บทที่ 837 สุสานฟู่ห่าว
บทที่ 837 สุสานฟู่ห่าว
หมี่ลี่ตอบกลับ “ร่างของนางไม่ได้ขาดวิญญาณ แต่มันถูกผนึกโดยอักขระที่ลึกลับและลึกซึ้ง…อืม ข้าเดาว่าเจ้าน่าจะเข้าใจว่าวิญญาณของนางได้รับความเสียหายด้วยผนึกนี้ จากสามวิญญาณและเจ็ดจิตของนาง มีเพียงวิญญาณแห่งชีวิตเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้กลับสู่ร่าง นี่เป็นเหตุผลที่นางดูเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต…”
ทุกคนมีสามวิญญาณเจ็ดจิต วิญญาณทั้งสามคือ วิญญาณสวรรค์ วิญญาณปฐพี และวิญญาณแห่งชีวิต จิตทั้งเจ็ดเป็นตัวแทนของความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียดชัง และตัณหาของบุคคล
ซูอันตกตะลึงกับการเปิดเผยนี้ “เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นมันก็หมายความว่า สติสัมปชัญญะของนางสามารถฟื้นฟูได้โดยการปลดผนึกทั้งหมด?”
ความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้เปิดขึ้นสำหรับเขา ต๋าจี่นั้นสวยอยู่แล้ว หากวิญญาณของนางกลับคืนมาด้วย เขาก็จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปีศาจจิ้งจอกในตำนาน
“ลืมมันไปซะ” หมี่ลี่พูดพร้อมกับหายใจเข้า “ผนึกบนร่างกายของนางนั้นลึกซึ้งอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับเต๋าจี่ แม้แต่ข้าที่มีความรู้มากมายยังไม่สามารถเข้าใจมันได้ นับประสาอะไรกับคนอย่างเจ้า”
ซูอันไม่พอใจกับคำพูดของนาง “ไม่ใช่ว่าเราต้องรีบที่จะเปิดผนึกนางซะเมื่อไร ว่าแต่พี่หญิงใหญ่ มันไม่มีทางที่ท่านจะครอบครองร่างของนางได้เหรอ?”
หมี่ลี่กลอกตา “ด้วยการคงอยู่ของผนึกที่น่าสะพรึงกลัวในตัวของนาง ถ้าข้าพยายามเข้าไปอีกคงไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยได้”
ซูอันถอนหายใจ “ก็ดี ก็ดี” เขาตอบโดยไม่รู้ตัว
การแสดงออกของหมี่ลี่กลายเป็นเย็นชา “อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าจะเสียสาวงามถ้าข้าครอบครองร่างของนางล่ะสิ? เจ้าดูมีความสุขมากเลยนะที่ข้าครอบครองร่างของนางไม่ได้!”
ซูอันถอนหายใจ “ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านไปจากข้า ข้าชินแล้วที่มีท่านอยู่ข้าง ๆ”
หมี่ลี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “วันหนึ่งข้าก็ต้องไป…”
ซูอันหัวเราะ “อย่างน้อยตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกัน ข้าขอเวลาเตรียมตัวบ้าง”
หมี่ลี่เม้มริมฝีปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
“เมื่อกี้ท่านบาดเจ็บหรือเปล่า?” ซูอันรีบถาม
หมี่ลี่พยักหน้า น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกลัว “โชคดีที่ข้าหนีมาทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าไม่อย่างนั้นวิญญาณของข้าอาจจะถูกผนึกนั้นทำลายจริง ๆ แม้กระทั่งตอนนี้วิญญาณของข้าก็ยังได้รับความเสียหายมาก การฟื้นฟูทั้งหมดที่ข้าพยายามมาตลอดสูญเปล่าไปแล้ว”
ซูอันพูดไม่ออก
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าวิญญาณของนางได้รับความเสียหาย เขาก็ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่น้ำเสียงของนางค่อนข้างย่ำแย่
“ช่างมันเถอะ ข้าต้องจำศีลจริง ๆ แล้ว เพื่อฟื้นฟูความเสียหาย ดังนั้นในบางครั้งข้าอาจไม่สามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าต้องทิ้งความคิดที่ว่าข้ากำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่และข้าสามารถช่วยเจ้าได้หากเจ้าพบกับอันตรายใด ๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งใดฆ่าเจ้า” น้ำเสียงของหมี่ลี่นั้นจริงจังมาก
ซูอันพยักหน้า “พี่หญิงใหญ่ ท่านดูแลข้ามานานมากแล้ว และข้าก็ผ่านอะไรมาบ้างเหมือนกัน ถ้าข้าต้องพึ่งพาท่านทุกครั้ง ข้าคงเป็นคนที่ไร้ประโยชน์มาก”
“ข้าจะหายาที่สามารถช่วยให้วิญญาณของท่านฟื้นคืนสภาพได้อย่างแน่นอนเมื่อข้าไปถึงเมืองหลวง”
“เจ้าจะต้องรับมือกับผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งของโลกนี้เมื่อเจ้าไปถึงเมืองหลวง แม้แต่ความปลอดภัยของเจ้าเองก็ไม่มีใครรับประกันได้ จงเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” แม้จะพูดเช่นนี้แต่การแสดงออกของหมี่ลี่ก็อ่อนโยนขึ้นเนื่องจากรับรู้ว่าซูอันมีความปรารถนาดีต่อนาง นางจึงไม่อาจปรักปรำว่าเขาคิดสกปรกอีกต่อไปและได้แต่บ่นในใจ
เจ้าพูดได้ดีมากในตอนนี้ แต่อย่าคิดนะว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่! เจ้ากลัวว่าข้าจะยึดร่างของต๋าจี่ไว้ใช่ไหม? ฮึ่ม! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมีความคิดแบบนี้กับข้า?
หมี่ลี่จำศีลอย่างรวดเร็ว ซูอันเก็บต๋าจี่กลับไปเช่นกันและเริ่มศึกษาวิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์ จากคำอธิบายเพียงอย่างเดียวดูเหมือนว่ามันเป็นทักษะที่ดุร้ายมาก ตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าอู่เกิงมีพลังมากพอจะสามารถสร้างการทดสอบทั้งหมดนั้นได้อย่างไร อู่เกิงคงเคยใช้วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์มาก่อนจนแข็งแกร่งอย่างเลิศล้ำ
แต่แล้วการแสดงออกของเขาก็แปลกขึ้นในทันใด อู่เกิงเป็นตัวตนที่มีส่วนร่วมในการทดสอบสุดท้ายและแม่ของอู่เกิง จักรพรรดินีเจียงก็เช่นกัน
ในขณะอยู่ในการทดสอบความกังวลเกี่ยวกับการทดสอบทำให้เขาเมินเฉยต่อการมีอยู่ของจักรพรรดินีเจียง จะเป็นอย่างไรถ้าเขาผูกสัมพันธ์กับจักรพรรดินีเจียงให้แน่นแฟ้นด้วยเวลานั้น? อู่ติงจะเข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดเขาหรือไม่?
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เสียงหวานดังขึ้นที่ข้างหู
“ข้าแค่เสียใจที่ไม่ได้ทำ…” ซูอันตอบกลับไปครึ่งประโยค เมื่อเขาสังเกตเห็นเพ่ยเหมียนหมานยืนอยู่ข้างเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“เจ้าเสียใจเรื่องอะไร?” เพ่ยเหมียนหมานถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” ใบหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาจะสามารถพูดออกมาดัง ๆ ได้อย่างไร? แค่คิดก็อายแล้ว “เจ้าสื่อสารกับรูปปั้นนกฮูกของฟู่ห่าวสำเร็จไหม?”
“ได้ ข้าได้สร้างความสัมพันธ์กับมันแล้ว” เพ่ยเหมียนหมานแบมือ รูปปั้นนกฮูกมีขนาดเล็กลง และค่อย ๆ หมุนอยู่ภายในฝ่ามือของนาง
“รูปปั้นนกฮูกนี้ทำอะไรได้?” ซูอันถาม
เพ่ยเหมียนหมานส่ายหัว “ข้ายังไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้ารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับความมืด ข้าต้องการเวลาศึกษามันอีกหน่อย”
ซูอันพยักหน้า สมบัติวิเศษส่วนใหญ่จะทำงานหลังจากที่วิญญาณของผู้เป็นนายของมันผสานเข้ากับมันอย่างสมบูรณ์ เพ่ยเหมียนหมานเพิ่งสร้างความสัมพันธ์กับนกฮูกตัวนี้ แต่เนื่องจากนางได้รับบทบาทเป็นตัวตนของฟู่ห่าวในการทดสอบ เขาเชื่อว่านางจะไปถึงขั้นตอนนั้นได้อย่างรวดเร็ว
“อ้อ ใช่แล้ว ทางลับถูกเปิดขึ้นหลังจากที่ข้าเชื่อมต่อกับรูปปั้นนกฮูก ดูเหมือนว่าจะมีทางลงไปอีก” เพ่ยเหมียนหมานกล่าว
ซูอันมองไปยังจุดที่รูปปั้นนกฮูกเคยถูกตั้งอยู่ แน่นอนว่ามีทางเดินมืดลงไปอีก ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ด้านข้างดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง “นี่คือสุสานของฟู่ห่าว!” เขาโพล่งออกมา
“ห้ะ? เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เพ่ยเหมียนหมานถามเขาด้วยความสงสัย
ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอัน “เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นคนสร้างสุสานของเจ้าหลังจากที่เจ้าเสียชีวิตในการทดสอบ? ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้และรูปปั้นนกฮูก ทุกอย่างเหมือนกับที่ข้าจำได้!”
เพ่ยเหมียนหมานจับมือเขาเบา ๆ “ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ข้ายังคงอยู่เคียงข้างเจ้า”
ซูอันพยักหน้า “ใช่ ลงไปกันเถอะ ข้าจำได้ว่าตราหยกของอนารยชนตะวันออกถูกวางไว้ท่ามกลางวัตถุฝังศพ เรายังคงมีคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงเจียง”
“การรบกวนเวลาพักผ่อนของพระนางเช่นนี้มันไม่แย่ไปหน่อยเหรอ?”เพ่ยเหมียนหมานกล่าวด้วยท่าทางกังวล
ซูอันหัวเราะและพูดว่า “แล้วเจ้าไม่ใช่ฟู่ห่าวหรืออย่างไร? ข้าชื่ออู่ติง เราแค่เดินเล่นไปตามเส้นทางแห่งความทรงจำ แม้ว่าจะมีบางส่วนของนางยังคงอยู่ที่นั่น แต่นางน่าจะดีใจมากกว่าที่ได้พบสหายเก่า”
“ทุกอย่างในการทดสอบเป็นของปลอม…” เพ่ยเหมียนหมานพึมพำ แม้นางจะพูดอย่างนั้น แต่ความตึงเครียดบนใบหน้าที่งดงามดูเหมือนจะผ่อนคลายลง