บทที่ 1ความฝันของปีศาจ-ตอนที่3 เมื่อฉันกลายเป็นมนุษย์
นี่มันแย่แน่ๆ
นั่นคือคําพูดที่ฉันพูดกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้
แต่ตอนพูดมันแทบไม่มีเสียงดังออกมาหรอก
แถมยังดูไม่เป็นคำอีกทั้ง ๆที่พยายามพูดออกมาแล้วก็ดันมีแต่เสียง “เฮะ แอ๊ะ” เสียงก็ออกมาประมาณนั้นแหละ
พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของมนุษย์ที่เป็นทารก
แม้แต่ฟันก็ยังไม่งอกแล้วก็ยังควบคุมลิ้นกับปากไม่ค่อยได้อีก
“ตายแล้วช่างน่ารักเสียจริงท่านยูรุ อยากได้อะไรงั้นหรอคะ?”
หลังจากที่ฉันส่งเสียงออกไป
พี่สาวที่ใส่ชุดเมดก็เดินเข้ามาหา เพื่อที่จะเข้ามาเล่นกับฉันด้วยท่าทีที่ดูอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความเอ็นดู
อืม.. เด็กมันก็น่ารักหรอกนะ
ฉันเข้าใจ แต่คุณก็น่าจะรู้นะ ว่าถึงจะถามอะไรทารกไปก็ใช่ว่าเด็กจะตอบกลับไปได้ซักหน่อย
แล้วก็จากที่เมดคนนั้นเรียกฉันว่า “ท่านยูรุ” ก็ทําให้รู้ว่าตัวเองมีชื่อเล่นว่า “ยูรุ” ซึ่งก็คงมาจากชื่อเต็ม ๆ ของฉันว่า “ยูรุเชีย”
ในฐานะปีศาจแล้วมันช่วยไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกผูกพันกับชื่อที่พึ่งได้รับมาในโลกนี้ขึ้นมา
ที่รู้สึกแบบนั้นถึงจะไม่ค่อยดีแต่ก็คงต้องอดทนไว้
แต่ชื่อเล่นว่ายูรุเนี่ยทําให้นึกถึงอะไรบางอย่างนะ
อ้อมันทําให้ฉันนึกถึงชื่อยูรุคาล่า อืมพอคิดอย่างนั้นแล้วรู้สึกเศร้า ๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้แฮะ (ยูรุคาล่า =มาสคอตตัวหนึ่งของญี่ปุ่น)
สองเดือนผ่านไป ตั้งแต่ฉันลืมตาดูโลกระหว่างนั้นฉันก็ได้รู้สิ่งต่าง ๆมากมาย
ฉัน ยูรุเชีย เกิดในตระกูลที่ค่อนข้างมีฐานะเลยล่ะ
เพดานห้องซึ่งได้มองอยู่ทุก ๆ วันนั้นถูกประดับประดาอย่างวิจิตร งดงาม และเมดทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ต่างเป็นคนสวยมาก
และการที่ถูกเรียกว่า “ท่านยูรุ” จากพี่สาวเมดคนสวยคนหนึ่งก็ทําให้กระจ่างเลยว่า ฉันมีฐานะเป็นคุณหนูของบ้านหลังนี้
ส่วน เพศ ก็…ผู้หญิงสินะ? เพราะรู้สึกกังวลนิดหน่อยฉันจึงลองเอาขาทั้งสองข้างถูกันดู
ซึ่งมันไม่รู้สึกเหมือนจะมีอะไรอยู่ที่ระหว่างขาเลย รู้สึกโล่งไปเปราะหนึ่ง
ปัญหาข้อแรก ถึงฉันจะแกล้งทําตัวเองเป็นเด็กทารกอยู่ แต่บางครั้งถ้าไม่ตั้งสมาธิเข้าไว้
ร่างทารกนี่ก็จะมีอิทธิพลเหนือจิตใจทําให้ฉันเผลอร้อง ไห้ออกมาตามธรรมชาติ
แล้วยังมีปัญหาเรื่องภาษาอีก
รู้สึกว่าที่พูดกันอยู่นี่น่าจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แล้วฉันเข้าใจมันได้ยังไงกันล่ะ? ในเมื่อไม่เคยได้ยินมาก่อน อืม..อาจจะเป็นเพราะความสามารถของปีศาจก็ได้
พอลองคิดย้อนดูดีๆแล้ว
ตอนที่ฉันได้ยินเสียงของคุณเสือดำครั้งแรก มันก็ไม่ใช่ภาษาที่สัตว์ธรรมดา ๆ สื่อสารกันด้วยสิ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเรียนรู้ภาษานี้นะ เพราะถึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่อ่านหรือเขียนไม่ได้เนี่ย มันทรมานออก ปัญหาต่อไปเรื่อง อาหาร
อาหารที่ฉันกินอยู่ตอนนี้คือ “นมแม่” รสชาติมันไม่ดีเลยน่ะแต่คุณแม่กับผู้ดูแลอีกสองคนพยายามให้ฉันดื่มมันเข้าไป
บอกตามตรงตอนนี้ยังไม่หิวเลยด้วยซ้ำแต่ก็ต้องอดทนดื่มแต่ถ้าไม่ดื่มเข้าไปเยอะ ๆ ท่านแม่ต้องกังวลแน่ ๆ ฉันจึงฝืนตัวเองต่อไป
ปัญหาสุดท้ายและเป็นปัญหาใหญ่ ฉันเป็น มนุษย์ หรือ ปีศาจ กันแน่?
ตอนนี้มีคนที่ปรากฏอยู่ในสายตาของฉันอยู่ห้าคน
ท่านแม่ คนดูแลอีกสอง สุดท้ายก็เมดที่คอยดูแลฉันสามคน
เอ… รู้สึกว่าจะชื่อ วิโอ เฟอร์ แล้วก็… มิน ฮื๋อ? ทําไมรู้สึกคุ้นๆสามชื่อนี้แปลกๆ?
แย่แฮะ
รู้สึกเหมือนว่าฉันจะปนชื่อจริงกับชื่อเล่นของพวกคุณเมดซะแล้ว
แต่สถานะทารกตอนนี้ จะทําอะไรเพื่อเป็นการยืนยันชื่อจริงชื่อเล่น มันทําไม่ได้ถึงจะเห็นคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าของที่นี่แล้วก็เถอะ
แต่ตอนนี้ฉันกําลังมองหาคนที่น่าจะเป็นคนใช้เวทย์อัญเชิญได้อยู่
เอ
แต่จะว่าไป ในโลกนี้มันมีเวทมนต์อยู่รึเปล่าล่ะเนี่ย
อื่ม… ถ้าว่ากันตามหลักมันก็ต้องมีสินะ
อย่างตอนที่คุณ วิโอ เปิดไฟในห้อง เธอคนนั้นเหมือนจะใช้อะไรซักอย่าง ที่น่าจะเป็นเวทมนต์ขึ้นมา
เวลานี้ฉันกําลังรู้สึกกระวนกระวาย
แต่ไม่ใช่เป็นเพราะการที่จู่ ๆ ถูกอัญเชิญมาด้วยเวทย์อัญเชิญ แต่เป็นเรื่องที่โลกที่อยู่ตอนนี้มันไม่ใช่โลกในความฝันนั่นต่างหาก
ทุกคนในที่นี้ปฏิบัติกับฉันเหมือนทารกปกติ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ฉันเป็นปีศาจ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนที่อัญเชิญฉันออกมาสินะ ?
หรืออาจจะเพราะ การที่ฉันถูกอัญเชิญออกมาเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่ก็เป็นการอัญเชิญที่ผิดพลาดจากที่ไหนซักที่ทําให้ฉันต้องมาอยู่ตรงนี้
แต่เรื่องพวกนั้นยังไม่จําเป็นต้องกังวลให้มากประเด็นที่สําคัญคือการที่ฉันได้ “จุติ”ลงมาบนโลกกายภาพแห่งนี้มากกว่า การจุติต้องใช้เครื่องสังเวย
แล้วใครล่ะคือเครื่องสังเวยเพื่ออัญเชิญฉันขึ้นมา
พอคิดเรื่องนั้นแล้วทั้งตัวฉันก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อขึ้นมา
คําตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ
ร่างที่ฉันอยู่นี่ไงล่ะคือคนที่ถูกสังเวยเพื่ออัญเชิญฉันขึ้นมา
ถ้าดูจากฐานะมั่งคั่งของบ้านหลังนี้แล้ว
ร่างเกิดใหม่ที่ บริสุทธิ์และสืบเชื้อสายมาจากขุนนางชั้นสูงเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสมกับการทําสัญญากับ ปีศาจมากที่สุดแล้ว
แย่ นี่มันแย่จริง
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าตัวฉันนั้น ได้มาแทนที่ลูกรักของท่านแม่เข้าซะแล้ว
ทํายังไงดี?
