บทที่ 918 งานชุมนุมจอมยุทธ์
บทที่ 918 งานชุมนุมจอมยุทธ์
จอมยุทธ์หญิงจงกล่าว “พวกเจ้า นางปีศาจจากตำหนักเซิ่งหัว เคยชินกับการล่อลวงจิตใจผู้คน ข้าควรจะจัดการกับพวกเจ้าทั้งหมดเสียตั้งแต่แรก จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลังเช่นนี้”
ลู่จื่อชิงเบ้ปาก “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี ที่แท้… ทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอายยิ่งนัก! พวกเขาทำลายทั้งสำนักของพวกนางแล้ว สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือพวกเขาฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา แทนที่จะฆ่าสตรีเหล่านั้นจากตำหนักเซิ่งหัว พวกเขากลับทำลายวรยุทธ์ของพวกนาง กรอกยาพวกนางโดยที่พวกนางไม่แม้แต่จะรับรู้สิ่งใด แล้วขายพวกนางออกไปเช่นนี้ สตรีเหล่านั้นเยาว์วัยทั้งยังหน้าตางดงาม จินตนาการได้เลยว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใด”
สตรีอาภรณ์เขียวเหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสตรีอาภรณ์น้ำเงิน ทว่าพวกนางมีฝีมือมากพอที่จะต่อกรกับลูกน้องจากหยางเจียจวงได้อย่างสบาย ๆ
การต่อสู้สิ้นสุดลง ทุกคนในหยางเจียจวงพ่ายแพ้แล้ว
เมื่อเห็นว่าสตรีอาภรณ์น้ำเงินผู้นั้นกำลังจะตัดแขนเจ้าสำนักหยาง เจ้าสำนักหยางจึงตะโกนถามลู่จื่อชิง “สหายตัวน้อย เงื่อนไขที่เจ้าเพิ่งกล่าวยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่?”
ลู่จื่อชิงมองไปรอบ ๆ แล้วชี้มาที่ตนเอง “ท่านกำลังคุยกับข้าอยู่หรือ?”
“ถูก ตราบใดที่เจ้าช่วยเราผ่านความยากลำบากครานี้ไปได้ กระบี่เลื่องชื่อเล่มนั้นจะเป็นของเจ้า” เจ้าสำนักหยางกล่าวพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลรินลงมา “ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิดสหายตัวน้อย”
ลู่จื่อชิงส่ายหน้า “ข้าสู้นางไม่ได้ คำพูดก่อนหน้านี้ ท่านแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินข้าเอ่ยถึงมาก่อนก็แล้วกัน! ข้าไม่อยากเอาชีวิตน้อย ๆ ไปแลกกับกระบี่เพียงเล่มเดียว”
สตรีอาภรณ์น้ำเงินหัวเราะออกมาเสียงดัง “นังหนูคนนี้ นิสัยเจ้าเหมือนข้ายิ่ง ไม่อย่างนั้น เจ้าติดตามข้าไปดีหรือไม่?”
“ข้าได้ยินว่าหมู่นี้ยุทธภพมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นข้าอยากออกไปท่องโลกกว้าง เรียนรู้ให้มากหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยท่องป่าเขาลำเนาไพรมาก่อนทว่ากลับไม่เข้าใจอะไรเลย เพียงแต่ครานี้ข้าได้ตระหนักถึงเหตุการณ์แล้ว รู้ว่าพวกเขาผิดต่อพวกท่าน ดังนั้นข้าจะไม่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอน พี่สาวคนสวยอาภรณ์น้ำเงินผู้นี้ ท่านสะสางบัญชีเก่าเถอะ พวกเราสองคนเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น”
สตรีอาภรณ์น้ำเงินสะบัดกระบี่ในมือฟันไปทางเจ้าสำนักหยาง
ลู่จื่อชิงเฝ้าสังเกตวิชากระบี่ของสตรีอาภรณ์น้ำเงิน
พลางทำท่าทางตามแล้วเอ่ยว่า “วิชากระบี่ของนางช่างน่าทึ่งจริง ๆ มิน่าเล่า เหตุใดนางจึงบอกว่าสตรีในตำหนักเซิ่งหัวเชี่ยวชาญกระบี่ ดูจากวิถีกระบี่ของนางในตอนนี้ วิชากระบี่ของตำหนักเซิ่งหัวนั้นเยี่ยมยอดจริง ๆ”
เมื่อเห็นว่าลู่จื่อชิงเริ่มหลงใหล ฉินโม่ถงก็ลากตัวนางเหาะเหินจากไป
“ไปเถอะ”
หากไม่จากไป เกรงว่าจะได้เห็นเลือดแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนหน้าบาง ทว่าก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่เห็นคนอื่นคิดบัญชีเก่า หยางเจียจวงพอมีชื่อเสียงในยุทธภพ ดังนั้นการไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้จะดีที่สุด
“กระบี่เลื่องชื่อนั่น…” ลู่จื่อชิงเตะฉินโม่ถง “ข้ายังไม่เคยเห็นกระบี่ที่สุดแสนจะโด่งดังเลยนะ!”
