก็รู้ตัวมาซักพักแล้วล่ะว่า…
ที่คุณเสือดำเอาเจ้าพวกนี้มาให้ฉัน ก็เพราะไม่อยากให้ฉันไปโลกอื่นล่ะสินะ ใช้เหล่าปีศาจตัวน้อยพวกนี้เป็นเหมือนปลอกคอ และโซ่ตรวนให้รู้สึกผูกพันทีละเล็ก ทีละน้อย
ถึงตอนนี้ฉันจะค่อนข้างสงบจิตสงบใจได้ เพราะเห็นเจ้าพวกตัวน้อยไล่จับคุณแมลงอยู่ก็เถอะ
แต่..คุณรู้ไหม ? ปกติแล้วปีศาจน่ะ ไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ยามนี้จิตใจฉันสงบ แต่ฉันก็ยังคงคิดถึงโลกความฝันแห่งแสงนั้นอยู่
ความทรงจำของโลกใบนั้น ที่ฉันเรียกมันกลับมาในตอนที่กำลังจินตนาการร่างกายให้เหล่าปีศาจตัวเล็ก ได้กระตุ้นความโหยหาถึงโลกนั้นในจิต ใจของฉัน
อยากจะกลับไป มันเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่าคิดถึงบ้าน
แต่ฉันยังกลับไปไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าโลกที่ฉันฝันถึงมันมีอยู่จริงรึเปล่า
ถ้า ถ้าเกิดโลกใบนั้นมันมีอยู่ละก็….
พรึบ!
เสียงของอะไรบางอย่างเปิดออกดังขึ้น
ทั้งคุณเสือดำและปีศาจตัวน้อยต่างเข้าสู่โหมดระวังภัย มันกําลังมีอะไรเกิดขึ้นรอบ ๆ นี้
แต่ว่าฉันรู้ดี เรียกว่าเข้าใจทันทีเลยตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ความรู้สึกของฉันเป็นตัวเรียกหาวงเวทย์อัญเชิญให้ปรากฏขึ้นมา
ตามปกติแล้วการเปิดประตูสำหรับการอัญเชิญจากโลกนี้จะทำไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของปีศาจ
แต่มันเป็นกฎ
การที่วงเวทย์เกิดขึ้นได้มันให้อารมณ์เหมือนเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือพูดอีกอย่างคือถ้าจู่ ๆวงเวทย์อัญเชิญปรากฏขึ้นมา มันก็จะต้องเป็น ฝีมือช่องทางฝั่งโลกกายภาพไม่มีทางเป็นทางฝั่งโลกวิญญาณ
แต่หนึ่งในตัวแปรที่ฉันมี ทำให้เกิดข้อยกเว้นขึ้นมาก็คือ ความทรงจำของมนุษย์ ส่วนตัวแปรอื่น ๆ ก็คือ ฉันบังเอิญสร้างวงเวทย์อัญเชิญขึ้นมา โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว และดันบังเอิญตรงกับเวลาที่โลกกายภาพถูกบางอย่างรบกวน
ฉันไม่เคยเห็นวงเวทย์อัญเชิญที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ขนาดที่แผ่ออกของมัน ครอบคลุมร่างกายของฉันได้ทั้งตัว
“นี่ ! เจ้า !”
พอสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของวงเวทย์อัญเชิญ คุณเสือดำก็รีบพุ่งตัวเข้ามาหาฉัน แต่แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม ร่างของเขากลับถูกวงเวทย์อัญเชิญดีดกระเด็นลอยออกไป
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะเป็นแบบนั้น ก็เพราะวงเวทย์นี่มีมาเพื่อฉัน เพราะความปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกแห่งนั้น มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฉันคนเดียวเท่านั้น
วงเวทย์อัญเชิญปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา มันเป็นแสงแบบเดียวกับในโลกแห่งความฝันที่ฉันโหยหา แสงเหล่านั้นได้ห่อหุ้มร่างกายของ ฉันเอาไว้
สติของตัวเองเริ่มเรือนลาง ฉันหันไปมองโลกปีศาจที่ฉันเติบโตมาเป็นครั้งสุดท้าย และฉันก็ได้เห็นคุณเสือดำจองมองมาที่ฉัน
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าว
“เจ้าสัตว์อสูรทองคำ———–!”
เสือสีดำส่งเสียงร้องก้องกังวาน…ขอโทษนะ ฉันทำให้คุณโกรธอีกแล้วสิเนี่ย
*****
เมื่อฉันได้สติ ก็พบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยแสง
หรือว่า ที่นี่มันจะเป็น โลกแห่งแสง ? ฉันกลับมาที่โลกกายภาพแล้วหรอ ?
ดวงตาของฉันตอนนี้ยังมองไปรอบ ๆ ได้ไม่ถนัดนัก เสียงก็ไม่ได้ยิน แม้แต่ร่างกายถึงจะพยายามแต่ก็ขยับไม่ได้
การอัญเชิญล้มเหลวหรอ ? เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วร่างกายของฉันก็แข็งทื่อเพราะความกลัวที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานาน
และในตอนนั้นเองจู่ ๆร่างกายของฉันก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน นี่เรากาลังโดนตบให้ตื่นรึยังไงกันเนี่ย?
ฉันหายใจเข้าออกด้วยความกลัว เดี๋ยวนะ ! นี่ฉันหายใจอยู่?
ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงร้องไห้เหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ ดังขึ้น ผ่านไปซักพัก ฉันถึงจะรู้ว่าเสียงร้องนั้นออกมาจากปากตัวเอง
แล้วก็มีเสียงอื่นอยู่ด้วย เป็นเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังพูดคุยกันอยู่
ในจังหวะนั้น ฉันก็ได้รู้ว่าเสียงเหล่านั้นถูกเปล่งออกมาเป็นคำ ซึ่งฟังไม่เข้าใจในช่วงแรก ๆ จนเวลาผ่านไปในที่สุดฉันก็เข้าใจเสียงพวกนั้นซึ่งกำลังดังก้องอยู่ในหู
“ ลูกสาวที่น่ารักของฉัน ยูรุเชีย ”
รู้สึกราวจิตใจของตัวเองกําลังสั่นไหวเหมือนโดนฟ้าผ่า การเกิดในโลกปีศาจโดยที่ไม่มีชื่อ หลังจากมาที่โลกกายภาพฉันก็ได้รับชื่อ และ ตอนนั้นเอง ฉันก็ได้เข้าใจสถานะของตัวเองตอนนี้ แล้วว่า
ฉันที่เป็นปีศาจ ได้เกิดใหม่ในร่างกายของ “มนุษย์” ซึ่งเป็น “ทารก”