แต่หลังจากที่ฉันกําลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาปัญหาที่ว่านั้นมันก็กลับคลี่คลายไปเองซะก่อน
วันหนึ่งในตอนที่ท่านแม่กับคุณเทรูฟี่เห็นฉันกำลังดื่มนมมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยดื่มมาก่อน
ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะ เริ่มคุยเรื่องนั้นอย่างตื่นเต้น
“คุณหนูยูรุ เริ่มเจริญอาหารแล้วน่ายินดีจริงๆนะคะท่านเรีย”
“ใช่ ตอนเด็กคนนี้เพิ่งจะเกิดฉันกังวลมากเลยล่ะ แต่ตอนนี้เธอกลับมามีชีวาเหมือนเดิมแล้ว ต้องของคุณ วิโอจริงๆ”
“วิโอ ใช้เวทย์รักษาเป็นชั่วโมง ๆ จนเธอเกือบจะยอมแพ้อยู่แล้ว สุดท้ายเด็กคนนี้อาการก็ดีขึ้นมาช่างน่ายินดีจริงๆ”
ถ้าจะให้พูดอธิบายสถานกาณ์ตอนนี้ก็คือทารกคนนี้ได้ตายไปตั้งแต่ตอนที่เกิดขึ้นมา แล้วตอนนั้น คุณวิโอซึ่งเป็นคนที่ใช้เวทย์มนต์ได้ก็กําลัง ใช้เวทย์มนรักษาใส่ร่างทารกที่สิ้นชีพ
การที่เธอใช้เวทย์รักษามันทําให้ทารกฟื้นคืนชีพขึ้นมาไม่ได้
ยกเว้นเธอใช้เวทย์มนต์ชุบชีวิตก็คงเป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าเมดใช้เวทย์มนต์ชุบชีวิตได้คงแปลกน่าดู
แต่ยังไงก็ตามพอลองดูสถานการณ์แล้ว
คงมีแค่ร่างของทารกเท่านั้น ที่เป็นของสังเวยให้ฉันสําหรับการอัญเชิญนี้ วัตถุดิบการสังเวยเหมือนจะขาดๆไปนิดๆทว่าพอคิดๆดูแล้ว ปีศาจอย่างฉันแค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ เพราะมันยังมีปัจจัยเรื่องฉันเป็นคนต้องการเปิดประตูเองด้วยนี่นะ
การที่ตัวเองเป็นปีศาจที่ถูกเรียกมาด้วยการสังเวยร่างของเด็กทารกจริงๆฉันก็ยังไม่มั่นใจเรื่องนี้และในฐานะ ปีศาจแล้วพลังของฉันยังค่อนข้างน้อยเกินไป
ถึงแม้ฉันจะมีทักษะในการแปลภาษาและร่างกายก็ทนต่อความหิวมากๆได้ก็เถอะ
แต่ร่างของฉันตอนนี้เป็นแค่มนุษย์ แม้แต่จะคลานยังทําไม่ได้เลย
ในขณะที่เวลายังเดินต่อไปฉันตัดสินใจว่าจะรอดูสถานการณ์เรื่อยๆเพื่อรวบรวมข้อมูล
ถึงจะบอกว่ารอรวบรวมข้อมูลแต่ฉันก็ไม่ได้ทําอะไรเป็นพิเศษเลย
เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าตัวฉันไม่เคยถูกพาออกไปนอกบ้านเลย
หนึ่งปีผ่านพ้นไป
และเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง ฉันพึ่งจะเดินได้ตอนอายุสี่ปีก็ไม่ได้หวังจะออกไปข้างนอกได้ด้วยตัวเองหรอกนะ แต่ไม่คิดเลยว่าแม้แต่พาออกไปซื้อของข้างนอก ก็ไม่คิดจะพาไป
เป็นเรื่องปกติของโลกนี้รึไงน้า?
ช่างเรื่องนั้นก่อนละกันฉันเริ่มเข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว
ที่อยู่อาศัยของฉัน มีลักษณะเป็นคฤหาสน์ แต่มันก็เป็นคฤหาสถ์ที่เล็กกว่าหลังอื่นๆที่ฉันเห็นจากนอกหน้าต่างตกลงที่ๆฉันอยู่ เป็นคฤหาสน์ ของขุนนางหรือเป็นบ้านของพ่อค้าที่มั่งคั่ง
ก็ยังสรุปไม่ได้ทําให้ยังไม่มั่นใจสถานะทางสังคมของตัวเองตอนนี้
ในคฤหาสน์หลังนี้ มีคุณลุงเชฟและ คุณลุงที่ทําหน้าที่เป็นคนทําสวนกับเฝ้ายามอยู่ด้วย
แต่ฉันยังจําชื่อพวกเค้าไม่ได้หรอกนะ
ฉันอยากจะพูดถึงตรงนี้หน่อยมีบางอย่างที่ฉันสงสัยมานานแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเวทย์มนต์ที่ถูกร่ายขึ้นเพื่อทําให้ห้องสว่างทั้งๆที่ไม่มีไฟฟ้า ฉันคิดว่าวัฒนธรรมของที่นี่คงอยู่ประมาณยุโรบกลางล่ะมั้ง?
แล้วก็ อาหาร ไม่อร่อยเลยซักนิด
ค่อนข้างเป็นปัญหาหนักเลยนะรู้อยู่หรอกว่ามันไม่ได้ผิดที่กรรมวิธีการปรุง
แต่ปัญหามันอยู่ที่สัมผัสการรับรสของฉันมากกว่าฉันพยายามหาทางหาทางแก้ แต่ไปๆมาๆ
การแก้ไขปัญหานี้มันไม่ได้แก้ที่กระบวนการปรุงอาหาร
ทุกครั้งที่ฉันดื่มนมจากท่านแม่ ฉันจะต้อง เกาะหน้าอกของท่านให้แน่นพอทําแบบนั้นก็จะได้กลิ่นหอมมากๆออกมาแต่ถึงกลิ่นของท่านแม่จะหอมแต่ก็ยังแตกต่างจากกลิ่นนั้น
กลิ่นของมึนเมาอ่อนๆคล้ายๆกับตอนที่ฉันฟุดฟิดคุณเสือดําแต่ฉันได้กลิ่นแบบนั้นจากทั้งท่านแม่กับคุณทรูฟี่ และเพราะได้กลิ่นแบบนั้นในขณะที่กาลังดื่มนมอยู่เลยรู้สึกว่ารสชาตินมมันดีขึ้นมา
มันคือกลิ่นอะไรกันนะฉันต้องรู้ให้ได้ในซักวัน
และแล้ววันหนึ่งซึ่งถัดไปอีกไม่กี่วัน จะเป็นวันที่ฉันมีอายุครบ1ปี
ฉันก็ถูกจับแต่งตัวให้อยู่ในชุดทารกน่ารัก มันไม่เชิงว่าจะเป็นกิโมโนหรืออะไรที่ใกล้เคียงกัน
และชุดที่ฉันใส่อยู่ก็ค่อนข้างดูดีด้วยเลยคิดไปว่านี้คงเป็นชุดสําหรับการออกข้างนอก
ใช่แล้วล่ะวันนั้นเป็นวันแรกที่ฉันจะได้ออกไปข้างนอก
*******
นี่มันแย่
แย่จริงๆแล้วนะเนี่ย
อารมณ์ของฉันที่เต็มไปด้วยความสดใสเพราะจะได้ออกไปข้างนอกกับคุณแม่ดับวูบโดยพลัน
ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ออกไปข้างในมีฉัน
ท่านแม่ คุณเฟอร์และคุณมินอยู่
ตอนนี้ฉันกําลังสรุปข้อมูลที่ตัวเองได้รับมาขณะที่ถูกคุณเมดดูแลอยู่เป็นเวลาราวๆสิบนาที
จู่ๆฉันก็นึกถึงความจริงข้อหนึ่งได้ฉันอยู่ในเมืองที่เคร่งศาสนาที่ถูกเรียกว่า อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
นักบวชในเมื่องนี้แทบทุกคนมีความสามารถที่จะใช้เวทยมนต์สายบริสุทธิ์ที่ถูกเรียกว่าเวทย์มนต์ศักดิ์สิทธิได้
ในประเทศนี้เด็กทารกถูกกําหนดให้เข้าพิธีรับพรที่โบสถ์โดยใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นพิธีที่บังคับหรอกนะเพราะยังไงมันก็ต้องใช้เงินด้วย
แต่เพราะเหตุผลบางอย่างจู่ๆก็มีประกาศอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการค่าพิธีให้ทําให้ปีนี้เด็กทุกๆคนที่เพิ่งเกิดต้องเข้าพิธีรับพรทุกๆที่ทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นเขตชานเมือง หมู่บ้าน สลัม หรือเด็กที่อยู่ในกลุ่มผู้อพยพหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยว
ต้องถูกตรวจสอบทั้งหมด เรื่องการเข้าพิธีทั้งหมด กลายเป็นว่าพิธีรับพรกลายเป็นสิ่งที่เป็นข้อบังคับไปเสียแล้ว
แต่เดี๋ยวนะ
อย่างนี้ต้องพูดว่าแย่แล้วไม่ใช่รึยังไง? ทั้งน้ำศักดิ์สิทธิ์เอย การรับพรเอย มันเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายมากสําหรับปีศาจที่อ่อนแอไม่ใช่หรอ?
แล้วตอนนี้ฉันก็เป็นทารกอยู่ด้วยเรียกได้ว่ากําลังอ่อนแอจนน่ากลัวเลยล่ะ
เพราะเห็นตัวฉันกําลังสั่นอยู่
พี่สาวเมดทั้งสามคนก็ดันคิดไปว่าเพราะฉันกลัวการนั่งรถม้ากับคิดว่าเป็นเพราะฉันพึ่งออกจากเมืองเป็นครั้งแรกพวกเค้าจึงพยายามทําให้ฉันผ่อนคลายด้วยวิธีแตกต่างกันไป
ถึงขั้นกล่อมฉันว่าคุณม้าไม่น่ากลัวหรอกด้วย แต่ฉันก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย อืม
ถ้ารู้ สึกดีขึ้นคงแปลกแล้วล่ะ พวกเค้าปลอบฉันตลอดการเดินทาง
จนกระทั่งเรามาถึง โบสถ์ รูปร่างของโบสถ์ไม่ได้ต่างจากโบสถ์ที่ฉันเห็นจากโลกในความฝันเท่าไหร่นัก
แต่ถ้าจะให้ลงลึกไปถึงจุดที่แตกต่างกันละก็สัญลักษณ์ไม้กางเขนบนยอดโบสถ์ดูแล้วเหมือนกับตัวบวกแทนมากกว่า
คุณมินบอกว่า โบสถ์แห่งนี้เคารพบูชาเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว แต่น่าจะรู้นะว่าตอนนี้ฉันที่เป็นทารกไม่มีทางเข้าใจที่เธอพูด ถ้าเข้าใจก็แปลก แล้วล่ะ!!
ภายในโบสถ์ มีหญิงสาวหลายคนก่าลังอุ้มทารกเหมือนฉันอยู่
ด้านหน้ารูปปั้นเทพธิดา มีคุณลุง ที่สวมใส่ชุดสีฟ้าและเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องพิธีรับพร
ตัวฉันตอนนี้ตกอยู่ในความหวาดกลัว
แต่มันไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้นี้
ในที่สุดตาของฉันก็มาถึง ท่านแม่เดินเข้าไปหาคุณลุงคนนั้นโดยมีฉันอยู่ในอ้อมแขน
“ท่านอาร์คบิช็อปคะ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”
ท่านแม่โค้งตัวให้คุณลุงคนนั้น
อืมคนนี้เองหรออาร์คิบช็อป
“โอ้ ท่านรีอัสเทียไม่ใช่หรือไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้ท่านเดินทางมาถึงที่นี่”
ดูเหมือนพวกเขาทั้งสองจะสนิทกันดูจากการหัวเราะและท่าทีต้อนรับอย่างยินดีของคุณลุงคนนั้น
“ถ้าอย่างนั้น เด็กคนนี้ก็…”
“ค่ะ ลูกสาวของฉันเอง ยูรุเชีย”
แก้มของฉันกระตุกขึ้นมาเมื่อเห็นคุณลุงอาร์คบช็อปจ้องนิ่งมาที่ฉันราวกับว่าเขากําลังจะยืนยันอะไรอยู่
“อืม ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”
ผ่านไปสิบนาที..ไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น
ตั้งแต่เริ่มพิธีหัวของฉันถูกรดด้วยน้ำมนต์ ตัวเองทําอะไรไม่ได้เลยนอกจากรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาแต่น้ำมนต์ก็ไม่ได้แผดเผาตัวฉันแต่อย่างใด
ค่อยยังชั่ว
ฉันผ่านพิธีรับพรไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อพิธีจบแล้วคุณลงอาร์คชอปก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน มันรู้สึกดีมากจนฉันยิ้มออกมาอย่างเปียมสุขจากการที่น้ำมนต์ซึ่งไว้ใช้กำจัดปีศาจไม่มีผลกับตัวฉันทําให้ฉันต้องมาพิจารณาสมมุติฐานเกี่ยวกับตัวเองที่ฉันเคยคิดไว้ใหม่อีกรอบ
ฉันยังจําความรู้สึกตอนที่ฉันถูกอัญเชิญได้
แต่มันหมายความว่า ฉันไม่ใช่มนุษย์ในร่างปีศาจแต่เป็นปีศาจในร่างมนุษย์ทว่าพอมาเจอเหตุการณ์วันนี้ มันก็เริ่มสับสน
จะให้สรุปว่าตัวเองเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้วก็คงไม่ได้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเหตุการณ์อื่นที่ใกล้เคียงกว่านั้นสุดท้ายฉันก็ย้ำกับตัวเองว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเป็นปาฏิหาริย์ที่พระเจ้ามอบให้
จากนั้นพวกเราก็ออกมาจากโบสถ์ แต่ก่อนกลับก็มีแวะซื้อของกันนิดหน่อย
ระหว่างซื้อของคุณเมดทั้งสามคนก็ผลัดเวรกันอุ้มฉันแต่พอฉันลองมองไปรอบๆตัว
ก็เห็นแต่คนรวยๆที่ซื้อรถเข็นมาเข็นลูกตัวเองกันทั้งนั้น
ทําไมถึงพวกเราไม่มีบ้างน้า? ถึงฉันจะอายุแค่ปีเดียวแต่ก็น่าจะหนักอยู่เหมือนกันนะ
******
อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ทาริเทลเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลก
ถ้ารวมเมืองที่อยู่นอกเขตเมืองหลวงทาเรียสอีกห้าเมือง ก็จะมีประชากรรวมหลายล้านคน
หนึ่งในเมืองรอบนอกอยู่ตรงกับทิศตะวันตกของเมืองหลวง
ซึ่งปกครองโดย ดยุค โคเอล มีชื่อว่าเมืองทูลล์ เหล่าขุนนางเกือบทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองทูลส์นั้นขึ้นตรงกับดยุคโคเอล และพวกเขาถวายความจงรักภักดีต่อโคเอล ไม่น้อยกว่าราชาของอาณาจักรเลย ในเมืองทูลล์แห่งนี้ประชากรราวๆหกสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นคนนับถือศาสนาโดยมีอาร์คบิชอป
มอลท์เป็นผู้นําซึ่ง พวกเขานับถือและบูชาเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยวคอสทอลท์
และทุกๆเช้าอาร์คบิชอปมอลท์มักจะยุ่งกับงานอยู่เสมอ
เขาไม่เคยเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองเลย แม้อายุจะเลยหกสิบมาแล้วก็ตาม
เขาก็ยังตื่นพร้อมกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตั้งหน้าตั้งตาสวดภาวนาแก่เทพธิดา
หลังจากนั้นเขาก็จะไปยังสวนของตัวเองที่อยู่ด้านหลังโบสถ์ พอดูแลสวนเรียบร้อยแล้ว
ก็จะเป็นเวลาอาหารเช้า
ในเวลาน้ำชาหลังอาหารและงานส่วนแรกของวันก็จะคอยนั่งให้คําปรึกษาแก่เหล่าสาวก
หลังจากงานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว
อาร์คบิชอปมอลท์ก็จะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนจะลูบไหล่ของตัวเองด้วยความเมื่อยล้า
ซึ่งเป็นท่าที่ที่ไม่เคยแสดงออกให้สาวกคนไหนเห็น
ปีนี้เป็นปีที่วุ่นวายมากและสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดก็มาจากเหตุการณ์นั้น
มีวงเวทย์อัญเชิญขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาตรงเขตชานเมืองของเมืองทูลล์ด้วยฝีมือของลัทธิบูชาปีศาจ
การทําพิธีใช้ผู้อัญเชิญทั้งหมดยี่สิบคนและส่วนมากในนั้นต่างก็เป็นเหล่าขุนนาง
ซึ่งต่อมาก็ถูกกวาดล้างและถูกจับไปแล้ว แต่จากเหตุการณ์กวาดล้างนั้นทําให้มีบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยซึ่งก็คือเหล่าทหารที่เข้าร่วมแผนการครั้งนี้
สิ่งที่พบเมื่อเข้าไปตรวจสอบก็คือวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ถูกวาดขึ้นภายในสวนโดยขุนนางเหล่านั้น ซึ่งมีขนาดความกว้างราวๆคฤหาสถหลังย่อมๆหลังหนึ่ง
ในจังหวะที่เข้าปะทะจับคนร้ายเป็นจังหวะที่เวทย์อัญเชิญกำลังถูกร่ายอยู่
ซึ่งต้องใช้กองกําลังที่ประกอบด้วยกําลังเสริมจากเมืองหลวงร่วมด้วย
มีอัศวินราวๆสี่สิบห้าคน ทหารอีกสองร้อยคนผู้ใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นนักบวชของเมืองคอสทอลท์อีกสามสิบคน ทั้งหมดนี้เพื่อต่อต้านการทําพิธี โดยเป็นการลอบโจมตีก่อนที่อีกฝ่ายจะทันรู้ตัว
ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกฝั่งตรงข้ามกับโลกกายภาพอาศัยอยู่ในส่วนหนึ่งของโลกวิญญาณ ซึ่งก็คือโลกปีศาจรูปร่างของปีศาจที่พวกเขากําลังเผชิญอยู่ตอนนี้
ทุกตัวล้วนปกคลุมด้วยหมอกสีดาทะมึน
พวกมันเดินด้วยขาทั้งสองข้างแบบเดียวกับที่ใช้เหยียบย่าลงบนร่างของทหารที่สิ้นชีพ
มีความเร็วและพละกําลังที่เหนือกว่าสัตว์ป่าทั่วไปปกติแล้วปีศาจมีพวกชั้นต่ำอยู่ราวๆสิบประเภทและก็ยังมีพวกระดับสูงอยู่ด้วยเช่นกันประกอบด้วยสามเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าปีศาจชั้นต่ำมากเขาของพวกปีศาจชั้นสูงสามารถใช้กวัดแกว่งได้ราวกับหอกและขวาน
ปีศาจชั้นต่ำกับชั้นสูงมีข้อแตกต่างกันนอกจากลักษณะทางกายภาพและอาวุธประจําตัวอยู่อีกนั่นคือข้อแตกต่างทางปัญญาและปริมาณพลังเวทย์
ทุกๆการกระทําของเหล่าภูติและปีศาจในโลกวิญญาณนั้นต่างมีปริมาณพลังเวทย์มาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นปีศาจชั้นต่ำนั้น แค่ เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็สามารถบดขยี้อวัยวะภายในของมนุษย์ได้แล้วและอาวุธธรรมดาๆไม่อาจสร้างรอยแผลให้แก่ร่างกายซึ่งสร้างจาก เวทย์มนต์ของมันได้
ทว่า
ปีศาจชั้นสูงนั้นสามารถปล่อยลูกบอลเพลิงหรือศรน้ำแข็งมากมายราวกับห่าฝนได้ด้วยเพียงการคํารามเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาการร่ายเวทย์เลยซักนิด
ที่ทหารและอัศวินของอาณาจักรได้รับชัยชนะในครั้งนี้
มีเหตุผลอยู่หลายข้อหนึ่งในนั้นคือพวกเขาได้ใช้อาวุธที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านปีศาจโดยเฉพาะ
อีกเหตุผลคือจำนวนของนักบวชซึ่งถูกจัดมาเพื่อต่อต้านปีศาจนั้นมีจํานวนมาก
และเหตุผลสุดท้ายเป็นเพราะอาณาจักรได้เชิญคนจากมหาลัยเวทย์มนต์ เพื่อมาให้คําปรึกษาในการวางแผนต่อต้านพิธีอัญเชิญซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทย์มนต์สายภูติระดับสูง
ภูติ และ ปีศาจการมีอยู่ของทั้งสองในโลกวิญญาณนั้น ถูกจัดอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
แต่ว่าปีศาจชั้นต่ำนั้นมีข้อจํากัดทางด้านปัญญาที่พัฒนาได้จํากัดกลับกันภูติชั้นต่ำค่อนข้างมีระดับสติปัญญาที่สูงกว่าอีกอย่าง ถ้าพูดถึงเรื่องความ แข็งแกร่ง ปีศาจชั้นต่ำที่ส่วนมากจะถูกอัญเชิญด้วยการทําพันธะสัญญาแบบไม่สมบูรณ์นั้นจะไม่สามารถสําแดงฤทธิ์ได้เต็มที่และจะไม่สามารถต้านทานเวทย์มนต์ได้จึงมักจะแพ้ให้กับภูติ
ส่วนภูติ จะถูกอัญเชิญมาในโลกกายภาพและสำแดงฤทธิ์ได้ในรูปของพลังธาตุทั้งสี่
คือ ดิน น้ำ ลม ไฟดังนั้นพลังของพวกภูตจึงคงที่และแข็งแกร่งกว่าปีศาจที่มีพลังไม่คงที่ อย่างไรก็ตามหากมีปีศาจที่มีสติปัญญาอยู่ในระดับสูงกว่าปีศาจชั้นสูงโผล่ออกมาและมันดันมีร่างเนื้อที่สมบูรณ์การมีอยู่ของมันก็คงจะเทียบเท่าราชาแห่งภูติได้เลย
ตอนนี้ปีศาจชั้นต่ำถูกกวาดล้างไปหมดแล้วทหารและอัศวินที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลกําลังรับมือกับปีศาจชั้นสูงตนสุดท้ายที่คุ้มกันเหล่าอัญเชิญปีศาจอยู่
ในจังหวะที่หัวใจของผู้อัญเชิญคนสุดท้ายถูกแทงด้วยดาบของอัศวินและลมหายใจขาดห้วงลง
เบื้องหลังซากศพของเหล่าผู้อัญเชิญทั้งหลายนั้น ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้น
สิ่งที่ปรากฏขึ้น ณ วงเวทย์อัญเชิญขนาดใหญ่ก็คือร่างของแมวตัวสีทองที่สุดแสนจะสง่างาม
ช่างน่าหลงใหล
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาที่อยู่ตรงนั้นคิด ทั้งเหล่าทหารและอัศวินต่างหลงสเน่ห์
ในท่าทางสง่าผ่าเผยของปีศาจตนนั้น
ทุกคนได้แต่คิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นปีศาจจริงๆน่ะหรือ? มันไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ที่จุติพลาดมาโลกมนุษย์หรอกหรือ?
ทว่าคำพูดคำหนึ่งได้ทําลายความคิดนั่นของพวกเขาทั้งหมด
“สัตว์อสูร..ทองคำ”
ถ้อยค่าสุดท้ายของปีศาจชั้นสูงได้หลุดจากปากมันออกมาก่อนที่ร่างจะสลายหายไป
เหล่าทหารและอัศวินที่อยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าสัตว์อสูรทองคําคือหนึ่งในปีศาจขั้นสูงสุด
ถ้าปีศาจระดับนี้ไปที่เมืองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทุกคนในที่นี้รู้ถึงจุดนั้นดีและต่างยืนนิ่งดูการเคลื่อนไหวของ ปีศาจตนนั้น
เมื่อวงเวทย์อัญเชิญไร้ซึ่งผู้ร่ายในระหว่างพีธีอัญเชิญแสงของมันก็หรี่ลงและดับไป
ในจังหวะนั้นเท่ากับว่าการอัญเชิญได้ล้มเหลวปีศาจที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรทองคำแปรเปลี่ยนเป็นลูกบอลแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายไป
หายไปบนท้องฟ้าอย่างนั้นหรอ? แย่แล้วสิแบบนี้ปีศาจที่ถูกขัดขวางการอันญเชิญปกติร่างจะหายไปในวงเวทย์และกลับสู่โลกปีศาจไปแล้วถ้าอย่างนั้น ปีศาจตนนั้นตอนนี้หายไปไหนกันล่ะ?
จากเหตการ์ทั้งหมดนี้ทําให้ทั้งอาณาจักรและโบสถ์ต่างร่วมมือกันหาตัวปีศาจสัตว์อสูรทองคำกันอยู่
มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะถูกส่งกลับไปโลกปีศาจเรียบร้อยหรืออาจจะโดนลบตัวตนไปแล้วก็ได้
แต่ว่า ปีศาจขั้นสูงสุดนั้นแตกต่างจากปีศาจทั่วไปมากนักถ้าหากมันบังเอิญได้รับร่างเนื้อขึ้นมาละก็
มีโอกาสเป็นไปได้ที่มันจะกลายมาเป็นภัยคุกคามในภายภาคหน้าพวกเขาได้ลองค้นหาบริเวณเขตพิธีกรรมรวมถึงสถานที่ที่มีปฏิกิริยาเวทย์มนต์มากกว่าปกติแต่ก็ไม่มีประโชยน์
จึงต้องอาศัยมาตรการสุดท้ายโดยการที่โบสถ์จะรวบรวมเด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดภายในปีของเหตุการณ์นี้มา
ถ้าความพยายามครั้งนี้ไม่ได้ผลและหาตัวปีศาจตนนั้นไม่เจอก็จะสรุปว่าปีศาจตนนั้นได้หายไปแล้ว
ช่วงหลายเดือนมานี้มอลทท์ได้ทําพิธีรับพรให้กับเด็กทารกไปหลายคน
แน่นอนว่าเด็กทารกในทูลล์นั้นยังมีอีกมากแต่เด็กที่เขาจะทําพิธีให้นั้นต้องเป็นเด็กที่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยสอบสวนของอาณาจักรอย่างลับๆว่าครอบครองพลังเวทย์มากพอที่จะเป็นร่างเนื้อให้ปีศาจได้จริงๆถ้าเป็นแค่การสร้างน้ำมนต์ด้วยเวทย์ศักดิ์สิทธิ์นักบวชคนอื่นก็สารมารถทําได้
แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถให้พรจากน้ำมนต์ได้และพวกกลุ่มคนที่ว่านั่นก็กระจายอยู่ที่ต่างๆที่กันไปเพื่อปฏิบัติภารกิจแบบเดียวกัน
นั่นเป็นจึงสาเหตุที่ทำให้มอลท์ไม่มีทางเลือกต้องทําพิธีด้วยตัวเองและแน่นอนว่าเด็กทุกคนที่เขาต้องทำพิธีให้ต่างก็มีโอกาสที่จะเป็นร่างเนื้อให้ปีศาจได้ทั้งสิ้น
มอลท์เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับการทําพิธีต่อเนื่องซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแต่เขาจะเสียสมาธิในการทําพิธีกรรมของเด็กแต่ละคนไม่ได้
“คนสุดท้ายของวันนี้…แล้วสินะ?”
ขณะที่เขาพึมพําค่าพูดนั้นกับตัวเองอยู่นักบวชซึ่งเป็นชายวันกลางก็เดินเข้ามาหาเขาและตอบคําถามที่มอลท์พึ่งพูดไป
“ครับจริงๆก็ยังมีเด็กที่ยังไม่ได้ทําพิธีเหลืออยู่มาก แต่สําหรับวันนี้เด็กที่ท่านมอลท์ต้องทําพิธีให้เหลือคนสุดท้ายแล้วครับ”
“อืม”
ที่มอลท์ถามออกไปเพื่อยืนยันและคําตอบที่เป็นไปตามที่คิดทําให้เขาพอใจในฐานะที่เป็นนักบวชและเป็นอาร์คบิช็อปมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมสักเท่าไหร่แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยคืนนี้จะขอดื่มไวน์จากผลไม้ ในสวนคลายเหนื่อยสักหน่อย
เพราะคิดอย่างนั้นมอลท์ถึงมีกําลังใจในการทําพิธีให้เด็กคนสุดท้ายเพิ่มขึ้นมา
เด็กคนสุดท้ายเป็นลูกสาวของไวเคาน์เตสคนรู้จักของเขาเป็นผู้หญิงที่ตนเองรู้จักตั้งแต่เธอยังเด็กๆ
และถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่แต่งงาน แต่มอลท์ก็คิดกับเธอคนนั้นเหมือนลูกสาวในสายเลือด
(Viscount= ขุนนางที่มีตําแหน่งสูงกว่าbaronแต่ต่ำกว่าearl)
เด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักในวันวานนั้น ได้โตขึ้นเป็นสาวที่สง่างาม
เขารู้สึกขอโทษวิสเคาท์คนนั้นอยู่ในใจกับเรื่องความสัมพันธ์ที่เขาคิดเองเออเองนี้แต่สําหรับเขา ลูกสาวของหล่อนก็เปรียบเสมือน หลานสาวของเขาเช่นกัน
ตรงหน้าของเขาคือ ยูรุเชียเด็กน้อยที่น่ารักราวกับนางฟ้า แต่จู่ๆมอลท์ก็มองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
(นี่มันอะไรเนี่ย?)
เด็กคนนั้นแสดงท่าที่หวาดกลัวบางอย่างจริงๆแล้วเด็กส่วนมากที่ต้องมาเจอกับคนแปลกหน้าสูงอายุทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนแล้วยังต้องโดนน้ำอะไรไม่รู้รดหัวก็ต้องรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา.
ถ้าเป็นกรณีนี้เด็กส่วนมากจะต้องร้องไห้ตะโกนงอแงออกมา
แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเด็กคนไหนมีท่าที่หวาดกลัวเกินไปเหมือนเด็กคนนี้เลย
ตอนแรกมอลท์เริ่มสงสัยเด็กคนนี้แต่พอเห็นยูรุเชียร้องไห้ตอนโดนรดน้ำมนต์บนหัวและสงบลงเมื่อริอัสเทียร์กอดแล้วเขาก็สรุปว่าตัว เองคิดมากไปหน่อย
มอลท์ทุ่มแรงเฮือกสุดท้ายไปกับการทําพิธีให้ยูรุเชียหลังจากสิ้นพิธีเขาก็ลูบหัวของเด็กน้อยปริศนานี่ด้วยรอยยิ้มกว้าง
ยูรุเชียตอบรับรอยยิ้มของเขาด้วยการยิ้มตอบกลับมาซึ่งงดงามราวกับนางฟ้า
มอลท์ครุ่นคิดกับตัวเอง ถ้าเด็กที่มีรอยยิ้มงดงามขนาดนี้เป็นปีศาจโลกนี่ก็คงไม่พ้นที่จะเต็มไปด้วยปีศาจและถูกทําลายไปนานแล้วล่ะ
ท้ายสุดเขาก็รู้สึกมั่นใจได้เสียทีว่าเงาของปีศาจที่คลืบคลานมายังเมืองทูลล์แห่งนี้ได้หายไปแล้ว