ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – บทที่ 727 การจัดทัพสุดยอดปรมาจารย์ (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 727 การจัดทัพสุดยอดปรมาจารย์ (3)

ทว่าเมื่ออวิ๋นเซียวโค้งคำนับให้พวกเขา ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงทั้งสามก็อยู่ในสภาพสำรวมท่าทีเอาไว้ด้วยความระมัดระวังเล็กน้อย

พวกเขาต่างประสานมือคารวะหรือโค้งคำนับให้นาง มีเพียงจ้าวกงหมิงซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของนางเท่านั้นที่ดูสบายๆ มากกว่า ขาของเขาอ่อนแรง…

เขาก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว

“น้องรอง เจ้ามาแล้วจริงๆ!”

อวิ๋นเซียวกล่าวอย่างจริงจังว่า “เราควรรอศิษย์พี่เสวียนตูและคนอื่นๆ ที่นี่หรือลงไปก่อนเจ้าคะ?”

เพียงทันทีที่นางเพิ่งกล่าวจบ แผนภาพไท่จี๋สีขาวดำจางๆ ก็ปรากฏขึ้นทางข้างหลังนาง และเสียงของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ดังขึ้นมาจากแผนภาพนั้น

“พวกเรามาแล้ว เราต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการดึงบางคนมา”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เริ่มก้าวออกมาจากในแผนภาพไท่จี๋ก่อน

จากนั้นก็ตามด้วยนักพรตเต๋าวัยกลางคนที่สวมมงกุฎทองคำอยู่บนศีรษะและสวมเสื้อคลุมเต๋า นั่นคือ กวงเฉิงจื่อ ผู้เป็นเซียนแห่งวังอวี่ซวีที่ตีระฆังทองคำ

ที่เบื้องหลังกวงเฉิงจื่อนั้น หาใช่หนานจีเซียนเวิงและฉื้อจิ้งจื่อเดินออกมาไม่

แต่พวกที่เดินออกมานั้น กลับเป็นนักพรตเต๋าหนุ่มที่สวมชุดเสื้อคลุมสีแดงและมีใบหน้าหล่อเหลา ผู้มีนามว่า ไท่อี่เจินเหริน และอวี้ติ่งเจินเหริน ซึ่งสวมเสื้อคลุมเต๋าสีเทา

ระดับฐานพลังของกวงเฉิงจื่อนั้น เทียบได้กับตั๋วเป่าและกงหมิง ส่วนอวี้ติ่งเจินเหรินนั้นไม่ค่อยได้ต่อสู้กับผู้อื่น จึงไม่รู้ระดับฐานพลังของเขา

ทว่าไท่อี่เจินเหรินซึ่งค่อนข้างกระตือรือร้นมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ระดับฐานพลังของเขายังห่างไกลจากศิษย์พี่ใหญ่ของเขามากนัก…

ในขณะนั้น ไท่อี่เจินเหรินรู้สึกกระดากเล็กน้อย เขาโค้งคำนับทักทายให้ศิษย์พี่ชายหญิงและยิ้ม

“ข้าไม่รู้รายละเอียด ศิษย์พี่ทั้งสองคนขอให้ข้าและอวี้ติ่งมาช่วยงานสำคัญ พวกเราจึงตามมาทันทีขอรับ”

ความหมายของเขาก็คือ เขาและอวี้ติ่งเจินเหรินไม่ได้คิดเริ่มเข้ามาเองก่อน หากพวกเขามาล่าช้าหลังจากนี้ ก็ต้องถูกกวงเฉิงจื่อและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูตำหนิ…

กวงเฉิงจื่อยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเชิญศิษย์น้องทั้งสองคนมาเพราะพวกเจ้าทั้งสองคนล้วนโดดเด่น”

“พวกเราลงไปกันเถิด” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ไปพบฉางเกิงก่อน แล้วค่อยให้เขาเล่ารายละเอียดให้พวกเจ้าฟัง”

