บทที่ 840 ออกจากมิติลับ
บทที่ 840 ออกจากมิติลับ
เจียงเจียงมองซูอัน นางประหลาดใจที่เขาถอนกระบี่ออกไป “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะโจมตีเจ้าต่อเหรอ?”
ซูอันส่ายหัว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่วิญญาณชั่วร้าย”
อันที่จริงชายหนุ่มก็ไม่ได้โง่พอที่จะเชื่ออย่างนั้น เขาแค่มั่นใจว่าเขาสามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดายด้วยพลังปฐมบท ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงไม่กลัว ถ้าจู่ ๆ นางจะคิดตุกติกขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่าไม่มีทางที่ซูอันจะพูดแผนในใจออกมาดัง ๆ ได้
เจียงเจียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอบคุณ!”
นางค่อย ๆ ตบกุมารทองข้างใต้นาง ร่างกายที่ใหญ่โตของมันหดตัวลงอย่างรวดเร็วกลับสู่ขนาดปกติ ด้วยการโบกมือของนาง ฝูงงูประหลาดก็เลื้อยออกไปเช่นกัน และนักรบโครงกระดูกก็กลับไปที่หลุมฝังศพของพวกมันด้วย กุมารทองหัวเราะคิกคักขณะที่พวกมันคลานออกไป
ซูอันรู้สึกทึ่ง เขาไม่รู้เลยว่านางควบคุมพวกมันอย่างไร
เจียงเจียงหันไปหาซูอันและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าต้องการช่วยให้พวกพ้องของข้าพบความสงบสุข ท่านช่วยพาข้าไปหาพวกเขาหน่อยจะได้ไหม?”
ซูอันพยักหน้า นี่คือสิ่งที่เขาเคยสัญญากับนางมาก่อน
เพ่ยเหมียนหมานอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะถามซูอัน เช่น ผู้หญิงที่สวมชุดขาวแสนสวยคนนั้นเป็นใคร…?
แต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสงสารเจียงเจียง และตัดสินใจที่จะพิจารณาเรื่องของเด็กสาวก่อน
ไม่นานทั้งสามก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ศาลาที่ด้านบนสุดของบันไดดนตรี เจียงเจียงถอนหายใจขณะที่นางมองลงไป ฝูงวิญญาณชั่วร้ายพุ่งเข้ามาทันทีโดยรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง พวกมันต่างคร่ำครวญเมื่อมารวมกันรอบ ๆ นางราวกับพยายามจะพูดอะไร ความดุร้ายที่ก่อนหน้านี้ที่พวกมันเคยแสดงออกต่อซูอันและเพ่ยเหมียนหมาน ขณะนี้กลับกลายเป็นความโศกเศร้าแทน
เจียงเจียงปลอบพวกมันเบา ๆ แล้วโบกมือขึ้นส่งตราหยกค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ และจากนั้นนางก็เริ่มทำพิธีกรรมเพื่อปลดปล่อยพวกพ้องของนาง
แสงที่อ่อนโยนแผ่ออกจากตราหยก เมื่อถูกอาบด้วยแสงนี้ ท่าทีของวิญญาณที่ขุ่นเคืองก็สงบลงในไม่ช้า พวกมันหลับตาลงก่อนจะกลายเป็นดวงไฟเล็ก ๆ ริบหรี่แล้วจางหายไป
พวกมันถูกขังอยู่ที่นี่มานานกว่าหมื่นปี ในที่สุดก็เป็นอิสระ
หลังจากส่งพวกพ้อง เจียงเจียงหันหลังกลับและโค้งคำนับให้ซูอัน “ขอบคุณพี่ใหญ่ ถ้าข้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้”
ซูอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ร่างกายของเจ้า…”
ร่างกายของนางเริ่มพร่าเลือนราวกับว่ากำลังจะหายตัวไปเมื่อใดก็ได้
เจียงเจียงยิ้ม “จุดประสงค์เดียวสำหรับการดำรงอยู่อันยาวนานของข้าในมิติลับแห่งนี้คือการปลดปล่อยผู้คนของข้า เมื่อความปรารถนาของข้าเป็นจริงแล้ว ข้าก็ต้องการความสงบสุขเช่นกัน ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที…”
ซูอันไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไร เรื่องราวของนางช่างน่าเศร้า!
เด็กสาวคนนี้ต้องทนอยู่ตามลำพังในมิติลับซากเมืองอินซวีแห่งนี้มาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าคำปลอบโยนใด ๆ ล้วนไม่มีความหมาย
เจียงเจียงเอื้อมมือออกมาหาเขา และตราหยกก็ลอยมาที่ซูอัน “นี่คือสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ของอนารยชนตะวันออก พี่ใหญ่ เนื่องจากท่านได้ช่วยเหลือพวกเรามามากแล้ว ข้าขอส่งต่อสิ่งนี้ให้ท่าน ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ทุกอย่างถูกฝังอยู่ที่นี่ ท่านสามารถนำมันไปใช้เพื่อควบคุมหรือสื่อสาร…”
จากนั้นนางจึงกลายเป็นหนึ่งในดวงไฟและจางหายไปเช่นกัน
ดวงตาของเพ่ยเหมียนหมานแดงก่ำ “ชีวิตของเจียงเจียงช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
ซูอันกอดเพ่ยเหมียนหมานแน่น เขาถูกครอบงำด้วยอารมณ์เศร้าโศกและพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
สายลมอ่อน ๆ พัดผ่าน กลิ่นหอมอ่อน ๆ กระทบจมูกของเพ่ยเหมียนหมาน นางหันกลับมาและเห็นผู้หญิงในชุดสีขาวยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ราวกับเป็นสาวใช้ของซูอัน นางไม่สามารถระงับความอยากรู้ได้อีกต่อไป “อาซู นางเป็นใคร?”
“นางเป็นคนที่ข้าสามารถอัญเชิญออกมาได้…” ซูอันพยายามอธิบายอย่างดีที่สุดในแบบที่เพ่ยเหมียนหมานจะสามารถเข้าใจได้
เพ่ยเหมียนหมานตกใจกับการเปิดเผยอย่างกะทันหันนี้ “ยอดไปเลย!”
นางคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ซูอันเจอเข้าระหว่างทาง แต่เมื่อนางได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกอัญเชิญมา ความคับข้องใจของตัวเองก็คลายลงทันที
นางรีบไปที่ด้านข้างของต๋าจี่เพื่อตรวจสอบและเอื้อมมือไปสัมผัส “เอ๊ะ? จับแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนจริง ๆ เลย!”
ภาพของหญิงสาวแสนสวยสองคนที่ยืนเคียงข้างกัน เพียงพอที่จะทำให้ซูอันเหม่อมอง
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่นทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเพ่ยเหมียนหมานจะจับตรงไหนอย่างไร ต๋าจี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เมื่อเขาแหย่นางไปก่อนหน้านี้ นางเกือบจะตบหน้าเขา
“ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นคนจริง ๆ” ซูอันกล่าว แล้วเล่าให้นางฟังว่าต๋าจี่สูญเสียจิตวิญญาณไปได้อย่างไร
เพ่ยเหมียนหมานถอนหายใจ “มีคนที่น่าสงสารมากมายในโลกนี้ นางเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งคนหนึ่ง แต่นางก็ยังต้องลงเอยด้วยการเป็นหุ่นอัญเชิญของคนอื่น”
ซูอันไม่พอใจกับการเลือกคำพูดของนาง “หมายความว่าอย่างไร ‘คนอื่น’?”
เพ่ยเหมียนหมานพ่นลมหายใจแล้วพูดว่า “นางน่าสงสารพอแล้ว เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรที่เลวร้ายกับนาง!”
ซูอันสำลักน้ำลาย
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
“แล้วเจ้าไม่คิดอะไรเลยจริง ๆ หรืออย่างไร!?”
“เอ่อ…ไม่ต้องห่วง แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้านายของนาง แต่ข้าจะใช้นางเพื่อการต่อสู้เท่านั้น จริง ๆ แล้วข้าเองก็เข้าใกล้นางไม่ได้เช่นกัน…”
จากนั้นซูอันแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาพยายามเข้าใกล้ต๋าจี่ เพ่ยเหมียนหมานหัวเราะอย่างหนักจนทั้งร่างสั่น “เจ้ามีความตั้งใจที่ไม่บริสุทธิ์จริง ๆ! เจ้าได้ลองมาแล้วนี่เอง!”
“ข้าแค่อยากทดสอบเท่านั้นเอง…” ซูอันพูดอย่างรู้สึกผิด “หยุดหัวเราะได้แล้ว! ข้าจะโกรธถ้าเจ้ายังหัวเราะอีก!”
เพ่ยเหมียนหมานสังเกตเห็นท่าทางของเขาและกลั้นหัวเราะคิกคัก “เอาล่ะ ข้าจะไม่หัวเราะอีกแล้ว นางมีชื่อไหม?”
“ต๋าจี่”
“ต๋าจี่?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกใจของเพ่ยเหมียนหมานซูอันก็ยิ้มและพูดว่า “เป็นต๋าจี่คนเดียวกับที่เจ้าคิด หลังจากที่โลกของนางถูกทำลาย นางก็ติดอยู่ในกระแสแห่งกาลอวกาศ ซึ่งมันทำให้ข้าสามารถอัญเชิญนางออกมาแบบนี้ได้…”
ซูอันเคยเล่าให้เพ่ยเหมียนหมานฟังเกี่ยวกับต๋าจี่มาก่อนหน้านี้แล้ว ในช่วงที่พวกเขาอยู่ในการทดสอบกันหลายปี ต้องรู้ว่าเพ่ยเหมียนหมานเคยรับบทบาทเป็นต๋าจี่มาเช่นกัน ดังนั้นเพ่ยเหมียนหมานจึงรู้เกี่ยวกับต๋าจี่พอสมควรเป็นทุนเดิม
“ต๋าจี่ช่างงดงามเหลือเกิน…” เพ่ยเหมียนหมานพูดพร้อมกับถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนต่างเรียกขานนางว่าปีศาจจิ้งจอกพันปี”
จากนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางบีบมือซูอันและพูดว่า “ในที่สุด ข้าก็รู้แล้วว่าทำไมคืนนั้นเจ้าถึงตื่นเต้นมากหลังจากที่เจ้ารู้ว่าข้าคือต๋าจี่!”
ซูอันอ้ำอึ้ง
เขาเก็บต๋าจี่กลับไปและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “พวกเราออกจากมิติลับนี้กันเถอะ”
เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกตกใจ “นางหายไปไหนแล้ว??”
“น่าจะหายไปอยู่ในกาลอวกาศ…” ซูอันกล่าว