คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 458 เทพเจ้าน้ำเฟิงปั๋ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 458 เทพเจ้าน้ำเฟิงปั๋ว

การเดินทางจากเมืองหลีไปอวี๋หังจะต้องขี่ม้าสิบกว่าวันตลอดทั้งวันทั้งคืนจึงจะถึง แต่เมื่อไม่ได้ใช้เส้นทางธรรมดา ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว

เมื่อเห็นสัตว์ตัวน้อยพุ่งออกไป หลายคนก็พากันก้าวตามออกมา ลมหนาวผสมกับไอน้ำเย็นๆ ปะทะใบหน้าของพวกเขาทันที

“พวกเรามาถึงแล้วหรือ” เหยียนฉีซานหันกลับไปมองข้างหลัง ทางหยินหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่อื่น

น้ำเต้าหยกเลี้ยงวิญญาณที่เอวของฉินหลิวซีกำลังสั่น นางเปิดมันออก ให้วิญญาณของไถชิงลอยออกมา

“เฟิงปั๋วอยู่ที่นี่” ไถชิงลอยอยู่ในอากาศ มองไปรอบๆ แล้วลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

ฉินหลิวซีบอกให้หลายคนที่ยังคงมึนงงเดินตามไป

ในตอนกลางคืน คนก็ดูเหมือนผี หากไม่ใช่เพราะมีสัตว์ตัวน้อยที่ยังคงเรืองแสงอยู่ ก็คงมองเห็นทางไม่ชัดเจน

“ตอนนี้ตกดึกไม่มีคนแล้ว มิเช่นนั้นหากปรากฏตัวออกมากลางอากาศในทันที เกรงว่าอาจทำให้ใครสักคนตกใจจนตะโกนร้องว่ามีผี” เจ้าสำนักศึกษาถังนึกถึงตอนที่พวกเขาปรากฏตัว เมื่อเห็นว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีใครก็อดประหลาดใจไม่ได้

“เป็นเช่นนั้น” เหยียนฉีซานถูมือพลางเอ่ย “มีชีวิตอยู่มาจนถึงอายุปูนนี้ ได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนภายในหนึ่งวัน รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่เสียเปล่าเลย”

ในหัวของเขายังคงคิดถึงเรื่องราวประหลาดสองสามเรื่อง จึงกล่าวกับเจ้าสำนักศึกษาถังว่า “เหล่าถัง หลังจบเรื่องแล้ว ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันแต่งเรื่องราวลี้ลับขึ้นมา”

เจ้าสำนักศึกษาถังดวงตาเป็นประกาย

“พวกท่านในฐานะอาจารย์ กล้าเผยแพร่เรื่องสิ่งลี้ลับเหล่านี้ด้วยหรือ” ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็หันกลับมามองพวกเขา

“หรือเจ้าไม่เคยได้ยินการเขียนโดยไม่ระบุชื่อหรือ พวกเราสามารถใช้นามพู่กันร่วมกันได้” เหยียนฉีซานเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

ฉินหลิวซีโบกมือ ‘เอาเถิด หากท่านชอบ ก็แล้วแต่ท่านเลย’

หาเงาของไถชิงไม่เจอแล้ว แต่เหยียนฉีซานรู้ทางไปศาลเล็กๆ แห่งนั้น จึงเป็นผู้นำทางพาหลายคนเดินไปทางลัด

ผ่านไปสองเค่อ พวกเขาก็เห็นไถชิงยืนอยู่หน้าศาลขนาดเล็กที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าสุสานทั่วไป

สัตว์ตัวน้อยหายไปแล้ว บริเวณโดยรอบก็มืดลง ฉินหลิวซีหยิบเทียนที่เหลืออีกสองเล่มออกมาจากถุงแล้วจุดให้แสงสว่าง ด้วยแสงไฟสลัวๆ นี้ทำให้สามารถมองเห็นศาลเล็กๆ ทั้งหมดได้

ศาลขนาดเล็กสร้างขึ้นริมทะเลสาบลวี่หู ด้านข้างมีต้นไทรใหญ่ มีบริเวณพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ดูเรียบง่าย กำแพงยังมีตะไคร่น้ำอยู่บ้าง ดูมีอายุเก่าแก่หลายปี หน้าศาลเล็กยังมีกระถางธูปทำจากหิน ในกระถางธูปเต็มไปด้วยเศษก้านธูปปักอยู่ เห็นได้ว่ามีคนมากราบไหว้บูชาที่นี่

เหยียนฉีซานก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘ปู่ทวด เหลนมาแล้ว’

ไถชิงยืนนิ่งอยู่หน้าศาลเล็กไม่ขยับไปไหน เพียงแต่จ้องมองรูปปั้นดินเหนียวไร้หน้าในศาลพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม กล่าวซ้ำๆ ว่า “แม้แต่ใบหน้าก็ไม่มี เจ้าไม่มีหน้ามาเจอข้าแล้วหรือ”

กลางคืนอันมืดมิด ศาลขนาดเล็กสร้างขึ้นใกล้ทะเลสาบ ลมหนาวพัดผ่านมา เสียงคร่ำครวญไม่สิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บเข้ากระดูก

ฉินหลิวซีมองไปยังรูปปั้นนั้น ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้าง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเทพเจ้าน้ำหน้าตาเป็นอย่างไร ก็สามารถใช้จินตนาการเพื่อแสดงลักษณะบนใบหน้าได้ แต่กลับเป็นใบหน้าเปลือยเปล่า ลำตัวทำจากโคลน ถูกห่อด้วยสีแดง

ครึ่งเทพตนนี้น่าสังเวชเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้เหยียนฉีซานไม่รู้ว่าเทพเจ้าน้ำนี้เป็นบรรพบุรุษของเขา เวลามากราบไหว้จึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นรูปปั้นอยู่ในสภาพโทรมเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ใบหน้า ในใจยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

“แม่หนูเสี่ยวซี แม้ว่าเราจะไม่สร้างศาลเจ้า รูปปั้นนี้ก็ไม่สามารถปั้นใหม่ได้จริงๆ หรือ ก็ไม่ได้หล่อร่างทองอะไรหรอก แต่อย่างน้อยก็ให้มีใบหน้าได้หรือไม่” เหยียนฉีซานกล่าวด้วยขอบตาแดง “รูปหล่อสักการะในวัดและอารามเต๋าล้วนมีใบหน้าทั้งหมดไม่ใช่หรือ มีแต่บรรพบุรุษของข้าที่ไม่มี”

ฉินหลิวซี “ไม่ใช่ว่าไม่สามารถปั้นใหม่ได้ แต่อย่าให้หน้าตาเหมือนตัวจริงเสียทีเดียวจะดีกว่า แม้แต่ไถชิงก็บอกว่าเจ้าเหมือนเขา หากมีใครรู้เข้าจะถูกเอาไปคิดเชื่อมโยงกันได้”

เหยียนฉีซานหวั่นใจ แต่ในไม่ช้าก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง “มีใบหน้าก็พอแล้ว”

“ถามท่านเทพก่อนจะดีกว่า” ฉินหลิวซีผายมือไปทางรูปปั้นเทพเจ้า

ไถชิงลอยมาอยู่ตรงหน้านางอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าซีดเซียวพุ่งเข้ามา กล่าวว่า “ท่านเรียกเขาออกมาได้หรือ ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่นิดเดียว”

ฉินหลิวซีเอนถอยหลัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้พบเขาหรือไม่ ความขุ่นเคืองของไถชิงจึงได้เพิ่มขึ้น

“ลองเชิญเทพดูก่อนเถิด”

ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจา เถิงเจาถอดสัมภาระที่แบกอยู่ คุ้ยหาของในนั้น จากนั้นก็หยิบกล่องหนึ่งใบออกมา แล้วยังมีเหยือกสุราเล็กๆ จอกสุรา ถั่วลิสงทอดหนึ่งจานมาจัดวาง

เมื่อเหยียนฉีซานเห็นนางหยิบธูปสามดอกออกมาจุดบูชาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าเซ่นไหว้ผีเหล่านั้น เหตุใดถึงเป็นสี่ดอก”

“เทพสาม ผีสี่”

ฉินหลิวซีจุดธูป โค้งคำนับรูปปั้นในศาลเล็กด้วยความเคารพสามครั้ง ในใจอธิษฐานว่า “…ฉินหลิวซี ศิษย์อารามชิงผิง เมืองหลี แสดงความเคารพเหยียนเฟิงปั๋ว เทพเจ้าน้ำแห่งทะเลสาบลวี่หู ขอเสด็จลงมาติดต่อสื่อสารกับข้า”

ทุกคนรออยู่อย่างเงียบๆ

บริเวณโดยรอบเงียบสงัดจนเหลือเพียงเสียงลม

โหม่งงง โหม่ง โหม่ง โหม่ง!

ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้นหลายที ทำเอาหลายคนดีดตัวด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองตามเสียง

“เจ้าหลับข้าตื่น อากาศหนาวเย็น”

เฮ้อ

ที่แท้ก็เป็นเสียงบอกเวลา ยามสี่แล้ว

หลายคนไม่กล้าเอ่ยอะไร การอยู่ที่นี่ในเวลานี้ เกรงว่าจะทำให้คนบอกเวลาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผี เช่นนั้นจะเป็นบาป

แต่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจ คนบอกเวลาที่อยู่ถัดจากจากถนนสายยาวมองเห็นว่าทางนี้มีเงาสองสามร่าง และยังมีกลิ่นหอมสดชื่นลอยมาตามลม เขาตกใจจนโยนไม้ตีฆ้องทิ้งไป

“มีผี!”

ทุกคนมองดูคนบอกเวลาวิ่งหนีไปไม่เห็นแม้แต่เงา “…”

บาปกรรม

มีลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง

เถิงเจามองไปยังศาลเล็ก สูดหายใจเข้าลึก กล่าวเตือนว่า “มาแล้ว”

ทุกคนตกตะลึงพร้อมกับหันไปมอง เห็นเงาค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหนือศาลเล็ก สวมชุดสีแดงคล้ายจีวร ศีรษะโล้น ใบหน้าอ่อนเยาว์เป็นอย่างมาก ทั้งตัวดูเหมือนมีแสงสว่างปกคลุมราวกับแสงแห่งพระธรรม และเหมือนแสงแห่งเทพเจ้า

“เจ้าอัญเชิญข้าหรือ” ร่างของเทพเจ้าน้ำนั้นอ่อนแอมาก ราวกับว่าเพียงแค่แตะด้วยปลายนิ้วก็สามารถแตกกระจาย และไม่สามารถคงอยู่ได้นาน

ฉินหลิวซีมองไป กวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้า ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เทพเจ้าน้ำเฟิงปั๋ว?”

เทพเจ้าน้ำตกตะลึง “เฟิงปั๋ว ไม่มีใครเรียกข้าเช่นนี้มานานแล้ว”

“แสดงว่าเจ้ายังจำได้ว่าตัวเองชื่อแซ่อะไร เช่นนั้นเฟิงปั๋ว เจ้ายังจำไถชิงจากหย่งโจวได้หรือไม่” ไถชิงพุ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน

“อย่าแตะ…”

ฉินหลิวซียังไม่ทันได้เตือน ไถชิงก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างของเฟิงปั๋วผลักกระเด็นออกไป วิญญาณที่ก่อตัวได้หลังจากได้รับการเซ่นไหว้และหล่อเลี้ยงด้วยน้ำเต้าเลี้ยงวิญญาณได้กลับไปเป็นสภาพตอนที่พึ่งออกมาในทันที

ไม่สิ อ่อนแอกว่าตอนนั้นอีก

ทุกคนตกตะลึง แต่ไม่ตกตะลึงเท่าไถชิง นางมองเฟิงปั๋วด้วยความไม่อยากเชื่อและตื่นตระหนก

เฟิงปั๋วจึงได้สังเกตเห็นนาง มองใบหน้านางอย่างชัดเจน ความทรงจำอันยาวนานได้ผุดขึ้นมา “ไถชิง?”

เขาต้องการจะไปหา

ฉินหลิวซีห้ามเขาไว้ ส่ายหน้า “อย่าเข้าไป ท่านเป็นเทพเจ้า นางเป็นผี หากท่านเข้าใกล้นาง บุญกุศลและพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านมีแต่จะทำร้ายนาง

เมื่อนางเห็นว่าวิญญาณของไถชิงอ่อนแอราวกับจะแตกสลาย จึงทำได้เพียงหยิบยันต์ตรึงวิญญาณออกมาแล้วร่ายไปที่ไถชิง เอ่ย “เดิมทีเทพสามารถฆ่าผีได้ หากท่านเข้าไปใกล้ จะเป็นการทำร้ายตัวเองกระทั่งวิญญาณแตกสลายได้”

ดวงตาของไถชิงหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด หลังจากไม่ได้พบกันนานนับร้อยปี เมื่อได้พบเจออีกครั้งกลับกลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่สู้ยอมวิญญาณแตกสลายไปเสียจะดีกว่า!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท