บทที่ 900 คนขี้หึง
บทที่ 900 คนขี้หึง
“เขาเป็นอย่างไรหรือ?”
“เขาหน้าตาดีหรือไม่?”
ลู่จื่อชิงขบคิดด้วยสีหน้าจริงจัง “นับว่าหน้าตาดีกระมัง!”
“โม่ถงเล่า?” เสียงของซ่งหานจือแหบแห้ง
อันที่จริงแล้วโม่ถงหน้าตาดีมาก เพียงแต่พูดไม่ได้ ดังนั้นตัวตนของเขาจึงไม่ชัดเจนมากนัก
บนร่างเขาพกพารัศมีที่ทำให้ผู้คนนึกสงสาร ทุกครั้งลู่จื่อชิงจึงอ่อนโยนกับโม่ถงเป็นพิเศษ ราวกับว่าหากพูดจาเสียงดังแม้เพียงนิดจะทำให้เขาตกใจกลัว
“เขาก็หน้าตาดีเช่นกัน” ลู่จื่อชิงเอ่ย “มีอะไรหรือ?”
“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้ากับพวกเขาผู้ใดหน้าตาดีกว่า?”
“พวกเจ้าเป็นบุรุษ เหตุใดต้องเทียบความหล่อเหลากันเล่า” ลู่จื่อชิงรู้สึกเหลือเชื่อ “เจ้าไม่เหมือนผู้ที่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตานี่นา!”
“เจ้าคิดเสียว่า ข้า… ตอนนี้สนใจแล้ว” ซ่งหานจือกล่าว
“เจ้าหน้าตาดีที่สุด” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ในสายตาข้า นอกจากครอบครัวข้าแล้ว เจ้าหน้าตาดีที่สุด ถึงแม้ผู้อื่นจะหล่อเหลาราวเทพสร้าง ข้าก็ไม่ชอบพวกเขา”
ซ่งหานจือหยักยกมุมปากขึ้น
“เจ้าช่างไร้สาระเสียจริง! ก่อนหน้านี้เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้าใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากเพียงนี้?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “สายฉินขาดแล้ว วันหลังค่อยให้พวกเขานำไปซ่อมเถอะ”
“ได้”
ซ่งหานจืออารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมตั้งใจเอาอกเอาใจลู่จื่อชิงยิ่งกว่าเดิม
“นี่เป็นบะหมี่ที่ข้าทำขึ้นมาใหม่ ลองชิมดูหน่อยว่ารสชาติเป็นอย่างไร”
ซ่งหานจือเดินเข้ามาพร้อมบะหมี่หอมกรุ่น
ลู่จื่อชิงมองเขาด้วยความขุ่นเคือง “พี่หานจือ เอวของข้าขยายใหญ่แล้ว”
ซ่งหานจือกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
น้อยนักที่ลู่จื่อชิงจะแสดงท่าทีออดอ้อนเช่นนี้ ปกตินางมักจะเรียกเขาด้วยชื่อจริง บัดนี้จู่ ๆ ก็เรียกเขาเช่นนั้น แทบจะทำให้เขาสำลัก
“รอขาเจ้าหายดี ฝึกวรยุทธ์เพียงไม่กี่วันก็ผอมแล้ว ตอนนี้เจ้าต้องดูแลร่างกายให้ดี เช่นนี้ขาจะได้หายเร็วขึ้น”
ผู้ติดตามเรียกซ่งหานจือจากข้างนอก
ลู่จื่อชิงมองเขาเดินออกไป พลางใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ขึ้นมากิน
“หากซ่งหานจือไม่เป็นขุนนาง ภายหน้าเขาเปิดร้านบะหมี่จะต้องร่ำรวยเป็นแน่”
“ชิงเอ๋อร์ ข้าต้องออกไปสักเที่ยว” ซ่งหานจือเอ่ย “พระชายาเรียกหาข้า”
“ท่านแม่หรือ?”
“ใช่”
“หมู่นี้ท่านแม่ข้ามักจะตามเจ้าไปทำบางอย่าง นางอยากให้เจ้าเข้ารับราชการเร็วกว่าเดิมหรือ?”
“นี่เป็นเพราะพระชายาเห็นความสามารถข้าจึงให้โอกาสข้าได้ฝึกฝน”
“เช่นนั้นเจ้ากลับมาเร็ว ๆ ล่ะ”
ทันทีที่ซ่งหานจือจากไป ลู่จื่อชิงก็เริ่มฝึกฝน
บาดแผลของนางหายดีแล้ว เพียงแต่ซ่งหานจือคอยจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด เขาไม่อนุญาตให้นางออกแรงหนัก ๆ ไม่เช่นนั้นนางคง ‘ฝึก’ ในตำหนักแล้ว
ในเมื่อไม่อาจฝึกกระบี่ได้ เช่นนั้นฝึกยิงธนูคงไม่มีปัญหากระมัง?
เหล่าข้ารับใช้ไม่อาจห้ามปรามลู่จื่อชิง จึงทำได้เพียงเข็นนางไปยังลานฝึกซ้อม
ลานฝึกซ้อมเป็นที่ที่ทหารองครักษ์วังหลวงใช้ฝึกซ้อม ทันทีที่นางปรากฏตัว นางก็กลายเป็นผู้กุมอำนาจในด้านวรยุทธ์ทันที ฝีมือยิงเข้าเป้าอย่างแม่นยำของลู่จื่อชิงทำให้บุรุษทุกคนในที่นั้นล้วนจับจ้อง
“คุณหนูรองลู่ ทักษะการยิงธนูของท่านไม่เลวนี่!”
“อยากแข่งกันหรือไม่?”
“ได้เลย! แข่งอย่างไรหรือขอรับ?”
“ที่นี่มีลูกธนูเป็นร้อยดอก ผู้ใดยิงเข้าเป้าได้มากกว่าชนะ ข้าไม่รังแกท่าน ลูกธนูของข้าต้องยิงเข้ากลางเป้า ลูกธนูของท่านเพียงแค่เข้าเป้าก็พอแล้ว”
ทหารองครักษ์วังหลวงที่อยู่ใกล้เคียงโห่ร้องขึ้นมาทันที
ลู่จื่อชิงยังเยาว์วัย ทว่าเย่อหยิ่งทะนงตนยิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะไม่เห็นนายทหารที่อายุอานามเป็นพี่ชายนางได้เหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ทว่าไม่นาน พวกเขาก็ได้รู้ว่า ‘เลื่อมใส’ สองพยางค์นี้เขียนอย่างไร
นับตั้งแต่โบราณมา ผู้กล้าไม่เคยถามถึงที่มา ไม่ถามถึงเพศ ไม่ถามแม้กระทั่งอายุ
ถึงแม้พวกเขาจะฝึกฝนทักษะการต่อสู้มานานกว่าลู่จื่อชิง อีกทั้งความพร้อมก็ดีกว่านาง มิหนำซ้ำยังเป็นบุรุษ ทว่าก็ยังคงถูกแม่สาวน้อยผู้หนึ่งเอาชนะอย่างขาดลอย
“ข้าขอแข่งกับเจ้า” น้ำเสียงร่าเริงเสียงหนึ่งดังขึ้น
ลู่จื่อชิงหันกลับไปมอง
จึงเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ชายหนุ่มยิ้มร่าก่อนจะกล่าวคำชมเชย อีกฝ่ายดูค่อนข้างเป็นมิตรทีเดียว
“เจ้าร้ายกาจยิ่ง ข้าอยากแข่งกับเจ้า ไม่รู้ว่าได้หรือไม่?”
“เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าเป็นคนจวนหยางกั๋วกง” ชายหนุ่มกล่าว “บิดาข้าเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าไม่มีอะไรทำจึงเดินดูรอบ ๆ ข้าเห็นว่าพวกเจ้าทางนี้ค่อนข้างน่าสนใจ จึงอยากมาดูสักหน่อย”
“เช่นนั้นก็ได้!”