“หากกระบี่ของหยางเจียจวงตกอยู่ในมือของเจ้า ผู้อื่นอาจบอกว่าเจ้าฆ่าคนในหยางเจียจวง เพียงเพื่อกระบี่ที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง ไม่คุ้มค่าแม้เพียงนิด”
ลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงออกเดินทางต่อไป
สองสามวันให้หลัง นางก็ได้ยินคนในยุทธภพพูดคุยเรื่องหยางเจียจวงในโรงน้ำชา
“คนกว่าร้อยห้าสิบคนในหยางเจียจวง ไม่เหลือรอดแม้เพียงผู้เดียว”
“เจ้าสำนักหยางเล่า?”
“ตายแล้ว”
“เจ้าสำนักหยางมีสหายสนิทหลายคน อีกทั้งปรมาจารย์เหล่านั้นก็ไปแสดงความยินดีในวันเกิดของเขาที่หยางเจียจวงไม่ใช่หรือ?”
“ไม่มีผู้ใดหนีรอดไปได้แม้แต่ผู้เดียว”
ลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงมองหน้ากันไปมา
สีหน้าของทั้งสองคนดูเคร่งเครียดขึ้นมา
“สตรีเหล่านั้นหรือ?”
“แม่นางอาภรณ์น้ำเงินผู้นั้นไม่ได้บอกหรือว่า นางจะเอาของที่เป็นของตำหนักเซิ่งหัวกลับไปเพียงเท่านั้น และตัดแขนข้างหนึ่งของเจ้าสำนักหยางเพื่อเป็นการลงโทษ เท่านี้เรื่องก็จะคลี่คลาย เหตุใดไม่ปล่อยแม้กระทั่งบ่าวรับใช้เหล่านั้นไปเล่า?”
คนในยุทธภพด้านหลังยังคงเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ
“หยางเอ้อร์เสียน้องชายของเจ้าสำนักหยางได้จัดงานชุมนุมจอมยุทธ์ขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะแข่งวรยุทธ์คัดเลือกประมุขพันธมิตรยุทธภพเท่านั้น แต่ยังจะหารือวิธีจัดการกับคนชั่วร้ายเหล่านั้นด้วย พวกเขาออกเข่นฆ่าผู้คนไปทุกหนทุกแห่ง ฆ่าจอมยุทธ์ในยุทธภพไปมากมายนับไม่ถ้วน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าทั่วทั้งยุทธภพคงไม่มีความสงบสุขอีกแล้ว”
“ข้าได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับนางปีศาจจากตำหนักเซิ่งหัวหรือ?”
“สิบปีก่อน ตำหนักเซิ่งหัวถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน สตรีทั้งหมดเสียชีวิต หากเป็นตำหนักเซิ่งหัวจริง ๆ จะต้องทำไปเพื่อแก้แค้นเป็นแน่”
ลู่จื่อชิงยกไหสุราขึ้นมาเดินไปหาชาวยุทธภพ “พี่น้องทั้งหลาย งานชุมนุมจอมยุทธ์ที่พวกท่านกล่าวถึงจัดขึ้นที่ใดหรือ?”
“แน่นอนว่าเป็นเขาหนึ่งกระบี่” คนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ย “หยางเอ้อร์เสีย น้องชายของเจ้าสำนักหยางเป็นเจ้าหุบเขาแห่งเขาหนึ่งกระบี่ บรรพบุรุษของสกุลหยางเป็นผู้ที่หลอมอาวุธต่าง ๆ ครั้นหยางเจียจวงจบสิ้นไปแล้ว อาวุธชั้นดีเหล่านั้นย่อมมีเพียงหยางเอ้อร์เสียที่ได้รับไป แม่นางน้อย เจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยหรือ?”
“แน่นอน ข้าดูไม่เหมือนหรือ?”
“อายุยังน้อย เจ้าคงไม่ได้เรียนวรยุทธ์มาเพียงสองสามวันกระมัง? ข้าจะแนะนำให้ เจ้ารีบกลับไปโดยเร็วเถิด อย่าได้มาเดินเตร่อยู่ด้านนอก ทุกวันนี้ยุทธภพเกิดคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า เกรงว่าพายุกำลังตั้งเค้าแล้ว!”
“พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่? คุณชายอี้หรานที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในการต่อสู้เมื่อปีก่อนก็จะไปเขาหนึ่งกระบี่ด้วยเช่นกัน ได้ยินว่าเขากำลังจะไปเข้าคัดเลือกประมุขพันธมิตรยุทธภพ”
“หากคุณชายอี้หรานขึ้นเวทีท้าประลอง ไม่แน่ว่าตำแหน่งประมุขพันธมิตรยุทธภพอาจเป็นของเขาจริง ๆ”
ลู่จื่อชิงหูผึ่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องของตัวละครที่พวกเขากำลังกล่าวถึงเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้นางอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงทั้งวัน เล่าเรียนศึกษาแต่เรื่องที่ยากแก่การเข้าใจ วันหยุดพักผ่อน นางยังต้องเรียนรู้การวางแผนการรบจากตำราพิชัยสงครามกับตาเฒ่าซ่ง ลู่จื่อชิงถูกคนหลายคนเคี่ยวกรำ นางไม่รู้ว่าโลกภายนอกมีสิ่งน่าสนใจมากมายเพียงนี้
“วันนี้ข้าเลี้ยงเอง ไม่สู้ทุกท่านเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ข้าฟังอีกหน่อยเล่า”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง”
ฉินโม่ถงเห็นคนที่อยู่ในเงามืดก็จำได้ว่าเป็นหน่วยสอดแนมของสกุลลู่
เขาเหลือบมองลู่จื่อชิงที่กำลังนั่งคลุกคลีอยู่กับชาวยุทธภพแวบหนึ่ง ลังเลอยู่สักพักก่อนจะเดินไปยังมุมลับตา
เขาเพียงแค่ปลีกตัวมาชั่วคราวเท่านั้น คงไม่มีเรื่องอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินโม่ถงก็กลับมา แต่กลับไม่เห็นเงาของลู่จื่อชิง
เขารีบถามชาวยุทธภพที่ดื่มอยู่กับลู่จื่อชิงเมื่อครู่นี้
“แม่นางที่ซื้อสุราให้พวกท่านเมื่อครู่อยู่ที่ใด?”
“แม่นางผู้นั้นหรือ? เมื่อครู่มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา ดูเหมือนจะปล้นถุงเงินนาง นางจึงไล่ตามไปแล้ว”
ฉินโม่ถงรู้สึกกังวลขึ้นมาจึงถามเส้นทางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไล่ตามไป
ลู่จื่อชิงกำลังไล่ตามขโมยจริง ๆ
นางไล่ตามร่างนั้นไปตามมุมถนนหลายสาย ในที่สุดก็ขวางเอาไว้ในตรอกที่เป็นทางตันแห่งหนึ่งได้
“แม่นางผู้นี้ วิชาตัวเบาเจ้าไม่เลวนี่!” คนผู้นั้นสวมชุดขอทาน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลู่จื่อชิง ดูไปแล้วก็เป็นแม่นางน้อยหน้าตาสะสวยผู้หนึ่ง
“เอาถุงเงินของข้าคืนมา” ลู่จื่อชิงมองนางอย่างเย็นชา “ไม่เช่นนั้นข้าจะหักขาท่าน”
คนผู้นี้ไม่ใช่ขอทานธรรมดาอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ นางเคยกล่าวไว้แล้วว่า ยามนี้วิชาตัวเบาของนางดีกว่าทักษะกระบี่ของนาง แต่เพื่อวิ่งไล่ตามคนผู้นี้ลู่จื่อชิงกลับวิ่งผ่านถนนมาหลายสาย แสดงให้เห็นว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นี้ก็ไม่เลวเช่นกัน
“โธ่ เจ้ามีเงินมากมายเพียงนั้น อย่าตระหนี่ไปหน่อยเลยน่า!” ขอทานชี้ไปทางด้านหลัง “พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”
ลู่จื่อชิงหันกลับไป
ทันใดนั้น นางก็ต้องจ้องมองร่างที่หนีข้ามกำแพงไปด้วยความโกรธ “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหนีไปได้หรอก”
หญิงสาวนั่งอยู่บนกำแพงทำหน้าทะเล้นใส่ “เจ้าก็มาจับข้าสิ! แต่คงจับไม่ได้กระมัง?”
————————————-