สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 908 เรื่องในครอบครัวไว้หารือทีหลัง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 908 เรื่องในครอบครัวไว้หารือทีหลัง

บทที่ 908 เรื่องในครอบครัวไว้หารือทีหลัง

“คนของโรงเตี๊ยมกล้าลงมือกับเรา เกรงว่าคงมีผู้ที่ยุยงเขาอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่อยากให้เรามีชีวิตกลับไป”

“ฝ่าบาท ท่านหมายถึงพระนางฮอง…”

ไม่ทันได้กล่าวพยางค์สุดท้ายอย่าง ‘เฮา’ ออกมา เซี่ยเฉิงจิ่นก็ตบหน้าผากอีกฝ่าย แล้วกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “สมองของเจ้ามีไว้เพียงประดับหรือไร? เหตุใดฮองเฮาต้องทำเช่นนี้? แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้อื่น”

คนสนิทอีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หากมีคนคิดจะขวางเราระหว่างทาง ต้องการลอบสังหารฝ่าบาท เช่นนั้นสถานการณ์ของฮองเฮาในเมืองหลวงคงไม่ง่ายดายแล้ว พระนางเป็นสตรีเพียงผู้เดียว แต่จัดการราชกิจแทนพระองค์มาสองปีแล้ว ขุนนางเฒ่าในราชสำนักเหล่านั้นจักอุทิศตนให้กับนางจริง ๆ ได้อย่างไร? ฝ่าบาท พวกเราต้องรุดกลับไปโดยเร็วที่สุด ฮองเฮาต่อสู้กับจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นเพียงลำพัง นั่นคงไม่เป็นธรรมต่อนางเกินไปแล้ว”

“เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้ากล่าวหรือ?”

เพียงแต่ตอนนี้ฝนยังตก ทำได้เพียงรอฝนหยุดตกก่อนค่อยเดินทางต่อแล้ว

ตลอดการเดินทางที่เหลือ เซี่ยเฉิงจิ่นเผชิญหน้ากับการถูกลอบสังหารทุกสองถึงสามวัน แต่ละครั้งมือสังหารล้วนเป็นคนละกลุ่มกัน ฝีมือของมือสังหารเหล่านี้ล้ำเลิศขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยเฉิงจิ่นรับมือกับพวกเขาไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น

“ฝ่าบาท…”

ขณะที่ถูกลอบสังหารเป็นครั้งที่สิบห้า เซี่ยเฉิงจิ่นก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

“บาดแผลมีพิษ”

เซี่ยเฉิงจิ่นมองไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เขาหยิบมีดขึ้นมากรีดแผลให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ปล่อยให้เลือดที่ถูกพิษไหลออกมาทั้งหมด จากนั้นจึงฆ่าเชื้อด้วยสุรา

ใบหน้าของเซี่ยเฉิงจิ่นซีดเซียวลงยิ่งกว่าเดิม

การลอบสังหารอย่างต่อเนื่องสร้างความเหนื่อยล้าให้เขา บัดนี้เขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งจึงยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนแรงกว่าเดิม

“ยังต้องเดินทางอีกหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ย “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระวรกายของฝ่าบาทจะทนไม่ไหว มิสู้ให้ข้าปลอมตัวเป็นฝ่าบาทล่อมือสังหารเหล่านั้นออกไป แล้วพวกเจ้าพาฝ่าบาทกลับไปยังเมืองหลวงดีหรือไม่”

“ไม่จำเป็น…” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “พวกเขาไม่ได้ต้องการให้ข้าตายหรือ? เช่นนั้น ข้าตายเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ฝ่าบาท ไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่ามได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”

“ไม่ต้องกังวล ข้าเพียงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายคลายความระมัดระวังลง” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้ายังอยากกลับไปพบเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์แบบมีชีวิต จะตายในที่ห่างไกลเช่นนี้ได้อย่างไร?”

เซี่ยเฉิงจิ่นยังกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงอาณาจักรเฟิ่งหลิน ทว่าฟ่านหยวนซีนำทัพกลับไปถึงเมืองหลวงก่อนแล้ว

ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารในราชสำนักยืนรอต้อนรับการกลับมาของเขาที่ประตู

ลู่อี้มีหนวดเคราขึ้น บารมีของเขาแผ่ออกมายิ่งกว่าเดิม เมื่อยืนอยู่ข้าง ๆ ฟ่านหยวนซีก็ไม่ถูกข่มแม้แต่น้อย เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ประกายรัศมีของผู้อื่น ๆ ก็จางหายไปอย่างสิ้นเชิง

“ข้ากลับมาแล้ว” ฟ่านหยวนซีตบบ่าลู่อี้ “ท่านอ๋องลู่ ลำบากท่านแล้ว!”

“ฝ่าบาทอย่ากล่าวเช่นนั้น ผู้ที่ลำบากที่สุดคือท่าน กระหม่อมดีใจยิ่งที่ฝ่าบาทกลับมาอย่างปลอดภัยครบถ้วนสมบูรณ์” ลู่อี้เอ่ย “พระองค์เสด็จกลับวังหลวง อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเราจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของท่านในคืนนี้แล้ว”

ฟ่านหยวนซีไม่สนใจฝุ่นที่เปรอะเปื้อนทั่วร่างกาย โอบแขนรอบบ่าลู่อี้ แสดงท่าทีราวกับเป็นพี่น้องกัน

“ข้าจะบอกเจ้าให้ ลูกเขยของเจ้าผู้นั้นเหลือเกินจริง ๆ” ฟ่านหยวนซีเล่าสิ่งที่เขาประสบพบเจอระหว่างทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมมือกันของเขากับเซี่ยเฉิงจิ่นในศึกครานี้ที่ทำให้ฟ่านเหยี่ยนยอมร่นอาณาเขตของตนลงทีละเล็กละน้อย ท้ายที่สุดก็ไม่เหลือสิ่งใดเลย “เจ้าเด็กคนนั้นน่าสนใจจริง ๆ โชคดีที่เขายังเยาว์วัย อีกทั้งความแข็งแกร่งของอาณาจักรเฟิ่งหลินก็ไม่สู้อาณาจักรฮุ่ยเรา มิฉะนั้นข้าจะต้องระวังเขาไว้ จริงสิ เหตุใดไม่เห็นฮูหยินบ้านเจ้ากับเด็ก ๆ หลายคนนั้นเล่า?”

“พวกเขาไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน กระทั่งบัดนี้ยังไม่กลับมา” เมื่อลู่อี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเป็นพิเศษ ประหนึ่งสามีขี้โมโหที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน

เขามองฟ่านหยวนซีแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาทกลับมาแล้ว ราชสำนักก็มีคนมาดูแล คิดว่าคงไม่มีอะไรที่กระหม่อมต้องทำแล้ว เช่นนั้น กระหม่อมถอนตัวหลังจากงานบรรลุล่วงได้แล้วกระมัง”

ฟ่านหยวนซี “…”

เขาเพิ่งเข้าประตูเมืองมา ยังไม่ทันได้ถอดชุดเกราะออก ผมที่ไม่ได้สระมากว่าครึ่งเดือนก็เหม็นมากจนแม้กระทั่งสุนัขกลางถนนยังเห่าเสียหลายครั้ง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคำพูดที่โหดร้ายเช่นนี้กับตน

“ท่านอ๋องลู่ ในฐานะบุรุษ แน่นอนว่าท่านควรให้ความสำคัญกับเรื่องของราชสำนักเป็นอันดับแรก ท่านอายุอานามเท่านี้แล้ว เหตุใดจึงเกาะติดฮูหยินไม่ปล่อยเล่า?” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “นอกจากนี้ที่บ้านท่านมีลูกหลายคนแล้ว ข้าจนถึงตอนนี้กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้น กลับมาครานี้ ข้ายังต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดีแล้วพยายามให้กำเนิดโอรสธิดากับฮองเฮาอีกหนึ่งถึงสองคน ท่านอดทนอีกหน่อย แบกภาระอันหนักหน่วงนี้ไว้บนบ่าเสียดี ๆ เถอะ!”

“ฝ่าบาท…” ลู่อี้มองเขาด้วยสายตาเฉยเมย “เรื่องในราชสำนักของอาณาจักรฮุ่ยเรามั่นคงแล้ว ขุนนางทุกท่านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แทบไม่มีอะไรต้องกังวล บัดนี้สิ่งที่น่ากังวลที่สุดควรจะเป็นดินแดนที่แย่งชิงมาจากอาณาจักรเหลียง ไม่ว่าอย่างไร เราก็เป็นผู้รุกราน คนในอาณาจักรเหลียงไม่กล้าขัดขืนเพราะพละกำลังของเรา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยินดีทำประโยชน์ให้กับราษฎรอาณาจักรฮุ่ยเรา ดังนั้น…”

“ดังนั้นจึงต้องให้ท่านดูแลให้ดีอย่างไรเล่า!” ฟ่านหยวนซีเอ่ยพร้อมกับตบไหล่ลู่อี้ปุ ๆ ราวกับบอกว่าข้าเชื่อในตัวท่าน “ข้าเหนื่อยมากแล้ว ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ รองานเลี้ยงฉลองเริ่มค่อยมาเรียกข้า”

ลู่อี้เฝ้ารอให้ฟ่านหยวนซีกลับมา

เมื่อกองทัพของฟ่านหยวนซีเข้าใกล้เมืองหลวงแล้ว เขาก็ตระเตรียมส่งต่อเรื่องราวต่าง ๆ หลังจากส่งมอบภาระบนบ่าให้กับฟ่านหยวนซี เขาก็จะไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อหาภรรยากับลูกของตน

ตอนนี้ดีนัก คนกลับมาแล้ว กลับไม่ยินดีรับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ไป ถึงขนาดหอบเอาความยุ่งเหยิงอีกอย่างหนึ่งกลับมาด้วย

“ผู้สำเร็จราชการแทน เชลยอาณาจักรเหลียงผู้นั้นจะจัดการอย่างไรขอรับ?”

“เชลย?”

“อดีตเซวียนอ๋อง ภายหลังเป็นฮ่องเต้อาณาจักรเหลียง ฝ่าบาทพาเขากลับมาด้วย พวกข้าน้อยไม่รู้ว่าควรจัดการกับเขาอย่างไร สถานการณ์ของเขาควรนำไปขังคุกกรมอาญาหรือศาลต้าหลี่ดีขอรับ?”

“กรมอาญา รอประหาร” ลู่อี้เอ่ย “ขังเขาไว้ก่อนเถอะ เพียงแต่อย่าให้เขาหลบหนีไปได้ เรื่องที่เหลือให้ฝ่าบาทตัดสิน”

ลู่ฉาวอวี่เข้ามาพร้อมกับฎีกาจำนวนมาก

เมื่อเขาเห็นลู่อี้ก็เอ่ยถาม “ฝ่าบาทว่าอย่างไรขอรับ?”

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร เจ้าก็อยากไปอาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อเยี่ยมน้องสาวของเจ้า และพามารดากับน้องชายน้องสาวทั้งสองคนกลับมาใช่หรือไม่?” ลู่อี้เอ่ย “เพียงแต่ต้องดูว่าฝ่าบาทต้องการสิ่งใด พวกเรายังมีงานหนักต้องทำ ไม่อาจจากเมืองหลวงไปได้ในยามนี้”

“ได้ยินว่าเสี่ยวชิงเอ๋อร์นำกำลังทหารไปสังหารโจรอยู่ที่นั่น” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “สถานการณ์ในอาณาจักรเฟิ่งหลินจะต้องโกลาหลเป็นแน่ ถึงได้ให้เสี่ยวชิงเอ๋อร์สาวน้อยผู้หนึ่งนำทัพไปต่อสู้ ข้ากังวลอยู่บ้างจริง ๆ เพียงแต่หากฝ่าบาทไม่ยอมปล่อย เราคงทำได้เพียงอดทนรอกระทั่งน้องเขยกลับถึงเมืองหลวงอาณาจักรเฟิ่งหลิน อาณาจักรเฟิ่งลินมีฮ่องเต้คอยดูแล ย่อมจัดการที่นั่นได้ง่ายกว่าอวิ๋นเอ๋อร์”

“งานเลี้ยงประทานรางวัลเย็นนี้เจ้าตระเตรียมให้ดีเถิด” ลู่อี้เอ่ย “อย่าได้ทำให้จิตใจทหารเยียบเย็น ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะได้กลับมาพร้อมคุณความชอบ เรื่องส่วนตัวในครอบครัวเราไว้ค่อยหารือกันวันหลัง”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท