สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 882 ใช้สมองเช่นนี้ไขคดีหรือ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 882 ใช้สมองเช่นนี้ไขคดีหรือ?

บทที่ 882 ใช้สมองเช่นนี้ไขคดีหรือ?

“ข้าจะล้างแค้นให้ครอบครัวข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน” ซูหลินพุ่งเข้าไปพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ

อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งวรยุทธ์แมวสามขาของลู่จื่อชิง เขายังไม่อาจเอาชนะได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมือสังหารเหล่านั้น

องครักษ์วังหลวงและผู้คุ้มกันลับที่คอยปกป้องลู่จื่อชิงกระโดดออกมาจากทุกทิศทาง

เมื่อคนชุดดำเห็นก็รู้ว่าสู้ไม่ได้จึงร่นถอยไปในทันที

ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด

ไม่ง่ายเลยกว่าลู่จื่อชิงจะมีโอกาสต่อสู้สักครั้ง นางกระโจนเข้าต่อสู้กับคนชุดดำเหล่านั้น โดยไม่คำนึงถึงเสียงห้ามปรามของซ่งหานจือ

มีเพียงผ่านการต่อสู้จริง ๆ เท่านั้นที่จะรู้ได้ว่าวรยุทธ์ของตนดีเพียงใด

ลู่จื่อชิงคิดมาโดยตลอดว่าการฝึกฝนของตนอยู่ในระดับทั่วไป

อาจารย์คนแรกของนางคือฉีเซียว ต่อมาเป็นอาจารย์ซ่งที่ลึกลับทว่ามีความสามารถ ทั้งสองแทบไม่ได้กล่าวชมนาง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังคงพึงพอใจที่ได้สอนวรยุทธ์นาง คุณหนูรองลู่คิดเสมอว่าตนมีพรสวรรค์ด้านนี้ แต่เมื่อนางได้ต่อสู้กับคนชุดดำเหล่านั้นจริง ๆ ก็พบว่าตนค่อนข้างสับสนเมื่อถูกโจมตี หลายครั้งหากซ่งหานจือไม่อยู่ตรงนั้นและคอยปกป้อง นางคงโดนคนชุดดำลอบสังหารไปแล้ว

วิทยายุทธ์ของซ่งหานจือก้าวหน้าเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

ในยามปกติเขามักจะถ่อมตน ดูยกย่องนับถือนาง นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีฝีมือดีเพียงนี้

คนชุดดำเหล่านั้นหลบหนีไปแล้ว

เพียงแต่ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์เสียทีเดียว พวกนางล้มคนชุดดำสามคนลงได้

ซูหลินถอดผ้าปิดหน้าคนชุดดำออก

ใบหน้าที่น่าอนาถเผยออกมา

คนชุดดำทั้งสามเสียโฉมไปนานแล้ว ไม่อาจมองเห็นเค้าหน้าดั้งเดิมของพวกเขาได้แม้แต่น้อย

“แม้แต่ลิ้นก็ไม่มี” ซ่งหานจือง้างปากของคนชุดดำออก พบว่าในปากไม่มีสิ่งใด จากนั้นจึงกล่าวว่า “ถึงแม้พวกเขาจะไม่ตายทั้งยังตกอยู่ในมือเรา แต่ท้ายที่สุดกลับไม่พบสิ่งใด”

“ใบหน้าเละเทะ ถูกตัดลิ้น คนพวกนั้นช่างโหดร้ายไร้ความปรานีจริง ๆ” ซูหลินเอ่ย “ความพยายามของเราไร้ผลอีกแล้วหรือ?”

