บทที่ 919 เขาหนึ่งกระบี่
บทที่ 919 เขาหนึ่งกระบี่
“ชิงเอ๋อร์” ในที่สุดฉินโม่ถงก็ตามนางทัน “เจ้าวิ่งไปทั่วอย่างนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้พวกเราตกลงกันแน่ชัดแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าไม่อาจทำอะไรตามลำพังได้ มิเช่นนั้นข้าจะอธิบายกับท่านอ๋องและพระชายาอย่างไร?”
ลู่จื่อชิงชี้ไปทางที่ขอทานหายตัวไปพลางเอ่ยด้วยความคับข้องใจ “เมื่อครู่มีหัวขโมยเอาถุงเงินข้าไป!”
“รอครั้งหน้าเห็นนาง ข้าจะช่วยนำกลับมาให้ เพียงแต่ตอนนี้พวกเราไม่ต้องไล่ตามแล้ว อย่าไล่ต้อนคนจนตรอกเลย” ฉินโม่ถงเอ่ย “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาที่พักกันก่อน”
ณ เขาหนึ่งกระบี่ บริเวณตีนเขามีบ่าวรับใช้จำนวนมากสวมใส่เครื่องแต่งกายของสำนักเขาหนึ่งกระบี่ บ่าวรับใช้ตรวจสอบเทียบเชิญในมือแขก หากมีเทียบเชิญ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมขึ้นไปบนภูเขาได้ หากไม่มีเทียบเชิญ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเดินไปตามทางเล็ก ๆ ด้านข้าง ไม่อาจเป็นแขกของเรือนพักร้อน ทำได้เพียงเป็นแขกธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
“ที่แท้เป็นจอมยุทธ์หนุ่มจากสำนักชิงซานนี่เอง” บ่าวรับใช้เห็นชื่อบนเทียบเชิญจึงกล่าวด้วยความเคารพ “จอมยุทธ์หนุ่ม เชิญทางนี้ขอรับ”
สำนักชิงซานเป็นสำนักชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้พวกเขาฝึกฝนลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ออกมามากมาย สถานะของทั้งสำนักจึงพุ่งทะยานขึ้นเรื่อย ๆ มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า แน่นอนว่า ตอนนี้สำนักอันดับหนึ่งไม่ใช่สำนักชิงซาน หากแต่เป็นสำนักจ้งซาน สำนักที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ
กล่าวถึงสำนักจ้งซาน คนของสำนักจ้งซานก็มาแล้ว
“จอมยุทธ์จากสำนักจ้งซานทุกท่าน เชิญทางนี้” บ่าวรับใช้เห็นคนจากสำนักจ้งซานก็กระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
เจ้าสำนักจ้งซานเป็นชายวัยกลางคน เขามีดวงตานกอินทรีคู่หนึ่ง ดูองอาจกล้าหาญ ทั้งยังดูดุดันทีเดียว
ลู่จื่อชิงเขย่าฉินโม่ถงที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าว่า พวกเราก่อตั้งสำนักสักสำนักเป็นอย่างไร? ข้าคิดว่าพวกเขาค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว”
ฉินโม่ถง “…”
ปวดหัวยิ่งนัก!
นางจำเป็นต้องก่อตั้งสำนักด้วยหรือไร?
ขอเพียงแค่นางสั่งการสักคำ กิจการมากมายของมู่ซืออวี่มีคนงานนับหมื่น นางคิดจะใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้นได้ไม่ใช่หรือ?
ทางกรมกลาโหม ลู่จื่อชิงก็ไปปั่นป่วนที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง แม้นไม่อาจเรียกว่าทหารของนางได้ ทว่าหากต้องการส่งกองกำลังออกไป เพียงเข้าวังไปขอพระราชโองการก็ได้แล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร คนของท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่ใช่คนของข้า ข้าโตเพียงนี้แล้ว ไม่ควรมีพรรคพวกเป็นของตนเองหรือ? กล่าวกันตามตรง หากภายภาคหน้าข้าตกหลุมรักใครสักคน ท่านพ่อท่านแม่ไม่เห็นด้วยแล้วรังเกียจอีกฝ่ายเล่า ยามนี้ข้าก็ควรสร้างลู่ทางของตนเองใช่หรือไม่? ท่านพ่อท่านแม่จะช่วยข้าหรือ? แน่นอนว่าไม่! หากข้ามีพรรคพวกเป็นของตนเองก็จัดการเพียงคนเดียวได้”
“ชิงเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันมานานหลายปีแล้ว ข้ามักจะละอายใจที่ไม่เคยตามความคิดของเจ้าทันเลย” ฉินโม่ถงเอ่ย “ไม่มีข่าวคราวจากซ่งหานจือมาสามปี เจ้าถูกเขาทำให้สับสนแล้วกระมัง?”
ใบหน้าที่เดิมทีกำลังยิ้มแย้มของลู่จื่อชิงมืดครึ้มลงทันที
สามปีแล้ว ซ่งหานจือ ชื่อนี้ถูกนางกลบฝังไว้นานโข มีเพียงฉินโม่ถง คนไม่กลัวตายผู้นี้เท่านั้นที่กล้าเอ่ยออกมาต่อหน้านาง
“หากเจ้ายังเอ่ยถึงเขาอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า?” ลู่จื่อชิงเอ่ยเสียงเย็น
ฉินโม่ถงหุบปากไปทันที
ผ่านไปไม่นาน แขกของเขาหนึ่งกระบี่ก็ค่อย ๆ แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกลายเป็นแขกพิเศษเดินตามบ่าวรับใช้ไปทางซ้าย อีกกลุ่มกลายเป็นแขกธรรมดาเดินตามบ่าวรับใช้ไปทางขวา
“พวกเราจะทำอย่างไร?”
“พวกเรามีทางเลือกหรือ? อย่างไรก็ไม่มีเทียบเชิญ”
เทียบเชิญมีชื่อของสำนักต่าง ๆ เขียนไว้ ถึงแม้นางจะหามาได้ อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน ยังจะเป็นการล่วงเกินสำนักเหล่านั้นด้วย
“ทั้งสองท่านก็เป็นแขกที่ต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมจอมยุทธ์ด้วยหรือขอรับ?” บ่าวรับใช้เอ่ยถามพวกเขา
“ใช่ แต่พวกเราไม่มีเทียบเชิญ”
“แขกทั้งสองท่าน เชิญทางนี้” บ่าวรับใช้พาพวกเขาไปทางขวามือ
ลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงมาถึงนานแล้ว จากการเฝ้าสังเกตของพวกเขา มีคนมากมายเข้าร่วมงานชุมนุมจอมยุทธ์ในครั้งนี้ นอกเหนือจากสำนักยุทธ์ต่าง ๆ ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่ไม่ได้สังกัดสำนักใดอีกด้วย คนเหล่านี้หากไม่ได้คารวะอาจารย์ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักก็ฝึกยุทธ์มาอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ฝึกตามผู้อื่นเพื่อเข้าใจวิถีของยุทธภพ หากไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังก็เป็นพวกพอมีฝีมือทว่าไร้ประสบการณ์ในยุทธภพ อย่างเช่นลู่จื่อชิงและฉินโม่ถง
ผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าลู่จื่อชิงเป็นสตรีหลายคนแต่งกายคล้ายชาวเหมียว สตรีเหล่านี้สวมชุดของชนกลุ่มน้อย ขณะเดินมีเสียงกรุ๊งกริ๊ง ฟังดูไพเราะเสนาะหูทีเดียว
“เอวนั้น…” ลู่จื่อชิงทำท่าทาง
ฉินโม่ถง “…”
นายน้อยสองคนของสกุลลู่ค่อนข้างเคร่งขรึม เหตุใดคุณหนูรองผู้นี้เห็นหญิงงามก็ก้าวขาไม่ออกแล้วเล่า?
เฮ้อ! เขากำลังติดตามคนเช่นใดกัน?
ฉินโม่ถงหัวเราะออกมา ทว่าเขาไม่รู้ตัวว่าดวงตาที่ตนเองใช้มองลู่จื่อชิงนั้นเต็มไปด้วยความจนใจและความเอ็นดู
“โอ๊ย…” สตรีชาวเหมียวผู้หนึ่งข้อเท้าแพลง “เจ็บ…”
“พี่ชายน้อยด้านหน้า น้องสาวข้าข้อเท้าแพลง” เว่ยชิงอิงเอ่ยเบา ๆ “พวกท่านไม่มีทางอื่นแล้วหรือ? ไปทางที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่?”
“ขออภัย แขกทุกท่าน นับตั้งแต่ตรงนี้มีเส้นทางขึ้นเขาเพียงทางเดียว” บ่าวรับใช้กล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“เช่นนั้นพวกเราขอพักสักครู่ ประเดี๋ยวจะตามไปภายหลัง”
“ได้ขอรับ แขกทุกท่านเชิญทางนี้”
สตรีชาวเหมียวกลุ่มนี้มีทั้งหมดห้าคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่ง อีกสามคนที่เหลือติดตามคนอื่น ๆ เดินหน้าต่อไป
ลู่จื่อชิงสังเกตคนเหล่านี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
นอกจากสตรีเผ่าเหมียวที่ดูอ่อนโยนบอบบาง คนอื่น ๆ ล้วนดูร้ายกาจทั้งสิ้น
มีคนแคระตัวผอมผู้หนึ่ง ดูไปแล้วไร้พิษสง ทว่าลู่จื่อชิงเคยเห็นค้อนอันใหญ่ที่เขาถืออยู่ก่อนหน้านี้ มันมีน้ำหนักราวหนึ่งร้อยจินได้
คนแคระรูปร่างเล็ก เกรงว่าน้ำหนักเขายังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของค้อนอันใหญ่นั่นเสียอีก แต่ก็ยังเห็นเดินถือค้อนใหญ่ไป ๆ มา ๆ
ชายหนุ่มผิวซีดผู้นั้นก็แปลกมากเช่นกัน เขาไอค่อกแค่กเป็นระยะ ๆ ราวกับมีเสมหะติดอยู่ในลำคอตลอดเวลาทำให้ลู่จื่อชิงรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
“ชิงเอ๋อร์” ฉินโม่ถงดึงนางไว้ “ระวังเท้าของเจ้า อย่าได้เอาแต่มองผู้อื่น”
เท่านั้นเองลู่จื่อชิงจึงตระหนักได้ว่าบนพื้นเต็มไปด้วยแมลงพิษกำลังคลานยั้วเยี้ย
นับตั้งแต่ที่เห็นสตรีอาภรณ์น้ำเงินปฏิบัติการในหยางเจียจวงครั้งก่อน เมื่อเห็นแมลงและหนูเหล่านี้ เขาก็มักจะรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาเสมอ
“ด้านหน้าเป็นสถานที่ที่แขกทุกคนต้องเข้าพักในระยะเวลาสองสามวันนี้” บ่าวรับใช้เอ่ย “แขกทุกท่านสามารถเลือกได้ว่าจะพักที่ห้องใด อย่างไรก็ตาม ห้องพักมีเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแย่งกัน”
ลู่จื่อชิงและฉินโม่ถงย่อมต้องอยู่ห้องข้าง ๆ กัน
ทั้งสองคนเลือกห้องแล้วเข้าไปทันที
ส่วนคนอื่น ๆ ไม่มีอะไรให้ต้องต่อสู้กันแต่อย่างใด แน่นอนว่าวันแรกทุกคนย่อมไม่คิดสร้างปัญหายุ่งยากให้มากนัก ถึงแม้พวกเขาจะไม่พอใจ แต่นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง ตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่ม
ฉินโม่ถงมาเคาะประตูห้องลู่จื่อชิง
“เข้ามา”
ฉินโม่ถงได้ยินนางขานรับจึงผลักประตูเปิดออก
“มีอะไรหรือ?”
“ข้าไปสำรวจรอบ ๆ มาแล้ว” ฉินโม่ถงกล่าว “บริเวณนี้มีคนทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบคน สำนักใหญ่ ๆ ทั้งหมดอยู่อีกด้านหนึ่ง อย่างไรเสียพวกเขาก็มีเทียบเชิญ ทางนี้กลับไม่มีภูมิหลังอะไรเลย”
“ข้ารู้! เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเขาแล้วย่อมมองออก”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ เจ้ากล่าวว่าอยากมาเที่ยวเล่น ข้ากลับเห็นว่าเจ้าไม่เหมือนมาเที่ยวเล่นสักนิด เจ้าคงไม่ได้คิดจะชิงตำแหน่งประมุขอะไรนั่นกระมัง?”
“ข้าคิดเช่นนั้นแหละ ในเมื่อมาแล้วก็เข้าร่วมเสียหน่อย! ดูว่าตนแข็งแกร่งเพียงใด หากไม่ได้ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ถือเสียว่ามาสั่งสมประสบการณ์”