บทที่ 670 ผู้พิทักษ์! บรรพบุรุษที่อ่อนโยนที่สุดของเผ่าเวท! (3)
บัดนี้ ที่ด้านหลังของราชาฉินก่วงมีเต่าสีเขียวอ่อนที่ก่อตัวขึ้นจากพลังเซียน!
เต่าถูกวาดขึ้นในลักษณะที่เหมือนจริงมาก หากผู้ใดใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อตรวจสอบมัน พวกเขาก็จะไม่พบว่ามีอะไร
ทว่าพวกเขาก็มองเห็นมันได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า
จากนั้นเขาก็มองไปที่ข้างหลังราชาฉู่เจียงและเห็นภาพสตรีนอนตะแคงข้าง ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่ต้องถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
ภาพวาดนั้น งดงามมากจนเกิดมีเสียงเล็กน้อย!
ต้องค์ราชินีเป็นบรรพบุรุษที่อ่อนโยนที่สุดของเผ่าเวท
หัววัวและหน้าม้าตัวสั่นสะท้านเมื่อเห็นเช่นนั้น จากนั้นก็รีบกระโจนไปข้างหน้า แล้วเหตุการณ์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วมองขึ้นไปยังรูปปั้นหินที่เคร่งขรึม และรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ได้ทำตามแรงกระตุ้นและส่งร่างหลักของเขาไปยังแดนยมโลก
หากไม่คิดถึงอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง ก็ถือได้ว่า การกลับชาติมาเกิดของเสี้ยววิญญาณขององค์เง็กเซียนนั้นราบรื่นมากเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วพอใจมากกับเส้นทางชีวิตที่มั่งคั่งและสมหวังที่จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบได้สร้างขึ้นสำหรับองค์เง็กเซียน
องค์เง็กเซียนที่กลับชาติมาเกิดจะเกิดในตระกูลธรรมดาของเจ้าเมืองแห่งดินแดนเทวะทักษิณ
เขาจะกลายเป็นบุตรชายคนเดียวของเจ้าเมือง ตั้งแต่ยังเยาว์ เขาจะฉลาด รูปงาม และไร้กังวลใดๆ
เขาจะมีคู่เหมยม้าไม้ไผ่และสาวงาม…
บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่นามสกุลของเจ้าเมือง ก็เป็น ฮวา เช่นกัน
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เต๋าสวรรค์มีลางสังหรณ์และมอบร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน ฮวารี่เทียน มีประโยชน์บางอย่างหรือไม่?
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่ามีโอกาสมากที่องค์เง็กเซียนจะถูกปรมาจารย์เต๋าสวรรค์จัดเตรียมการเอาไว้แล้ว!
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วอ่านโครงเรื่องจบ ราชาฉินก่วงก็เขียนมันลงไปในตำราแห่งชีวิตและความตาย
จากนั้น จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบก็ระดมกำลังกันเพื่อจัดการพื้นที่รอบๆ สังสารวัฏหกวิถีเป็นการชั่วคราว
หลี่ฉางโซ่วถือกล่องผ้าไหมปักและส่งเสี้ยววิญญาณไปที่ประตูแห่งแสงสว่างของสังสารวัฏหกวิถี
หลี่ฉางโซ่วยังคงสงบ เขาสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของสังสารวัฏในระยะใกล้
ภายใต้สายตาจ้องมองของจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบ เขาก็สะบัดลำแสงไปที่สังสารวัฏหกวิถี
ครืน! ครืน!
ทันใดนั้น แดนยมโลกก็สั่นสะเทือนด้วยฟ้าร้อง แล้วมังกรสายฟ้าสีม่วงแดงก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเบื้องล่าง
เหล่าภูตผีมากมายล้วนสั่นสะท้าน
เจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกล้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัวในขณะที่แสงสีทองเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากทางด้านหลังของแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี
แสงสีทองนั้นพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายไปในส่วนลึกของแดนยมโลก
ทะเลเลือดพุ่งพล่านขึ้นและสัตว์ร้ายร้องคำราม บรรดาสิ่งมีชีวิตในแดนยมโลกล้วนตื่นตระหนก
ในขณะนั้น ก็มีลำแสงปรากฏขึ้นในดินแดนเทวะทักษิณ และสัญลักษณ์มงคลทุกชนิดก็ปรากฏขึ้นในส่วนต่างๆ ของดินแดนเทวะทักษิณ
บัดนั้นสัตว์มงคลที่มีแต่ในตำนานกำลังวิ่งอยู่บนท้องฟ้า
แสงเซียนล้อมรอบศาลสวรรค์ และหอสมบัติหลิงเซียวก็ถูกม่านสายฟ้าเข้าห่อหุ้ม…
ในขณะนั้น ที่ด้านหน้าของแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีแห่งแดนยมโลก รังสีของแสงสีทองสาดลงมาและล้อมรอบจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบ
บุญ!
มันเป็นบุญมหาศาล!
หลี่ฉางโซ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว
เขารู้ว่า เสี้ยววิญญาณขององค์เง็กเซียนได้กลับชาติมาเกิดในครั้งนี้เพื่อชดเชยกับเต๋าสวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์ และเชื่อมโยงสวรรค์และปฐพีและสามอาณาจักรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นเต๋าสวรรค์จึงส่งบุญมาตอบแทนพวกเขาที่ได้ทำเรื่องนี้ขึ้นมา
ทว่าในขณะนั้น จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบส่วนใหญ่ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ราชาฉู่เจียงถามด้วยความสับสนว่า “พวกเราช่วยโกง แล้วไฉนถึงยังปฏิบัติตามเต๋าสวรรค์เล่า?”
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้ม
ในขณะที่ส่งองค์เง็กเซียนไปเกิดใหม่ หลี่ฉางโซ่วก็ได้แอบจัดเตรียมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เอาไว้และให้พวกเขาไปดินแดนเทวะทักษิณเพื่อป้องกันอย่างลับๆ
หลังจากที่เขา เทพวารีแห่งศาลสวรรค์ทำเรื่องนั้นเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ขอบคุณจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบและขออำลาพวกเขา
จากนั้นเขาก็พาอ๋าวอี่ไปพบกับทหารสวรรค์และกลับไปที่ศาลสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่
ในรถม้า หลี่ฉางโซ่วได้หยิบตำราโบราณเกี่ยวกับยันต์ต่างๆ ออกมาและอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทว่าเขาก็ยังคงคิดถึงสภาพที่น่าเศร้าสลดของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา หลังจากที่เขาขาดการติดต่อกับมัน
เมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ถูกแยกออกจากร่างหลักของเขา ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของ หลี่ฉางโซ่วก็ได้ทิ้งพลังส่วนหนึ่งของพลังปราณวิญญาณของเขาเอาไว้
แต่พลังปราณวิญญาณส่วนนั้นก็ไม่ได้บันทึกอะไรเลย
ดูเหมือนว่า ผู้ที่มีฉายาลงท้ายว่า ‘เหนียง[1]’ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ที่พิเศษเหนือสามัญ
อืม ยกเว้นเทพธิดาอวิ๋นเซียว
ในช่วงหลายสิบปีที่องค์เง็กเซียนได้ไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิต หลี่ฉางโซ่วต้องใช้ความพยายามในศาลสวรรค์มากขึ้น
ข้าจะไปพบแม่ทัพตงมูในวันพรุ่งนี้ และแวะไปที่หอทงหมิง ส่วนเรื่องศาลสวรรค์จะพบกับอันตรายใดๆ หรือไม่นั้น…
เมื่อมีเหล่าจื้อแห่งวังดุสิตอยู่รอบๆ ก็ย่อมจะไม่มีปัญหาใดๆ
เขาจะต้องเริ่มทำงานล่วงเวลาอีกครั้งในช่วง “พักร้อนร้อยปี”
เมื่อเขากลับมาที่ตำหนักเทพวารี เขาก็ไม่เห็นองค์หญิงหลงจี๋
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้สนใจนางมากนัก เขาคิดว่านางต้องจากไปด้วยมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ
ทว่าเพียงขณะที่เขากลับไปศึกษาต่อ และกำลังจะเบนจิตสนใจกลับไปยังยอดเขาหยกน้อยเพื่อแกล้งท่านอาจารย์ของเขา หลงจี๋ก็ขี่เมฆพุ่งเข้ามา
เมื่อนางเข้าไปในตำหนักเทพวารี นางก็ร้องเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์! พระมารดาอยากเชิญท่านไปที่สระหยก!”
ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นึกถึง “การสมรู้ร่วมคิด” กันระหว่างเขากับองค์เง็กเซียน
พวกเขาได้คาดหวังภาพเหตุการณ์นั้นเอาไว้แล้วจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่า มันจะมาเร็วถึงเพียงนี้
“ได้”
หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนอย่างสงบและเดินออกจากการศึกษา
หลงจี๋เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนางเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ นางจึงส่งข้อความเสียง
“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่า พระมารดาจะโกรธจัด เมื่อตอนที่ข้ามา สีหน้าของนางดูน่ากลัวเล็กน้อย”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก องค์ราชินีจะไม่ทำให้เทพวารีตัวน้อยเช่นข้าต้องลำบากอย่างแน่นอน”
อย่างมากที่สุด เขาก็จะหักหลังสหายร่วมกลุ่มของเขา ผู้ใดขอให้องค์เง็กเซียนสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่เมื่อเสี้ยววิญญาณของเขากลับชาติไปเกิดกันเล่า?
………………………………………………………………..
[1] ราชินีหรือเทพธิดา