“พวกเรานำศพเหล่านี้ให้ศาลต้าหลี่ บอกให้พวกเขาตรวจสอบดูว่าอาวุธที่คนชุดดำใช้นั้นเป็นอาวุธที่ทำให้ทุกคนในสกุลซูเสียชีวิตหรือไม่ หากตรงกัน เช่นนั้นคงเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”

ลู่จื่อชิง ซูหลิน และคนอื่น ๆ กลับไปที่ศาลต้าหลี่อีกครั้ง

เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ต่างตกใจกลัวเมื่อคดีหนึ่งไม่ทันคลี่คลายก็เกิดคดีใหม่ขึ้นแล้ว

“ในเมื่ออันตรายถึงเพียงนี้ ตอนนี้เด็ก ๆ ไม่ควรเที่ยวเตร่ ควรอยู่แต่ในวัง เช่นนี้ก็จะช่วยปกป้องผู้สืบทอดคนสุดท้ายของสกุลซูของพวกเจ้าไว้ได้” เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่เอ่ย “มือสังหารนั้น แน่นอนว่าพวกเราจะต้องจับให้ได้ วางใจเถิด”

หลังออกมาจากศาลต้าหลี่แล้ว ลู่จื่อชิงขอให้ฉินโม่ถงและทหารองครักษ์คนอื่น ๆ พาซูหลินกลับไปก่อน นางอ้างว่าตนต้องการออกไปสูดอากาศ ตนและซ่งหานจือจะกลับไปในภายหลัง

ซูหลินไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรมาก ทั้งยังไม่สนใจว่าผู้อื่นจะทำสิ่งใดตอนนี้ จิตใจของเขาว่างโหวง ทำตามทุกอย่างที่ผู้อื่นจัดแจงให้

“ซ่งหานจือ บอกข้ามาตรง ๆ เจ้าเริ่มเรียนวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด?” ลู่จื่อชิงหันกลับไปจ้องซ่งหานจือ

ซ่งหานจือ “…”

ลู่จื่อชิงยกมือขึ้นกอดอกพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นโกหก และยิ่งไม่ชอบให้เจ้าโกหกข้า ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้ากับข้าไม่มีความลับต่อกัน ผลที่ได้กลับ…”

“ข้าไม่มีพรสวรรค์ หากอยากฝึกวรยุทธ์ให้เยี่ยมยอดก็ต้องขยันฝึกปรือกว่าผู้อื่น ตอนนั้นที่ข้าไม่ได้ไปเล่นกับเจ้า ข้าขอให้ท่านพ่อหายอดฝีมือมาฝึกวรยุทธ์ให้ ความขยันชดเชยความอ่อนแอของข้าได้!”

ลู่จื่อชิงมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ “เช่นนั้น เจ้าลำบากมากแล้วใช่หรือไม่?”

“ยอดฝีมือที่ท่านพ่อข้าเชิญมามักจะให้ข้ายืนบนต้นเหมย บางครั้งยังยืนอยู่หลายชั่วยาม โดยห้ามไม่ให้ตกลงมา หากตกลงมาจะถูกลงโทษ ต่อมายังให้ข้ายืนขาเดียวบนต้นเหมย ทั้งยังต้องเอาของเทินไว้บนหัว ไม่ให้มันหล่นลงมาเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษเช่นกัน ข้าไม่เฉลียวฉลาด ทำได้เพียงใช้วิธีโง่เขลาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้จงใจปิดบัง เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ”

“ช่างเถิด ข้าไม่โกรธแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าไม่ได้ใจแคบเพียงนั้น เมื่อครู่นี้ข้าเห็นฝีมือเจ้า ข้ารู้สึกราวกับถูกเจ้าหลอก ทว่าเมื่อขบคิดดูแล้ว เจ้าฝีมือดีขึ้นก็เป็นเรื่องดี นับตั้งแต่นี้ไปเจ้าปกป้องตนเองได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องเจ้าแล้ว”

“อันที่จริงแล้วข้ายังต้องการให้เจ้าปกป้อง”

“วรยุทธ์เจ้าเยี่ยมยอดยิ่งกว่าข้า ไยจึงต้องให้ข้าปกป้องเล่า?”

