บทที่ 903 ช่วยคนก่อน เรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง
บทที่ 903 ช่วยคนก่อน เรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง
“ช่วยคนก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง” ลู่จื่อชิงเอ่ย
ทุกคนไม่เสียเวลา ขุดค้นบริเวณนั้นในทันที พยายามช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ข้างในออกมา
ลู่จื่อชิงพาคนมาไม่น้อย ด้วยความช่วยเหลือจากชาวบ้านในท้องที่ ไม่นานก็ช่วยคนออกมาได้มาก
คนของลู่จื่อชิงเชิญท่านหมอกว่าสิบคนมา เมื่อช่วยเหลือคนให้รอดออกมา พวกเขาก็รีบเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกทับอยู่ข้างในทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างบาดเจ็บสาหัสทีเดียว เพียงแต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงชีวิต หากแต่ผู้ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือออกมาเหล่านั้น เกรงว่า…”
เวลาล่าช้าไปนานมากแล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือออกมาเกรงว่าอาจไม่รอด
“ดำเนินการช่วยเหลือต่อไป” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ใช้ยาที่ดีที่สุด ค่ารักษาทั้งหมดข้ารับผิดชอบเอง”
“ขอรับ”
หนึ่งชั่วยามต่อมา คนทั้งหมดที่ถูกฝังอยู่ข้างในก็ได้รับการเคลื่อนย้ายออกมา
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“เสียชีวิตมากกว่ายี่สิบคนขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าว “ห้าคนเป็นชาวบ้าน อีกสิบแปดคนที่เหลือเป็นทหารที่เฉินซานโก่วพามา”
ซ่งหานจือเดินเข้ามาเอ่ยกับลู่จื่อชิง “พวกเราพบร่องรอยมนุษย์บนนั้น ภูเขาถล่มครานี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ หากแต่มีใครบางคนจัดฉากขึ้นมา”
“ข้าต้องเข้าวังประเดี๋ยวนี้ เรื่องทางนี้มอบให้เจ้าดูแล ได้หรือไม่?”
“ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อเจ้า เจ้าก็รู้” ซ่งหานจือเอ่ย “เจ้าไปเถอะ! ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า”
ลู่จื่อชิงรุดเข้าไปในวังหลวง บอกกล่าวเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลู่จื่ออวิ๋นฟัง
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถึงเรื่องการนำทัพกลับเมืองหลวงของเซี่ยเฉิงจิ่น นางกล่าวว่า “มีคนเริ่มนั่งไม่ติดที่ เขาจึงคิดจะลงมือกับเจ้า เพียงแต่คนเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ กลับกลายเป็นเหยื่อสงครามการเมืองครั้งนี้เสียได้”
ต่อจากนั้นก็เป็นดังที่ทุกคนคาดคิด ครอบครัวของเหยื่อมาร้องห่มร้องไห้นอกกรมกลาโหม ราษฎรต่างโกรธเกรี้ยวที่ลู่จื่อชิงมาเป็นหัวหน้ากองพัน
หากคุณหนูรองลู่ไม่มีอะไรทำ เพียงแค่อยากออกมาหาความครื้นเครง ตราบใดที่นางไม่ทำร้ายผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางทำในตอนนี้เป็นภัยต่อชีวิตของคนจำนวนมาก นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัย
“เฉินซานโก่วฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ข้าถามเขาว่าเหตุใดจึงไปที่นั่น เขาบอกว่ามีคนคอยพูดกล่อมให้เขาไปล่าสัตว์เพื่อเฉลิมฉลองให้พวกเรา คนผู้นั้นหายไปนับตั้งแต่ตอนนั้น” ลู่จื่อชิงเอ่ย “พี่หญิง หากครั้งนี้ยังต้องอดทนอดกลั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่รับปาก”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าอดกลั้น เพียงแต่คนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ลึกยิ่งนัก บัดนี้พวกเรายังหาตัวเขาไม่พบ กระทั่งถึงตอนนี้ที่เราเสาะหาออกมาได้ล้วนเป็นเพียงตัวละครเล็ก ๆ ที่ถูกบีบให้โผล่ออกมา”
“น่ารังเกียจนัก!”
“พวกเราปลอบประโลมราษฎรก่อนเถอะ คนผู้นั้นท้ายที่สุดแล้ว เราจะต้องหาตัวออกมาได้เป็นแน่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ไม่ว่าเขาจะซ่อนอยู่ลึกเพียงใด จะต้องมีสักครั้งที่ความทะเยอทะยานของเขาถูกเปิดโปง”
ลู่จื่ออวิ๋นใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากตรวจสอบเรื่องนี้ ทว่าคนผู้นั้นไหวพริบดียิ่งนัก อย่างไรก็ไม่อาจสาวตัวเขาออกมาได้
ในตอนนี้เอง เซี่ยชิงโจวก็กลับมา
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเซี่ยชิงโจวผ่ายผอมลงไปมาก นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ท่านยังสบายดีกระมัง?”
“กระหม่อมคิดว่า…”
“ช้าก่อน” ลู่จื่ออวิ๋นขัดจังหวะเขาและหันไปเอ่ยกับติงเซียง “เชิญท่านหมอหมิงมา”
“ไม่จำเป็นกระมัง?” เซี่ยชิงโจวรู้สึกฉุนเฉียวเมื่อได้ยินชื่อของหมิงจือเหยียน “ครานี้กระหม่อมเหนื่อยทั้งกายทั้งใจเพราะกังวลติดต่อกันเป็นเวลานาน พักประเดี๋ยวเดียวก็ไม่เป็นไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้สตรีร้ายกาจผู้นั้นมาหรอก”
ไม่นานหมิงจือเหยียนก็มาถึง
นางเหลือบมองเซี่ยชิงโจวแวบหนึ่ง แววตาดูถูกปรากฏขึ้น “น่าเกลียดจริง”
เซี่ยชิงโจว “…”
เขาเพิ่งรู้
ขอเพียงพบกับแม่นางน้อยผู้นี้ ย่อมไม่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นแน่
“เจ้าลองตรวจดูหน่อยว่าอาการของเขาเป็นอย่างไร”
“เพคะ”
หมิงจือเหยียนจับชีพจรแล้วเอ่ยว่า “สารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะหักโหมงานเกินไป ไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไรเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
หมิงจือเหยียนกล่าว “ข้าจะสั่งยาให้เทียบหนึ่งเพื่อบำรุงร่างกายเขา เขาจะได้ฟื้นตัวโดยเร็ว”
“ไม่จำเป็นกระมัง” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “ในเมื่อร่างกายข้าไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกินยาแล้ว”
“กินยาเถิด อย่างไรเสียตอนนี้ท่านก็เป็นมือขวาของฮองเฮา หากร่างกายของท่านทรุดลง เช่นนั้นจะไม่ทำให้ฮองเฮากังวลพระทัยมากขึ้นหรือ?”
หมิงจือเหยียนเขียนเทียบยา ก่อนจะเหลือบมองเซี่ยชิงโจวแวบหนึ่งแล้วถอยออกไป
เซี่ยชิงโจวมีสีหน้าอมทุกข์ เอ่ยเรื่องที่กล่าวทิ้งไว้ให้จบ
“ทางนั้นมีปัญหาจริง ๆ เพียงแต่ยามนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกระหม่อมแล้ว นอกจากนี้ กระหม่อมยังพบเบาะแสหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ยามนี้ของฮองเฮา”
“เรื่องใดหรือ?”
“ที่นั่นมีร่องรอยของเผ่าคงเจิน” เซี่ยชิงโจวกล่าว “กระหม่อมจึงสงสัยว่า เรื่องนี้มีเผ่าคงเจินอยู่เบื้องหลังหรือไม่”
“เผ่าคงเจิน?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าจำได้ว่าองค์หญิงถัวน่าจากเผ่าคงเจินผู้นั้นแต่งงานให้เริ่นซื่อจื่อแล้วไม่ใช่หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้พบนางมานาน บางทีอาจเชิญนางมาทานอาหารเย็นในวังได้”
“ฮองเฮาคิดจะสนทนาด้วยพระองค์เองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“หากเกี่ยวข้องกับเผ่าคงเจินจริง ข้าเชิญองค์หญิงเข้าวังมาพูดคุย พวกเขาทางนั้นจะต้องเกิดความเคลื่อนไหว การเชื้อเชิญองค์หญิงถัวน่าเข้ามาในวังเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หลัก ๆ แล้วเพื่อดึงดูดความสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก”
เซี่ยชิงโจวเอ่ย “เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังออกจากวัง เซี่ยชิงโจวจึงกลับไปที่จวนของตนเป็นอันดับแรก
เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังจะเข้าไปพักผ่อน ก็เห็นพ่อบ้านนำหมิงจือเหยียนเข้ามา
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้านำยามาให้” หมิงจือเหยียนชูห่อยาในมือขึ้น “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นยาบำรุงกำลัง ดีต่อร่างกายของท่าน ฮองเฮารับสั่งข้าว่า ข้าต้องเห็นท่านดื่มมันด้วยตาตนเอง”
เซี่ยชิงโจวมองนางด้วยสายตาจับพิรุธ “พระนางฮองเฮายังกังวลพระทัยกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ท่านเป็นขุนนางคนสำคัญที่ฮองเฮาพึ่งพาอาศัย ความปลอดภัยของท่านเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง” หมิงจือเหยียนเอ่ย “บ่าวรับใช้เล่า? ให้พวกเขานำยาไปต้มเถิด”
เซี่ยชิงโจวเรียกบ่าวรับใช้มาหนึ่งคนให้นำยาไปต้ม
หมิงจือเหยียนหาที่นั่งลง คว้ากระต่ายตัวหนึ่งออกมาจากกล่องที่นางถือมาด้วย จากนั้นจึงหยิบของที่อยู่ในล่วมยาออกมา
“มานี่”
เซี่ยชิงโจว “…”
ที่แท้นี่เป็นบ้านผู้ใด?
เขาเดินไปหาหมิงจือเหยียนแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ?”
“ช่วยข้าจับมันไว้หน่อย”
“เจ้าจะทำอะไร?”
“ให้ท่านจับไว้ก็จับไว้เถอะ จะมากความไปไย?”
เซี่ยชิงโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมจับกระต่ายตัวนั้นเอาไว้
หมิงจือเหยียนป้อนยาเม็ดหนึ่งให้กระต่าย
“ยาเม็ดใหญ่ขนาดนั้น มันกลืนลงไปได้อย่างไร?”
“แค่มีปากก็กลืนได้แล้ว”
“เช่นนั้น เจ้าช่วยทำให้ยาที่ข้าต้องกินกลายเป็นเม็ดไม่ได้หรือ?”
“ไม่มีเวลา”
เซี่ยชิงโจวหัวเราะฮ่า ๆ ขึ้นเบา ๆ
เขายังสำคัญไม่สู้กระต่ายตัวหนึ่งกระมัง?
ไม่นานกระต่ายตัวนั้นก็แน่นิ่งไป
เซี่ยชิงโจวเอ่ยถาม “มันเป็นอะไรไป? ข้าไม่ได้ใช้กำลัง มันคงไม่ได้ตายแล้วกระมัง?”
“ท่านในฐานะขุนนางแห่งราชสำนัก มีคนตายในมือท่านน้อยนักหรือ?”
“นั่นไม่เหมือนกัน คนที่ข้าฆ่าล้วนสมควรตาย” เซี่ยชิงโจวไม่ชอบที่หมิงจือเหยียนมองตนเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเช่นนั้น
หมิงจือเหยียนไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่หยิบมีดเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาผ่าท้องกระต่ายตัวนั้น
“เจ้า! จะ… เจ้ากำลังทำอะไร?”
“เงียบปาก”
“นี่! แม้ว่าเจ้าอยากกินกระต่ายก็คงไม่ต้องลงมือฆ่าด้วยตนเองกระมัง?”
ถึงแม้จะฆ่าเองก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์นี้เสียหน่อย
ไม่เพียงแต่ได้เฝ้ามองในระยะประชิดเท่านั้น เขายังถูกใช้ให้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอีกด้วย โหดร้ายเกินไปแล้ว!