ตั๋วเป่ามองไปยังผู้คนจากแดนยมโลกที่งงงันเล็กน้อยและกล่าวว่า “เราควรไปทักทายพวกเขาหรือไม่?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงในแขนเสื้อของอวิ๋นเซียวกล่าวออกมาว่า “ข้าจะไป”

จากนั้นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็บินออกไปและกลายร่างเปลี่ยนเป็นเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ และโค้งคำนับให้กับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดคน

เขากล่าวว่า “บังเอิญว่า ข้าต้องไปแจ้งเรื่องการติดตามผลกับจ้าวแห่งแดนยมโลกสองสามคน

ศิษย์พี่ชายหญิง โปรดไปที่ก้นนรกสิบแปดขุมก่อนเถิด บัดนี้มีจ้าวแห่งแดนยมโลกสองคน คือราชาฉินกวงและราชาฉู่เจียง กำลังรออยู่ที่ด้านล่างแล้ว”

กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆและร่อนลงไปในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้นำปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยลงไปสู่ก้นหุบเหว

เมื่อพวกเขามาถึงระดับต่ำสุดของนรกขุมที่สิบแปด และพวกเขาก็ได้พบกับราชาฉินกวงและราชาฉู่เจียงซึ่งกำลังรออยู่ตรงนั้น

นอกเหนือจากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ปรมาจารย์ทั้งเจ็ดจากสำนักบำเพ็ญเต๋าก็เริ่มรู้สึกตึงเครียด

ในขณะนั้น จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสองคนนั้น…

พวกเขาดูอนาถใจเกินไปจริงๆ

เสื้อคลุมของพวกเขาขาดรุ่งริ่ง จมูกมีรอยฟกช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง และร่างกายของพวกเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ เต็มไปด้วยน้ำตา และดวงตาของพวกเขาก็มืดมัวเล็กน้อย

นักพรตตั๋วเป่ากล่าวอย่างกังวลว่า“ มันร้ายแรงเพียงนั้นเลยหรือ?”

“จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสองได้รับผลกระทบจากร่างจำแลงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าว

“หลังจากนี้ พวกเจ้าจะได้สัมผัสกับพลังแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิต”

ในเวลานี้ เหล่าปรมาจารย์ทั้งเจ็ดคอยเฝ้าระวังตัวของพวกเขาในขณะที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวนั้นรู้ข้อมูลมากที่สุดและก็สงบมากที่สุด

หลังจากปลดกฎห้ามทั้งสี่สิบเก้าแล้ว พวกเขาก็ก้าวขึ้นไปบนริมขอบทะเลสาบแห่งน้ำตา และเดินผ่านหมอกหนาทึบ จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางทะเลสาบ

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สั่งว่า “พวกเราไปกันเถิด ตอนนี้มีหนึ่งในเจ็ดอารมณ์ กำลังนอนอยู่ที่นั่น มันคือ ความเศร้า”

ใบหน้าของปรมาจารย์ทุกคนดูจริงจังอย่างยิ่ง พวกเขารีบขี่เมฆและมาถึงด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว

ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วยังต้องการทดสอบความอดทนของปรมาจารย์ทั้งเจ็ด เพื่อดูว่าปรมาจารย์ทั้งเจ็ดจะสามารถทนต่ออารมณ์ทั้งเจ็ดได้ดีเพียงใดเช่นกัน

เมื่อพวกเขากำลังจะมาถึง เขาก็เริ่มพูดคุยกับความเศร้าน้อย ซึ่งกำลังนอนอยู่ตรงหน้าเขา

“องค์ราชินี ท่านไม่ยอมลุกขึ้นจริงๆ หรือ?

ข้าได้เชิญศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหมดมาที่นี่แล้ว แม้ข้าจะต้องแบกท่าน วันนี้ข้าก็จะแบกท่านขึ้นไป…”

“หากลุกขึ้นมา แล้วข้าจะทำอันใดได้เล่า?

แล้วการพาข้าไปที่นั่น เจ้าจะทำอะไรได้บ้าง?

ในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง แล้วไยเจ้าถึงต้องดิ้นรนไปอย่างไร้ประโยชน์เล่า?

ถูกต้อง เวลาส่วนใหญ่แล้ว หากท่านไม่ทำงานหนัก ท่านก็จะไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ทำเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย…

แต่ข้าก็ขอร้องท่าน อย่าทรมานข้าเลย อย่าให้ความหวังแล้วทำให้ข้าสิ้นหวัง”

ความเศร้าน้อยถอนหายใจเบาๆ และน้ำตาก็ไหลลงมาอาบใบหน้าของนางราวกับเขื่อนแตก

“พวกเจ้าทุกคนเพียงสนใจแต่ร่างในอารมณ์อื่นๆ ของข้าเท่านั้น มีผู้ใดใส่ใจข้าบ้าง?

ข้ามีเพียงน้ำตาของข้าเท่านั้น”

นี่…

บัดนั้น เส้นเอ็นรูปกากบาทก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหลี่ฉางโซ่ว เขาฝืนอดทนอย่างแรงกล้าต่อความเศร้าโศกที่กำลังโจมตีหัวใจเต๋าของเขา และรีบคิดถึงสิ่งที่จะทำให้ตัวเขาเองมีความสุขอย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อความเศร้าน้อยกล่าวว่า คลื่นของ “การโจมตีด้วยความเศร้า” ก็เหมือนพายุปะทุขึ้นในส่วนต่างๆ ของทะเลสาบแห่งน้ำตา

“เฮ้อ…”

เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจยาวมาจากทางด้านหลัง ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ร่อนลงมาข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว จากนั้นเขาก็มองขึ้นไปที่หมอกในระยะไกล และดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง

หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะของเขาไปและเห็นเทพธิดาจินหลิงซึ่งปกติแล้ว มักจะไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ กำลังเช็ดหางตาของนาง จากนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว

ในขณะนั้นเทพธิดาอวิ๋นเซียวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาของนางฉายแววเศร้าโศกในขณะที่นางมองไปที่ร่างของความเศร้าน้อยด้วยความเห็นอกเห็นใจ

จ้าวกงหมิงและกวงเฉิงจื่อก็ล้วนคล้ายคลึงกัน พวกเขาทั้งคู่ดูเศร้าเล็กน้อย ราวกับว่าพวกเขาได้นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยุ่งยากใจ

สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างสงบ…

ในขณะนั้น คนที่สงบที่สุดก็คือ อวี้ติ่งเจินเหริน เขาเป็นอาจารย์ของหยางเจี้ยน ซึ่งหลี่ฉางโซ่วเชื่อเสมอว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ ในขณะนั้นเขามองไปที่ความเศร้าน้อยด้วยสายตาเศร้าหมอง

ต่อจากนั้น…

ตุบ จู่ๆ ไท่อี่เจินเหรินก็ล้มลงคุกเข่ากะทันหัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“แม้ข้าจะอยากควบคุมมันเอาไว้ แต่เต๋าของข้าก็ยังขาดอยู่… ศิษย์พี่ใหญ่ ไฉนท่านถึงพาข้ามาเพื่อทำให้ตัวเองต้องอับอายที่นี่ขอรับ!?!”

“เฮ้อ” นักพรตเต๋าตั๋วเป่าถอนหายใจเบาๆ ในขณะนั้นใบหน้าอวบอิ่มเล็กน้อยของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงและความทรงจำอันลึกซึ้ง

“ตั๋วเป่า ความสุขของพวกเราหายไปได้อย่างไรกัน?”

หลี่ฉางโซ่วอดจะกะพริบตาไม่ได้เมื่อได้ยินว่า…

หายไป?

พวกท่านไม่มีความสุขเลยหรือเมื่อพวกท่านละทิ้งการเสื้อคลุมเต๋าและชั้นในของพวกท่านแล้ว “แหวกว่าย” ไปในกองสมบัติ?

………………………………………………………………..

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท