บทที่ 921 คุณชายอาภรณ์ขาวสวมหน้ากาก
บทที่ 921 คุณชายอาภรณ์ขาวสวมหน้ากาก
วันถัดมา ทุกคนรับประทานอาหารเช้า แล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหนึ่งกระบี่
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขา หลาย ๆ คนก็มาถึงก่อนและนั่งประจำที่ที่ได้รับการจัดสรรเรียบร้อยแล้ว
แต่ละสำนักล้วนมีตำแหน่งของตนเอง และ ‘แขกที่ไม่ได้รับเชิญ’ ก็ถูกจัดให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ส่วนจะนั่งอย่างไร นั่นเป็นปัญหาของพวกเขา หากคนสองคนต้องการแย่งชิงตำแหน่งเดียวกันก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง ในเมื่อเป็นคนในยุทธภพ การต่อสู้ฆ่าแกงจึงเป็นเรื่องปกติ ทุกคนล้วนไม่แปลกใจอะไร
ทว่า หลังจากเรื่องไร้สาระเมื่อวานนี้ ทางฝั่งผู้ที่มาเดี่ยว ๆ กลับนิ่งสงบอย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งการต่อสู้เพราะความขัดแย้งแม้เพียงนิด บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนเข้าใจว่าคู่ต่อสู้ที่พวกเขาเผชิญในยามนี้ยากที่จะรับมือ จึงจำเป็นต้องรักษากำลังเอาไว้สำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการต่อไป แทนที่จะสร้างศัตรูให้ตนเองเพียงเพราะความต้องการเล็ก ๆ น้อย ๆ
ลู่จื่อชิงมองไปทางสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ก่อนที่นางจะก้าวเข้าสู่ยุทธภพ อาจารย์ซ่งได้เล่าเรื่องสำนักต่าง ๆ ในยุทธภพให้นางฟังแล้ว หากแต่นั่นเป็นเพียงการวางแผนรบบนกระดาษ คราวนี้ สิ่งที่นางเห็นได้ตรงกับเรื่องที่อาจารย์ซ่งเคยบอกเล่า
“สำนักจ้งซาน สำนักชิงซาน หอคอยย่ำหิมะ บ้านสกุลหลี ตำหนักเซิ่งหัว…” ลู่จื่อชิงพินิจพวกเขาทีละคน “คนสวมหน้ากากผู้นั้นเป็นผู้ใด?”
“คงเป็นคุณชายอี้หรานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในช่วงสองปีที่ผ่านมากระมัง” ฉินโม่ถงเอ่ย “วิชากระบี่ของเขาไม่เลว ท้าประลองปรมาจารย์มาไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด”
ลู่จื่อชิงจ้องมองเขาด้วยความสงสัย
คุณชายอาภรณ์ขาวผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวมหน้ากากจิ้งจอก ค่อนข้างลึกลับทีเดียว
ขณะที่ลู่จื่อชิงจ้องมอง เขาก็หันมามองนางเช่นกัน เมื่อเห็นลู่จื่อชิง เขาพลันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“เหตุใดข้ารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะรู้จักข้า?”
“คงไม่ใช่กระมัง! เขาเป็นคนในยุทธภพ ไม่น่าจะเคยพบเจ้า”
“คนในยุทธภพจะไม่ย่างเท้าเข้าเมืองหลวงหรือไร?”
“เจ้าไม่ได้พเนจรไปทั่วตลอดช่วงเวลาหลายปีมานี้หรือ ระยะเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ได้มากมายอะไรนัก”
“นั่นก็จริง”
ลู่จื่อชิงกล่าวไปเช่นนั้น ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ข้างกายคุณชายอี้หรานท่านนั้นมีลูกน้องสองสามคน
คุณชายอี้หรานชี้ส่งสัญญาณบางอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ลดเสียงลงกล่าวบางอย่างกับลูกน้อง ลูกน้องผู้นั้นพยักหน้า แล้วถอยออกไป
สำนักใหญ่เกือบทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว อันที่จริง สำนักที่มีความเคลื่อนไหวในยุทธภพยามนี้ก็คือหลายสำนักที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“กากเดนของตำหนักเซิ่งหัวไม่ใช่เพิ่งสังหารหยางเจียจวงไปทั้งหมดหรือ? เหตุใดพวกเขายังกล้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมจอมยุทธ์อีก? พวกเขาไม่รู้หรือว่าหัวข้อของงานชุมนุมจอมยุทธ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเลือกประมุขพันธมิตรยุทธภพเท่านั้น ทว่ายังรวบรวมสำนักต่าง ๆ มาเพื่อหารือวิธีจัดการตำหนักเซิ่งหัวของพวกเขาด้วย?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้างกระเดื่อง
“อาจารย์อา งานชุมนุมยังไม่เริ่ม พวกเราอย่าเพิ่งไปยุ่งเรื่องตำหนักเซิ่งหัวเลย” ศิษย์เอกของสำนักชิงซานกล่าวแนะนำเขาด้วยความหวังดี
“พวกเราสำนักชิงซานเป็นคนเที่ยงธรรมมาโดยตลอด ทั้งยังบาดหมางกับตำหนักเซิ่งหัว มีอะไรให้เกรงกลัวกัน?”
เติ้งจิ่วอวี๋หัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เฮ่อหลี่ซานสำนักชิงซานยังอยู่ดีกระมัง? ครานั้นเขาถูกผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักเซิ่งหัวเราตัดแขนไป นึกไม่ถึงว่าจะยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักชิงซานของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าสำนักชิงซานอ่อนน้อมถ่อมตนต่อสวะผู้หนึ่งเกินไปแล้วกระมัง? พวกเจ้ามีหลายคนเพียงนี้แม้กระทั่งคนพิการผู้หนึ่งยังไม่สู้รึ?”
“เจ้าเด็กแสบ เจ้าอย่าเพิ่งชะล่าใจไป ตำหนักเซิ่งหัวไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนนานแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าเป็นเพียงคนซัดเซพเนจรกลุ่มหนึ่ง หากข้าเป็นพวกเจ้า ในเมื่อยังหลงเหลือสตรีหลายคนก็คงจะไปหาบุรุษตบแต่งเลี้ยงดูลูกน้อย อย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพอีก พวกเจ้าไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้ ระวังจะทำผิดพลาดเช่นเดิมอีกครั้ง คราวนี้ย่อมไม่มีผู้ใดรักหยกถนอมบุปผาแล้ว”
“พวกเราเห็นความจริงอยู่ในกำมือ ไม่จำเป็นต้องทำตัวอย่างสตรีที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้” เติ้งจิ่วอวี๋ยิ้มเย็น
“ทุกท่าน…” ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินออกมา “วันนี้ที่เขาหนึ่งกระบี่ของเราครึกครื้นจริง ๆ ข้าไม่ได้เจอสหายมากมายเพียงนี้มาหลายปีแล้ว”
“รองเจ้าสำนักหยาง!”
“เจ้าสำนักหยาง!”
“หยางเอ้อร์เสีย!”
ทุกคนล้วนกล่าวทักทายกัน
ลู่จื่อชิงเคยพบกับเจ้าสำนักหยางคนก่อนแล้ว แต่ชายผู้นี้เป็นน้องชายของอีกฝ่าย เขาดูคล้ายคลึงกับเจ้าสำนักหยางผู้นั้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของชายผู้นี้ดูอ่อนโยนกว่า อีกทั้งยังดูใจดีกว่าเจ้าสำนักหยางคนก่อนนัก
“ในเมื่อทุกคนล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ไม่สู้พวกเราเริ่มกันเลยเถอะ!” เจ้าสำนักหยางกล่าว
“เจ้าสำนักหยาง ท่านจะยอมให้คนที่ฆ่าพี่ชายของท่านเข้าร่วมงานชุมนุมจอมยุทธ์ได้อย่างไร” ผู้อาวุโสสำนักชิงซานเอ่ยขึ้นมา
เจ้าสำนักหยางหันไปมองเติ้งจิ่วอวี๋ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว ตำหนักเซิ่งหัวทำร้ายพี่ชายของข้า บัญชีนี้จะสะสางหลังจากงานชุมนุมจอมยุทธ์”
เติ้งจิ่วอวี๋ยิ้มหวาน “ได้สิ เช่นนั้นข้าจะรอคอยการมาของท่าน”
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้กล่าวว่าเจ้าสำนักหยางไม่ได้ถูกตำหนักเซิ่งหัวของพวกเจ้าสังหารหรือ? ครานี้เหตุใดยอมรับแล้วเล่า?” ชายแคระโพล่งขึ้นมา
“ข้าบอกว่าไม่ใช่ พวกเจ้ากลับยืนกรานจะให้ใช่ ข้าไม่ยอมรับ พวกเจ้าไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องเปลืองน้ำลาย สรุปคือ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ตำหนักเซิ่งหัวของข้าจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย ถึงเวลานั้นสำนักในยุทธภพทั้งหมดจะต้องฟังคำสั่งของตำหนักเซิ่งหัวเรา ดังนั้น ใช่หรือไม่ใช่ มีอะไรสำคัญเล่า?”
การประลองแรกได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
เหตุการณ์ในตอนนี้คือผู้ใดก็ตามที่ยินดีเข้าร่วมสามารถเข้าสู่สนามประลองได้ มีเพียงผู้ที่ชนะรอบแรกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่การทดสอบในรอบที่สอง
บัดนี้มีคนทั้งหมดกว่าสามร้อยคน ผู้ที่ชนะห้าครั้งติดต่อกันจึงจะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ส่วนคนอื่น ๆ นั่นก็ต้องดูว่าฝีมือของพวกเขาเป็นอย่างไรแล้ว
คนแล้วคนเล่าเข้าสู่สนามประลอง
ลู่จื่อชิงแทะเมล็ดแตงโม ชม ‘งิ้ว’ บนสนามประลอง
คนของหอคอยย่ำหิมะมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศยิ่ง ทว่าจากการสังเกตของลู่จื่อชิงแล้ว อีกฝ่ายยังสู้นางไม่ได้ จนกระทั่งบัดนี้ ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องวิชาตัวเบาคงเป็นขอทานน้อยผู้นั้น
ขอทาน?
ลู่จื่อชิงมองหาขอทานท่ามกลางกลุ่มคน
ขอทานผู้นั้นก็สังเกตเห็นลู่จื่อชิงแล้วเช่นกันจึงชักสีหน้าใส่
ลู่จื่อชิงเบ้ปาก แล้วเบนสายตาหนี
มีผู้ชนะห้าครั้งติดต่อกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีคนตกรอบมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ชิงเอ๋อร์ ข้าจะลงสนามประลองแล้ว” ฉินโม่ถงเอ่ยกับลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงพยักหน้า
ฉินโม่ถงขึ้นไปบนสนามประลอง ศิษย์สำนักชิงซานผู้หนึ่งก็ขึ้นสนามประลองมาต่อสู้เช่นกัน
คุณชายน้อยเยาว์วัยอย่างฉินโม่ถงไร้ผู้หนุนหลัง ดังนั้นเขาจึงเป็น ‘คู่ต่อสู้’ ที่รังแกได้ง่ายในที่สุดในสายตาของคนในยุทธภพ เพราะทันทีที่เขาขึ้นสู่สนามประลองก็มีคนจำนวนมากพร้อมลงมือ
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินโม่ถงเคลื่อนไหว คนที่เหลือก็ดีใจยิ่งที่พวกเขาไม่ได้ลงไปสู้ จะได้ไม่ต้องทำให้ตนอับอาย
ฉินโม่ถงออกจากสนามประลองอย่างรวดเร็ว
เขาผ่านเข้ารอบในทันที
ทุกคนที่ผ่านเข้ารอบจะต้องลงนามตนเอง
หลังจากที่ฉินโม่ถงลงมา ลู่จื่อชิงก็ขึ้นไป
“ชิงเอ๋อร์ ระวังตัว”
ทันทีที่ลู่จื่อชิงขึ้นไป คุณชายอี้หรานผู้นั้นก็นั่งยืดตัวตรง
เขาเฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวของนาง
“คุณชายอี้หราน ท่านรู้จักแม่นางน้อยผู้นั้นหรือ?” ศิษย์หญิงของหอคอยย่ำหิมะที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสียงแผ่ว
คุณชายอี้หรานเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอะไรกับแม่นาง”
“คุณชายอี้หรานเป็นสหายกับศิษย์พี่หญิงของพวกเราไม่ใช่หรือ? ข้าเพียงแค่สงสัย จึงเอ่ยถามเพียงหนึ่งคำ ท่านเย็นชาเพียงนี้ ช่างทำให้คนเสียใจเก่งจริง ๆ!”
————————————-