หลังจากไซ่ตี้จวิ้นเดินไป ไซ่หย่าเซวียนก็ดึงดันจะให้ฉู่เทียนรุ่ยพาไปชอปปิง ก่อนไปเธอไม่ลืมที่จะกำชับบอกกับกู้จือเหา ”นี่ กู้จือเหา ดูแลเวินอี๋ให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเตะนายให้กลายเป็นลูกหมามอมแมม”
หากเป็นเมื่อก่อน กู้จือเหาจะต้องเถียงไซ่หย่าเซวียนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างสุภาพ ”วางใจเถอะ”
ตอนที่เหลือแค่สองคน เวินอี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก เธอทำตัวไม่ถูก แววตาของกู้จือเหาร้อนแรงเกินไป ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกแผดเผา
ในทางกลับกันกู้จือเหาทำตัวเป็นธรรมชาติมาก เขารินน้ำให้เธอหนึ่งแก้ว ”อยากจะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ”
แก้มของเวินอี๋ร้อนผ่าว เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ”ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ คุณชายกู้”
กู้จือเหายิ้ม ”คุณเรียกผมว่าจือเหาก็ได้ครับ” แววตาของเขาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ”ปีนี้ผมอายุยี่สิบห้า พ่อและแม่ของผมแข็งแรงและยังมีชีวิตอยู่ ผมมีพี่ชายอีกหนึ่งคน บริษัทของครอบครัวถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ ตอนนี้ผมดูแลบริษัทแฟชั่นซึ่งอยู่ภายใต้ชื่อของบริษัท เรื่องการแต่งงาน ผมตัดสินใจได้ด้วยตนเอง พ่อแม่และครอบครัวของผมไม่เข้ามาข้องเกี่ยว”
เวินอี๋นั่งฟังเงียบๆ ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่ากู้จือเหาพูดแบบนี้เพราะต้องการจะสื่ออะไร
กู้จือเหาพูดต่อ ”คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะเป็นน้องสาวของเหลิ่งรั่วปิง” เขาหัวเราะเยาะตัวเอง ”เมื่อก่อนผมเคยจีบคุณเหลิ่งรั่วปิงมาก่อน ตอนนั้นผมคิดว่าเธอคือฉู่หนิงซยา ถึงแม้คุณรั่วปิงจะไม่สนใจผม แต่ผมก็รักเธอด้วยใจจริง ผมในตอนนั้นเป็นคนไม่เอาการเอางาน เที่ยวเตร่ไปวันๆ การที่เธอดูถูกผมก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“ในตอนหลัง ผมรู้ว่าเธอไม่ใช่ฉู่หนิงซยา แต่เป็นเหลิ่งรั่วปิง ตอนนั้นผมถึงตระหนักได้ว่า ตัวเองในตอนนั้นไม่คู่ควรกับคุณเหลิ่งรั่วปิงเลย หรือจะบอกว่าไม่คู่ควรที่จะจีบผู้หญิงดั่งพญาหงส์อย่างเธอ คู่ควรให้พวกผู้หญิงที่เป็นแค่กาดำรุมทึ้ง ดังนั้นผมจึงกลับตัวกลับใจ วางแผนชีวิตของตนเอง จากมุมมองหนึ่ง ผมรู้สึกขอบคุณคุณเหลิ่งรั่วปิงมาก”
“แม้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณเหลิ่งรั่วปิง จะปลิวหายไปตามสายลม แต่เสียงที่อยู่ภายในใจของผม บอกกับผมว่าต้องตามหาผู้หญิงที่มีบุคลิกและบริสุทธิ์เหมือนคุณเหลิ่งรั่วปิงให้ได้ วันนี้ตอนอยู่ที่คาเฟ่ ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ ผมก็เห็นออร่านั้นมาจากตัวคุณ ดังนั้นผมจึงตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเจอ”
“คุณชายกู้…” เวินอี๋เงยหน้าขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วน มองกู้เจอเหา อยากจะปฏิเสธเขา เพราะตอนนี้เธอยังไม่อยากมีความรัก
“ฟังผมพูดให้จบก่อนนะครับ” กู้จือเหายังคงยิ้มอย่างสุภาพ ”เมื่อก่อน ผมเป็นผู้ชายที่สารเลวมาก ไม่คู่ควรให้ผู้หญิงดีๆมารัก แต่ตอนนี้ผมอยากจะใช้ชีวิตกับผู้หญิงดีๆ อยากจะรักกับเธอตราบชั่วนิรันดร์ ดังนั้นผมไม่คบใครง่ายๆ ถ้าคบใครแล้วผมก็จะจริงจังมาก คบเพื่อแต่งงาน เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณผมพอจะรู้มาบ้างแล้ว ไม่เป็นไรครับ แค่ความรักแย่ๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น เดินออกมาจากความรักที่เจ็บปวดแบบนั้นได้เมื่อไหร่ คุณก็จะดีขึ้นเอง ถ้าคุณเวินอี๋ไม่ว่าอะไร ผมยินดีจะช่วยให้คุณลืมความรักครั้งนั้นเองครับ”
ถึงแม้ว่าบุคลิกของกู้จือเหาจะเปลี่ยนไปมาก อีกทั้งยังมีความสุขุมและสุภาพบุรุษ แต่เพราะเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจังมานาน ทำให้เวลาที่เขาพูดจึงยังติดตลกเล็กน้อย เหมือนลมเย็นๆ ที่แสนจะซุกซน เป่าอยู่ตรงหน้าเวินอี๋ ทำให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนของเธอลดน้อยลงไปบ้าง
เผชิญหน้ากับคนที่มีความจริงใจ แน่นอนว่าต้องแสดงความจริงใจตอบ ดังนั้นเวินอี๋จึงเงยหน้าขึ้น เธอยิ้มบางเบา ”คุณชายกู้คะ ไม่สิ จือเหาคะ ในเมื่อคุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ปิดบังอะไรคุณแล้ว ฉันแค่อยากจะบอกคุณว่า ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณจริงใจและชอบฉันแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากคิดเรื่องความรัก ตอนนี้ฉันอยากจะตั้งใจเรียน เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นค่ะ”
กู้จือเหายิ้มแล้วพยักหน้า ”ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่บีบบังคับคุณ พวกเราคบกันแบบเพื่อนก็ได้ครับ ถ้าสักวันหนึ่งคุณรู้สึกดีกับผม ผมจะพาคุณไปเจอพ่อกับแม่ของผม แต่ถ้าคุณยังไม่ชอบผม ผมก็จะยอมรับมัน” เงียบไปสองวินาทีแล้วพูดเสริม ”คุณวางใจเถอะครับ ผมไม่กล้ารังแกคุณหรอก เพราะผมกลัวมีดบินของคุณเหลิ่งรั่วปิงมาก…อื้ม”
ขณะพูด กู็จือเหาเอามือขึ้นมาทำเป็นมีดบินปาดคอ ท่าทีของเขาตลกมาก ทำให้เวินอี๋หัวเราะออกมา ความเป็นจริงเวินอี๋เป็นคนเส้นตื้นอยู่แล้ว เพียงแต่หลังจากรู้จักกับมู่เฉิงซี มีเรื่องมากมายที่ทำให้เธอต้องปวดหัว เธอจึงกลายเป็นคนพูดน้อย
ถึงแม้เวินอี๋จะไม่ได้สวยโดดเด่นเหมือนเหลิ่งรั่วปิง แต่เธอเป็นผู้หญิงอ่อนโยน สวยบริสุทธิ์ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ใสสะอาดและบริสุทธิ์มาก ดังนั้นเวลาที่เธอยิ้ม เธอจึงเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เหมือนดอกบีโกเนียที่พลิ้วไหวไปตามลมในฤดูใบไม้ผลิ
เห็นหญิงงามยิ้ม กู้จือเหาเองก็ยิ้ม ในบางแง่มุม เขาและเวินอี๋มีอะไรที่คล้ายกันมาก ซึ่งก็คือภายนอกที่ดูนิ่งสงบ แต่ความเป็นจริงมีหัวใจที่สนุกสนาน
“ไปกันเถอะครับ ผมพาคุณไปดูบริษัทของผม หวังว่าคุณจะชอบนะครับ แล้วก็พัฒนาเป็นดีไซน์เนอร์” กู้เจือเหายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน
“ค่ะ” ไปฝึกงานที่บริษัทขนาดใหญ่อย่างบริษัทกู้ซื่อ เป็นความฝันของคนจำนวนไม่น้อย แน่นอนว่าเวินอี๋ไม่อยากปฏิเสธโอกาสนี้ กู้จือเหาเป็นคนจิตใจดีและมีความจริงใจ เขาหลอมละลายความกระอักกระอ่วนที่อยู่ในใจของเธอได้อย่างรวดเร็ว เวลาอยู่กับเขาทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย
มู่เฉิงซีในตอนนี้ กำลังนั่งเอนหลังนอนกลางวันบนเก้าอี้ในห้องทำงาน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการนอนกลางวัน แต่ความเป็นจริงเขาแทบจะนอนไม่หลับ คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปม หางตาและมุมปากของเขาแสดงความเศร้าจางๆ เลิกกับเวินอี๋หนึ่งเดือนกว่าแล้ว เขาซูบผอมลงไปมาก และอิดโรยไปไม่น้อย
เมื่อก่อน หนานกงเยี่ยบอกกับเขา สิ่งที่ทรมานที่สุดบนโลกใบนี้คือความคิดถึง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ความทรมานนี้ยากจะอธิบาย ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ เหมือนวิญญาณหลุดลอยไป
เขาไม่ได้กลับไปพักที่วิลล่ามู่หวานานแล้ว เขาแทบจะนอนในห้องทำงานเกือบทุกวัน ถึงแม้เขาอยากจะกลับไปพักที่วิลล่ามู่หวามาก เพราะที่นั่นมีกลิ่นอายของเวินอี๋ ทั้งยังมีของที่เธอทิ้งเอาไว้ ทำให้เขารู้สึกได้รับการปลอบโยน แต่ก็กลับไปไม่ได้ เพราะเมื่อไรที่เขากลับไปวิลล่ามู่หวา แม่ของเขาก็จะรู้ทันที แล้วแม่ก็จะพาซย่าอี่มั่วไปที่วิลล่ามู่หวาเพื่อบีบให้เขาเข้าห้องหอกับเธอ
คุณนายมู่เป็นคุณนายทหารที่รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนอย่างมาก แน่นอนว่าไม่วันเอาเรื่องในครอบครัวมาก่อความวุ่นวายในสถานีตำรวจ ดังนั้น สำหรับมู่เฉิงซี สถานีตำรวจจึงเป็นที่ที่เงียบสงบที่สุด
เขาที่นอนหลับไม่สนิท ฝันถึงผู้หญิงที่คิดถึงอีกครั้ง หากจะบอกว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นจินตนาการจากความคิดถึงยังจะดีเสียกว่า
ในฝัน เธอยังคงสวยงาม เพียงแต่แววตาที่ทอดมองมาที่เขากลับไร้ซึ่งความรัก แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชาทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด เขารู้สึกเหมือนถูกเชือกรัดแน่น เจ็บจนไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน
เขาอยากกอดเธอ อยากจูบเธอ มีคำพูดมากมายอยากจะบอกกับเธอ แต่เธอกลับรักษาระยะห่างกับเขามาโดยตลอด ระยะห่างนั้นทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย
“เวินอี๋ คุณต้องรอผมนะ ผมจะต้องจัดการเรื่องซย่าอี่มั่วให้สำเร็จ แล้วไปหาคุณ”
“ไม่ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าคุณอีก หัวใจของฉันมันตายไปแล้วค่ะ ฉันลืมคุณไปแล้ว”
“ไม่ คุณลืมผมไม่ได้ เวินอี๋ ผมจะพาคุณกลับมา การแต่งงาน ครอบครัว หัวใจของผม ตัวของผม ผมเก็บเอาไว้ให้คุณทั้งหมด”
“ฉันไม่เชื่อคุณแล้ว คุณแต่งงานกับซย่าอี่มั่วแล้ว คุณจะเอาอะไรมาให้ฉันได้คะ?”
“เวินอี๋ คุณอย่าไป เวินอี๋ เวินอี๋…”
มู่เฉิงซีลืมตาขึ้น มองทุกอย่างในห้องทำงาน อยู่ในภวังค์ความคิดของตนอยู่นานกว่าจะดึงสติกลับมา หัวใจของเขาหนักอึ้งเหมือนมีตะกั่วมาดึงรั้ง หนักอึ้งมากกว่าเดิม จนเขาควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกหายใจไม่ออก ขมวดคิ้วเป็นปมแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ปลดกระดุมสองเม็ดบน ตำรวจเมืองหลงที่เข้มแข็งราวกับเลือดสกัดด้วยเหล็ก เหี้ยมโหดและเคร่งขรึม เวลานั้นกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเศร้า เขาหวนคิดถึงภายในอดีต ภายในใจค่อยๆ มีรอยร้าว รอยร้าวนั้นมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ทำให้เขาทุกข์ทรมาน
เธอบอกว่า เธอลืมเขาแล้ว
ไม่ ไม่ได้ เธอจะลืมเขาได้อย่างไร การแยกจากกันนี้เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เขาคิดแค่ว่าเธอไปเรียนต่อ หลังจากเธอเรียนจบ พวกเขาจะกลับมารักกันอีกครั้ง เขายังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ เขาจะแต่งงานกับเธอ
หลังจากนั่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบทะเบียนสมรสเล่มสีแดงออกมาจากลิ้นชัก พูดกับตนเอง ”เวินอี๋ ผมยังไม่ได้แต่งงานกับใคร ทะเบียนสมรสสองเล่มนี้เป็นของปลอม การแต่งงานของผม ตัวของผมและหัวใจของผม เหลือเอาไว้ให้คุณเพียงคนเดียว ดังนั้น รอผมก่อนนะครับ”
วางทะเบียนสมรสที่เขาสั่งให้คนทำของปลอมขึ้นมา มู่เฉิงซีหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ในรูปถ่ายเขาสวมเครื่องแบบตำรวจสีกรมท่า ใบหน้าคมคาย เวินอี๋ยืนอยู่ข้างเขา ใบหน้าวงรีของเธอซบหัวไหล่ของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข
นิ้วมือหยาบกระด้างของมู่เฉิงซีลูบจับรูปถ่าย จับใบหน้าของเธอ มุมปากของเขายกยิ้มอ่อนโยน ”คุณดูสิครับ เราสองคนเหมาะสมกันมากใช่ไหม? นอกจากผมแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนคู่ควรกับคุณ”
“คุณผู้หญิงมู่ครับ คุณเข้าไปไม่ได้ครับ ดาบตำรวจมู่กำลังพักเที่ยง”
“ไสหัวไป!”
“เอ่อ…คุณผู้หญิงมู่ครับ คุณอย่าทำให้ผมต้องลำบากเลยครับ”
เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจดังขึ้นบนทางด้านที่เงียบสงัด คุณผู้หญิงมู่ที่เขาพูดถึงแน่นอนว่าคือซย่าอี่มั่วอย่างไม่ต้องสงสัย
สีหน้าของมู่เฉิงซีค่อยๆเคร่งขรึม วินาทีที่เขาเงยหน้าขึ้น แสงแวววับฉายออกมาจากดวงตาคมกริบคู่นั้น คล้ายว่ามองทะลุผ่านประตูออกไป
ซย่าอี่มั่วเปิดประตูด้วยความรุนแรง เธอจ้องมองมู่เฉิงซี ”เฉิงซี วันนี้คุณต้องคุยกับฉันให้รู้เรื่อง”
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบพุ่งตัวเข้ามา มองมู่เฉิงซีด้วยสีหน้าลำบากใจ ”ขอโทษด้วยครับ ดาบตำรวจมู่ ผมหยุดคุณผู้หญิงมู่เอาไว้ไม่ได้”
มู่เฉิงซีมองตำรวจนายนั้นด้วยแววตานิ่งๆ ”คราวหน้าเรียกเธอว่าคุณซย่า”
“?” เจ้าหน้าที่ตำรวจตกใจ รีบก้มหน้าลง ”ครับ ดาบตำรวจมู่” ดาบตำรวจมู่ไม่ชอบภรรยาของตนเอง เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี เขาที่เป็นตำรวจรับใช้คนสนิท ต้องรู้เป็นธรรมดา
มู่เฉิงซีถอนสายตากลับมา ”ออกไปเถอะ”
“ครับ” ตำรวจโล่งอกมาก เขารีบออกจากห้อง พร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย
ซย่าอี่มั่วรู้สึกเสียศักดิ์ศรี คิ้วสวยขมวดเป็นปม แววตาที่มองไปทางมู่เฉิงซีเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ”มู่เฉิงซี คุณทำแบบนี้หมายความว่าอะไรคะ?” เธอจดทะเบียนสมรสกับเขาแล้ว ทั้งยังแต่งงานกันแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับยังไม่ยอมรับว่าเธอเป็นภรรยาของเขา แบบนี้หมายความว่าอะไร?
แววตาของมู่เฉิงซีเยือกเย็น มองไปทางซย่าอี่มั่วราวกับน้ำแข็ง ”คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ตอนนั้นคุณวางแผน ทำให้คุณปู่บีบบังคับผม ทั้งยังบอกให้แม่ของผมเอาเรื่องเป็นเรื่องตายมาข่มขู่ การแต่งงานที่แลกมาด้วยเรื่องแบบนี้ ก็ควรยอมรับผลของมัน ผมบอกกับคุณตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าคุณดึงดันที่จะแต่งงาน คุณก็ต้องยอมรับว่าจะได้แค่การแต่งงานในนาม ตอนนี้คุณมาตำหนิผม คุณไม่รู้สึกว่ามันย้อนแย้งเหรอ”