ซ่งหานจือออกจากวังเที่ยวหนึ่ง รับพระบัญชาจากลู่จื่ออวิ๋นไปจัดการกับอันตรายมากมายที่ซุกซ่อน เมื่อเขากลับเข้ามาในวัง ข้างกายของลู่จื่อชิงก็มีชายหนุ่มเพิ่มขึ้นมาอีกผู้หนึ่งแล้ว
จี้ซ่งเฉิงเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนออกเดินทาง เขาทิ้งจดหมายไว้ให้ลู่จื่อชิง ลู่จื่อชิงอ่านแล้วก็เผาทิ้งทันที ไม่มีแม้แต่การตอบกลับใด ๆ
จี้ซ่งเฉิงเพิ่งจากไปหนึ่งคน บัดนี้ยังมีหยางจี้รุ่น ชายหนุ่มที่หน้าตาไม่ได้ด้อยไปกว่าจี้ซ่งเฉิงเพิ่มขึ้นมา
“นี่มันเรื่องอะไร?” ซ่งหานจือเอ่ยถามฉินโม่ถงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ฉินโม่ถงหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน “บุตรชายของฮูหยินหยางกั๋วกง”
“ข้าไม่สนใจว่าเขามีสถานะเช่นใด เพียงแค่อยากรู้ว่าเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ได้กำลังพักฟื้นอยู่หรือ? เหตุใดจึงรู้จักคนอื่นเพิ่มขึ้นมาได้เล่า?” น้ำเสียงของซ่งหานจือค่อนข้างห่อเหี่ยวทีเดียว
เพื่อที่จะตามหาตัวคนที่ต้องการสังหารเสี่ยวชิงเอ๋อร์ เขาแทบเดินทางไปทั่วอาณาจักร คนเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด แทบจะถูกเขาถอนรากถอนโคนขึ้นมา แต่คนไร้หัวใจน้อยผู้นี้กลับมีอีกคนมาคอยป้วนเปี้ยนอีกแล้ว
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์กำลังฝึกยิงธนู หยางซื่อจื่อก็เข้าวังมาพอดี”
ซ่งหานจือเฝ้ามองอยู่พักหนึ่ง
หยางจี้รุ่นผู้นั้นแตกต่างจากจี้ซ่งเฉิง ฝ่ายหลังไม่เป็นที่ชื่นชอบของเสี่ยวชิงเอ๋อร์ ทว่าคนผู้นี้กลับได้รับการชื่นชมจากเสี่ยวชิงเอ๋อร์เป็นอย่างมาก ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี แทบจะอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับเขาด้วยซ้ำ
“ชิงเอ๋อร์” ซ่งหานจือร้องเรียก
ลู่จื่อชิงได้ยินเสียงของซ่งหานจือจึงเอ่ยกับหยางจี้รุ่น “นั่นเป็นสหายข้า ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก”
“ดียิ่ง!”
เมื่อลู่จื่อชิงพาหยางจี้รุ่นมาทางนี้ นางไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของซ่งหานจืออึมครึมยิ่งกว่าเดิม
ฉินโม่ถงยืนหัวเราะเยาะอยู่ข้าง ๆ
ตอนที่ฉินโม่ถงเพิ่งมา ลู่จื่อชิงดูแลเขาเป็นอย่างดีเพราะประสบการณ์ชีวิตที่น่าสังเวชของเขา ในยามนั้นซ่งหานจือเตือนเขาว่าอย่าได้ใช้สิ่งที่เผชิญมาแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าลู่จื่อชิง เพราะเขาขี้หวงเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนั้นฉินโม่ถงไม่ได้นอกลู่นอกทางเพื่อเอาใจลู่จื่อชิง อย่างไรเสียก็มีคนผู้นี้จับตาดู หากเขากระตือรือร้นเข้าหาลู่จื่อชิงเกินไป เกรงว่าจะเสียแรงโดยไม่คุ้มค่า อีกทั้งยังจะทำให้ซ่งหานจือโกรธและคงถูกขับไล่ไปในที่สุด
ตอนนี้มีบุรุษมาอีกหนึ่งคนแล้ว
จู่ ๆ ฉินโม่ถงก็เห็นใจซ่งหานจือขึ้นมา
ลู่จื่อชิงมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นางจึงเข้ากับผู้คนได้ง่าย ซ่งหานจือเป็นพวกชอบกินน้ำส้ม*[1] เกรงว่าต่อจากนี้จะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องกินน้ำส้มทุกวันไปตลอดชีวิต
“นี่คือซ่งหานจือ สหายที่ดีที่สุดของข้า” ลู่จื่อชิงเอ่ยกับหยางจี้รุ่น “หานจือ นี่คือหยางจี้รุ่น คุณชายหยางกั๋วกง ทักษะการยิงธนูของเขาดีพอ ๆ กับข้า ร้ายกาจทีเดียวเชียวละ”
“เจ้าจะชมเขาหรือว่าชมตนเอง?” ซ่งหานจือยิ้มบาง ๆ
“ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า!” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าจัดการเรื่องของเจ้าเสร็จแล้วหรือ? ครานี้ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”
“ไม่ได้บาดเจ็บ เพียงแต่…” ซ่งหานจือกุมศีรษะตนเอง “ตอนที่ข้ากลับมาเมื่อครู่นี้ทำให้ม้าตกใจ หัวจึงโขกกับรถม้า ตอนนี้ยังมึนหัวอยู่บ้างเล็กน้อย”
“มึนหัวหรือ? เช่นนั้นเชิญหมอหลวงมาดูเถอะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เหตุใดเจ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองเล่า ในเมื่อเจ้าหัวโขกแล้ว เช่นนั้นต้องรีบเชิญหมอหลวงมาตรวจดูประเดี๋ยวนี้ หยางซื่อจื่อ ข้าจะพาเขาไปหาหมอหลวง วันนี้ข้าไม่ฝึกยิงธนูแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยนัดกัน!”
“ได้” หยางจี้รุ่นแย้มยิ้มออกมา
[1] ชอบกินน้ำส้ม หมายถึง คนขี้หึง