บทที่ 682 ศิษย์พี่ ถนอมตัวด้วย (3)
หลี่ฉางโซ่วตะโกนเรียก และโหย่วฉินเสวียนหย่าก็หยุดไปชั่วขณะ ริมฝีปากของนางสั่น ทว่าหาได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาไม่
นางไม่หันศีรษะกลับมา แต่กระโดดขึ้นไปแทน และทันใดนั้นเงากระบี่ก็ได้ปรากฏขึ้นรอบกายนาง แล้วนางก็กลายเป็นลำแสง พุ่งเข้าหาเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงสงครามเบื้องหน้า
ข้าควรทำอย่างไรดี?
ตีนางให้สลบหรือ?
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่น หากเขาหยุดยั้งนางจริงๆ ก็เกรงว่า นางอาจจะมีจิตมารในอนาคตได้อย่างแน่นอน
นางยอมหักมากกว่ายอมงอ ไม่เพียงแค่นางเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังแข็งแกร่งเท่านั้น แต่นางยังต้องเผชิญหน้ากับคนของนางเองอีกด้วย
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางไพล่มือไปไว้ด้านหลังแล้วหลับตาลงช้าๆ ทันใดนั้น ภาพของโหย่วฉินเสวียนหย่าที่พุ่งออกไปข้างหน้าในท้องฟ้าและต่อสู้กับเซียนสองสามคนในอีกด้านหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา
มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนฝักกระบี่เกล็ดอัคคีที่หลังของนาง และท่ามกลางเสียงกระบี่กระทบกัน กระบี่บินสิบหกเล่มที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าเย็นเยียบก็บินออกมาและบินวนไปรอบกายนาง
เนื่องจากความเร็วที่ลดลงอย่างกะทันหันเมื่อนางอยู่ในอากาศ ชายกระโปรงยาวของนางจึงปลิวสะบัดไปข้างหน้าราวกับดอกบัวน้ำแข็งที่เบ่งบานในท้องฟ้ายามราตรี
บนท้องฟ้าเหนือกำแพงเมือง กระบี่เซียนส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วเมือง และสมบัติเวทก็สาดแสงสว่าง
บนเนินเขา หลี่ฉางโซ่วยกมือซ้ายขึ้น และใช้มือขวาจับข้อมือซ้ายเอาไว้ แล้วเล็งฝ่ามือไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าจากระยะไกล
จากนั้นคลื่นของเสี้ยวอักขระเต๋าที่ไร้รูปไร้สีจนมองไม่เห็น ก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
บนท้องฟ้าเหนือเมือง ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้
จู่ๆ ความเร็วที่พุ่งไปข้างหน้าของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เพิ่มขึ้นฉับพลัน และเปลวเพลิงสีฟ้าเย็นยะเยือกรอบๆ กระบี่เซียนก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว!
บรรดาเซียนเหล่านั้นต่างก็ไม่ทันตั้งตัว และในการเผชิญหน้า แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันเพียงครั้งเดียว สมบัติเวทของพวกเขาก็ปลิวกระเด็นขึ้นไปในอากาศ แล้วร่างของพวกเขาก็ถูกกระบี่เซียนแทงเข้าไป และในทันใดนั้น พวกเขาก็กลายเป็นซากศพที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าทันที
ขณะนั้น เส้นผมยาวและกระโปรงของโหย่วฉินเสวียนหย่าปลิวไสวเล็กน้อย ร่างของนางหมุนไปเบาๆ ในอากาศ นางถือกระบี่ยาวที่บินเข้าหานางด้วยมือขวา และมีจุดแสงดาวเล็กๆ อยู่ล้อมรอบกายนาง
จากนั้น เท้าราวหยกที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยรองเท้าผ้าสีขาวได้ชี้ลง แล้วร่างของนางก็พุ่งเข้าไปในเมืองใหญ่แห่งนี้และบินไปทางสถานที่ที่มีเงาดำมืดนอกพระราชวัง
ในขณะนั้น เหล่าเซียนฝ่ายศัตรูซึ่งได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว
พวกเขากำลังค้นหาและรวบรวมสมบัติอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และสังเกตเห็นร่างของโหย่วฉินเสวียนหย่า แล้วพวกเซียนเสิ่นเหล่านั้นก็ก้าวเข้ามาหยุดนางเอาไว้ในทันที
หลี่ฉางโซ่วหนีลงไปในใต้ดิน และรีบพุ่งกลับไปยังใต้ดินของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หลากสีต่างๆ ออกมาจากแขนเสื้อของเขา
ผู้เป็นหมาเจี่ย[1]หลักของสำนักตู้เซียน ซึ่งเป็นเซียนหยวนธรรมดานั้น เก่งกาจเรื่องหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และค่ายกลยันต์ เขาลืมเรื่องนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด
ในวันนี้ ข้าจะปกป้องเจ้าสักครั้งหนึ่ง และในภายหน้า จะให้เจ้าตอบแทนข้าด้วยการทำงานชดใช้เป็นเวลาห้าร้อยปี
จริงๆ เลยนะ เจ้าเพียงฟังข้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ?
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ แต่สายตาจ้องมองของเขาก็ค่อยๆ คมชัดขึ้นทีละน้อย
สำนักเซียนเต๋าเวยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน…
อาจมีการสมคบคิดกันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่?
แน่นอนว่า ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ทั้งสองเผ่าที่สำนักเซียนนี้ควบคุมอยู่นั้น มีชายแดนอยู่ติดกับอาณาจักรหงหลินในเวลาเดียวกัน
หรือว่าบางที สำนักเซียนเต๋าเวย ตั้งใจจะจัดการพื้นที่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของดินแดนเทวะบูรพา
หากเป็นผู้อื่น พวกเขาอาจไม่ได้คิดไปตามแนวความคิดนี้
ทว่าสำหรับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่เกียจคร้านและมั่นคงเล็กน้อยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน พวกเขาย่อมต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบและวางแผนเพื่อจัดการรับมือกับความเป็นไปได้นั้น
เป้าหมายของอาณาจักรหงหลินคืออะไร?
เจตนาก่อให้เกิดความขัดแย้งเพื่อพิสูจน์ยืนยันว่า ร่างหลักของเทพวารีอยู่ในสำนักตู้เซียน ใช่หรือไม่?
ต้องมีคนสงสัยข้าอย่างแน่นอน
ดวงตาทั้งคู่ของหลี่ฉางโซ่วจับจ้องมองอย่างระมัดระวัง และเขาก็สัมผัสได้ถึงกฎห้ามต่างๆ ของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘ร่างหลัก’ อย่างละเอียด และอดจะจมจ่อมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้งไม่ได้
แน่นอนว่า เขายังคงทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน และแอบช่วยโหย่วฉินเสวียนหย่าต่อสู้กับศัตรูอยู่ลับๆ
โหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นดั่งเทพีแห่งสงครามที่ลงมาจากฟากฟ้า สำหรับคนภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่า นางเพียงอยู่ที่ขอบเขตเซียนเสิ่นเท่านั้น
แต่กระบี่ที่บินวนอยู่รอบกายนางนั้นก็ฉับไวยิ่ง การโจมตีทุกครั้ง ล้วนทำให้ผู้คนบาดเจ็บได้มากมายหลายคน!
แม้กระทั่งผู้ฝึกบำเพ็ญในขอบเขตเดียวกันก็ยังไม่อาจต่อสู้กับนางได้
นอกจากหลี่ฉางโซ่วที่แอบช่วยเหลือนางอยู่ลับๆ แล้ว ในขณะนี้โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ยังพยายามกระตุ้นพลังเซียนของนางอย่างสุดกำลัง
สัมผัสเซียนรับรู้ของนางได้ตรึงอยู่ที่มารดาและพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง ซึ่งถูกเงาดำล้อมรอบแล้ว
ในขณะนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่ารีบเร่งไปช่วยพวกนาง นางไม่อาจคำนวณว่าจะแผ่กระจายพลังเซียนออกไปอย่างเหมาะสมได้อย่างไรอีกต่อไป
ทันใดนั้น…
“โหย่วฉินเสวียนหย่า!”
จู่ๆ ก็มีเสียงตวาดคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีของเมืองหลวง และตามด้วยเสียงแตกสองสามเสียงปรากฏขึ้น
ในขณะนั้น สตรีที่สวมชุดคลุมสีดำและหน้ากากได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า นางเหวี่ยงแส้ยาวในมือแล้วปล่อยลำแสงสีดำหลายสาย พุ่งเข้าใส่โหย่วฉินเสวียนหย่าจากระยะไกล
บรรดาเซียนที่ปิดล้อมอยู่รายรอบโหย่วฉินเสวียนหย่า ต่างพากันขมวดคิ้วและถอยห่างออกไปทันทีในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าฉวยโอกาสนี้เพื่อหาช่องว่างและพุ่งออกไปข้างหน้า แล้วกระบี่บินหลายเล่มก็พุ่งออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
ในลำแสงสีดำแต่ละสายเหล่านั้น มียานหินเคลื่อนย้ายขนาดยาวสี่ชุ่นหนึ่งลำ ทว่ามันก็ถูกกระบี่บินโจมตีฟาดฟัน เมื่อมันอยู่ห่างจากโหย่วฉินเสวียนหย่าไปหลายสิบจั้ง แล้วกลุ่มหมอกสีดำก็ระเบิดออก
หลังจากนั้น กลุ่มหมอกสีดำนั้นก็แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และกวาดพัดไปทางโหย่วฉินเสวียนหย่า
โหย่วฉินเสวียนหย่าล่าถอยฉับพลัน แต่นางก็ยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พิษ!
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าแสงเซียนที่คุ้มกายโหย่วฉินเสวียนหย่า ก็แทบจะแตกสลายแล้ว!
โหย่วฉินเสวียนหย่าหยิบโอสถแก้พิษสองเม็ดที่หลี่ฉางโซ่วให้นางออกมา แล้วยัดเข้าใส่ในปากของนางทันที
………………………………………………………………..
[1] ผู้เก่งกาจ หรือ หุ่นเชิดซึ่งหมายถึงเป็นตัวตนปลอม (แสลง)