“เมื่อครู่เพราะมือสังหารพวกนั้นพุ่งเข้าโจมตีเจ้า ข้าคอยดูทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงสามารถหยุดพวกเขาไม่ให้ทำร้ายเจ้าได้ทันเวลา หากข้าสู้เพียงคนเดียว เช่นนั้นย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจึงยังต้องปกป้องข้า”

“กล่าวเช่นนี้ก็ถูก พวกเราไปดูสกุลซูอีกครั้ง บางทีอาจพบเบาะแสอื่น ข้าไม่เชื่อว่าคนตายไปมากมายเพียงนั้นจะไม่มีเบาะแสอะไรเลย” ลู่จื่อชิงเอ่ย “นอกจากนี้ มือสังหารเหล่านั้นยังโจมตีซูหลิน หากไม่มีความแค้นฝังลึก ก็ต้องเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หากเป็นอย่างแรก อีกฝ่ายจะต้องลงมือกับซูหลินอีกครั้งอย่างแน่นอน หากเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นสกุลซูอาจมีบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ”

ทั้งสองคนลอบเข้าไปในจวนสกุลซู

ตอนนี้จวนสกุลซูถูกปิดป้ายห้ามเข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่สวนสกุลซูก็มีใบไม้ร่วงหล่นมากมาย จวนที่เดิมทีคึกคักไปด้วยผู้คน ตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งผี บนพื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงฉาน เป็นร่องรอยสุดท้ายที่สกุลซูทิ้งไว้

“พวกเราแยกกันค้นหา”

ซ่งหานจืออยากติดตามไปกับนาง ทว่าเขาคิดว่าวันนี้ลู่จื่อชิงไม่พอใจเขา หากเขายังไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง เกรงว่ารังแต่จะทำให้นางไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม

“เช่นนั้นเจ้าระวังด้วย” ซ่งหานจือลดเสียงลงเอ่ย “หากมีอะไรผิดปกติให้เรียกข้า”

ลู่จื่อชิงไปดูที่ห้องตำราของซูหลินก่อน

“ขุนนางเหล่านี้มักวางกลไกไว้ในห้องตำรา ลู่จื่อชิงกล่าวพึมพำ “ข้าสัมผัสกับกลไกมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะออกแบบไม่เป็น แต่แค่เพียงมองปราดเดียวก็บอกได้ว่าที่ใดมีกลไก”

ฟิ้ว! เงาสีขาวเงาหนึ่งแวบผ่านไป

“ผู้ใด?” ลู่จื่อชิงหยุดฝีเท้าลง

ฟิ้ว! เงาสีขาวอีกเงาหนึ่งแวบผ่านไป

ลู่จื่อชิงชักกระบี่ออกจากข้างเอว “ไม่ต้องแสร้งเป็นผีแล้ว โผล่หัวออกมา!”

มีเสียงดังขึ้นมาจากบนขื่อคาน “ข้าไม่ได้แสร้งเป็นผี เพียงแต่ความเร็วของเจ้าอืดอาดเกินไป ถึงได้ตามข้าไม่ทัน”

“เจ้าคือ…” ลู่จื่อชิงหันไปมองเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้าคือคนที่ถูกประกาศจับ”

“ไม่ผิด เป็นข้าเอง” เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วมองลู่จื่อชิงด้วยท่าทีเกียจคร้าน “พวกเจ้าช่างตลกจริง ๆ จับมือสังหารตัวจริงไม่ได้ จนถึงขั้นต้องวาดภาพคนขึ้นมาสุ่ม ๆ เห็นผู้บริสุทธิ์เป็นมือสังหาร”

“ซูหลินบอกว่า เขาเห็นเจ้าหน้าห้องตำราบิดา” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าทะเลาะกับบิดาเขา คืนนั้นบิดาเขาบอกกับมารดาเขากลางโต๊ะอาหารเย็นว่า หมู่นี้อย่าได้ออกไปข้างนอกอีก เกรงว่าจะมีปัญหาตามมา หากความสัมพันธ์ของเจ้ากับสกุลซูไม่ใช่ศัตรู เหตุใดใต้เท้าซูจึงกล่าวว่าระยะนี้จะมีปัญหา ทั้งยังดูกระวนกระวายใจเพียงนั้นเล่า?”

“พวกเจ้าใช้สมองเช่นนั้นวิเคราะห์คดี มิน่าเล่าคดีนี้ถึงได้ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ” เด็กหนุ่มผู้นั้นกระโดดลงมาจากขื่อคาน “ฟังให้ดี หากข้าฆ่าคน ข้าจะไม่ปฏิเสธสักคำ ทว่าข้าไม่ได้ฆ่าคนผู้นั้น!”

——————————————

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท