หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 401 พายุหิมะเต็มแผ่นฟ้า

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 401 – พายุหิมะเต็มแผ่นฟ้า

 

    ลำแสงกระจัดกระจายออกไป ในหุบเขาเล็ก ๆ ผุดพายุหมุนขึ้นมาลูกหนึ่ง พายุหมุนลูกนี้ไม่ใหญ่เลย สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทุกคนไม่มีค่าให้เอ่ยถึงโดยสิ้นเชิง แต่กลิ่นอายที่ถาโถมใส่หน้าภายในพายุหมุนนี้กลับทำให้ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

    กลิ่นอาย นี่คือกลิ่นอายของโบราณกาล! เหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ณ ที่แห่งนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเข้าสถานที่ลับโบราณกาลก็มิใช่ชนชั้นไม่รู้ความ สัมผัสอันวังเวงเมื่อนานนมมาแล้วในกลิ่นอายนี้เป็นสิ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณกาลไม่ผิดแน่!

    ขณะนี้ทุกคนล้วนเชื่อแล้ว ที่นี่มีสถานที่ลับโบราณกาล

    โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ทั้งสองคนล้วนผ่อนคลายลงมานิดหน่อย กลิ่นอายนี้ปลอมไม่ได้ วาจาที่เจ้าเมืองเหมยพูดน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกหนึ่งส่วนแล้ว

    รอจนพายุหมุนลูกนี้สงบลง กึ่งกลางของแอ่งกระทะปรากฏแผนภูมิม่านพลังดวงดาวหกแฉกหนึ่งอัน โม่เทียนเกอเมื่อเห็นคำรบแรก จิตใจยิ่งมั่นคง ด้วยความสำเร็จด้านวิชาม่านพลังของนาง ย่อมสามารถดูออกว่าแผนภูมิม่านพลังนี้เป็นแผนภูมิม่านพลังโบราณกาลของจริง

    “สหายน้อยทุกท่าน” เจ้าเมืองเหมยกล่าวเสียงดัง “โปรดเข้ามา”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานบนที่สูงนิด ๆ ลังเลเล็กน้อย แล้วจึงมีคนมุ่งหน้าเดินลงไป เมื่อเห็นว่ามีคนขยับ คนอื่น ๆ ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตามลงไปทั้งหมด

    รอจนทุกคนล้วนลงมาที่แอ่งกระทะ เจ้าเมืองเหมยเอ่ยว่า “ม่านพลังเคลื่อนย้ายนี้เป็นสิ่งที่เปิ่นจั้วค้นพบในที่แห่งนี้ หลังจากเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้ายจะเกิดการเคลื่อนย้ายแบบสุ่ม ดังนั้น สหายน้อยที่ตกลงจะเคลื่อนไหวด้วยกัน โปรดเข้าม่านพลังเคลื่อนย้ายด้วยกัน — จริงสิ ม่านพลังนี้หนึ่งครั้งสามารถเคลื่อนย้ายได้มากที่สุดห้าคน เรื่องนี้เหล่าผู้อาวุโสน่าจะเคยบอกทุกท่านมาก่อนแล้วกระมัง”

    ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคนต่างขยับไปยืนอยู่กับพวกพ้องของตนเองโดยไม่ต้องบอกต้องกล่าว

    เจ้าเมืองเหมยกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มบาง “เริ่มกันเถอะ”

    หลังจากเขาพูดเยี่ยงนี้แล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในสภาวะผู้ชมไปชั่วขณะ มนุษย์ล้วนมีจิตวิทยาฝูงชน มีคนน้อยมากที่เต็มใจจะโผล่หัวออกไปเป็นคนแรก แม้แต่ผู้ฝึกตนก็เป็นเช่นกัน พวกเขาล้วนอยากเข้าสถานที่ลับ แต่สรุปแล้วการเข้าสถานที่ลับจะมีอันตรายอื่น ๆ หรือไม่กันเล่า นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

    ผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดมีคนยืนขึ้นมาจากกลุ่ม “ผู้อาวุโสเหมย พวกเราสามพี่น้องไปก่อนเถอะ!” กลับเป็นผู้ฝึกตนบึกบึนที่ค่อนข้างวางก้ามคนนั้น

    เจ้าเมืองเหมยเผยรอยยิ้มบาง เอ่ยว่า “สหายน้อยจินสือเต็มใจจะไปก่อนย่อมไม่มีปัญหา พวกท่านสามคนมายืนข้างบนก็ได้”

    ผู้ฝึกมารสามคนต่างคนต่างเหยียบไปบนม่านพลังเคลื่อนย้ายโดยให้ผู้ฝึกตนบึกบึนนี้นำขบวน ทันใดนั้น ม่านพลังเคลื่อนย้ายเปล่งแสงสว่างขึ้นมา แสงที่ห้อมล้อมพวกเขาสามคนยิ่งมายิ่งสว่าง ทันใดนั้นเอง ทั้งสามคนหายลับไปในม่านพลังเคลื่อนย้าย

    โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ม่านพลังเคลื่อนย้ายนี้ ดูจากวิชาการตั้งม่านพลัง รวมทั้งลักษณะการเคลื่อนย้าย น่าจะเป็นแผนภูมิม่านพลังโบราณกาลไม่ผิดแน่ แต่ความเร็วในการเคลื่อนย้ายช้าอยู่บ้าง กลับมีท่าทางคล้ายพลังวิญญาณไม่พอ อย่าบอกนะว่าพลังวิญญาณที่พยุงสถานที่ลับแห่งนี้มีไม่มากแล้ว? ถ้าเป็นอย่างนี้ สถานที่ลับยังจะครบถ้วนสมบูรณ์หรือ

    คิดถึงตรงนี้ นางมองเจ้าเมืองเหมยและเหล่าผู้อาวุโสของเมืองซิงลั่ว สีหน้าของพวกเขาสงบนิ่งมาก เหมือนไม่ได้ค้นพบปัญหาข้อนี้

    นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า ช่างเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร ม่านพลังเคลื่อนย้ายสามารถกระตุ้นการทำงาน พลังวิญญาณของสถานที่ลับนี้น่าจะยังสามารถยืนหยัดอยู่อีกชั่วครู่ชั่วยามกระมัง? ปัญหาข้อนี้ยังคงให้คนรุ่นหลังปวดหัวไปเถอะ

    คิดเยี่ยงนี้อยู่ คนที่เหยียบลงบนม่านพลังเคลื่อนย้ายยิ่งมายิ่งมาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบห้าคน เหลือเพียงเจ็ดคนที่ยังอยู่ที่เดิม นอกจากผู้ฝึกมารบึกบึนสามคนนั้น คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวคนเดียวหรือว่าเป็นคู่ อย่างพวกเขาที่เคลื่อนไหวกันสี่คนกลับเป็นจำนวนน้อย

    รอจนหลังนักกระบี่ชุดเขียวคนนั้นขึ้นไปยืนบนม่านพลังเคลื่อนย้ายคนเดียวแล้ว ยงหรูอวี้เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกเราก็ไปกันเถอะ?”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนพยักหน้า แสดงออกมาว่าไม่คัดค้าน

    ทั้งสี่คนขึ้นไปยืนบนม่านพลังเคลื่อนย้ายด้วยกัน ผ่านไปชั่วแวบเดียว แสงกระจัดกระจายออกไป พอทั้งสี่คนเห็นทิวทัศน์รอบด้านก็ตะลึงลาน

    รอบด้านลมหนาวหวีดหวิว หิมะโปรยบดบังนัยน์ตา พวกเขาถึงกับอยู่ในพายุหิมะ!

    เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อทันที ภายใต้การช่วยเหลือของผังปากั้วไท่จี๋ พลังวิญญาณสั่นสะเทือน กวาดลมหนาวละอองหิมะรอบด้านไปจนหมด สร้างที่ว่างสะอาดสะอ้านรอบตัวคนทั้งสี่ 

    จากนั้น ทั้งสี่คนยกสายตามอง ความรู้สึกตะลึงลานยิ่งรุนแรง!

    สุดครรลองสายตา ทุ่งน้ำแข็งไพศาล มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดโดยสิ้นเชิง รอบด้านเป็นภูเขาน้ำแข็งมากมาย ยอดน้ำแข็งแหลมคม สภาพแวดล้อมอันตราย ทั้งสี่คนยืนบนทุ่งน้ำแข็ง ประดุจมดตัวเล็ก ๆ สี่ตัว ในพายุหิมะเต็มแผ่นฟ้า เล็กจ้อยจนแทบไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

    “นี่เป็นสถานการณ์อะไร” ฉิวเฉิงรั่วตะโกนออกมาก่อนใคร สายตามองไปทางยงหรูอวี้

    ยงหรูอวี้ขมวดคิ้ว เหมือนจะไม่แน่ใจเช่นกัน มองไปทางโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชาง “สหายเต๋าทั้งสอง จากที่พวกท่านเห็น นี่คือ……”

    หัวข้อประเภทนี้ย่อมปล่อยให้โม่เทียนเกอตอบ นางทางหนึ่งปล่อยจิตหยั่งรู้ออกไปสำรวจ อีกทางหนึ่งเอ่ยว่า “ม่านพลังมายานภา”

    นี่แทบจะเป็นวาจาไร้สาระ พวกเขาทะลุผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายเข้าไปในสถานที่ลับโบราณกาล ในเมื่อสถานที่ลับแห่งนี้มีเพื่อการทดสอบ ทิวทัศน์ที่ขัดกับเหตุผลที่ปรากฏเบื้องหน้าย่อมเป็นม่านพลังมายา แต่ทว่า ปัญหาอยู่ที่ว่า ถึงแม้ทุกคนล้วนทราบว่าเป็นม่านพลังมายา กลับดูร่องรอยของม่านพลังมายาไม่ออก

    “……สหายเต๋าฉิน พวกเราต้องทำอย่างไร” เนี่ยอู๋ชางส่งเสียง

    โม่เทียนเกอไม่ตอบ ล้วงผังปากั้วไท่จี๋ออกมาจากในแขนเสื้อ สะบัดแขนเสื้อผลักออกไป ผังปากั้วไท่จี๋กางออกกลางอากาศ แสงวิญญาณปากั้วไท่จี๋บนแผนผังแสบตา

    เมื่อเห็นแผนผังนี้ สายตาของยงหรูอวี้กับฉิวเฉิงรั่วทั้งสองคนล้วนกระจ่างขึ้นมา พวกเขาเป็นศิษย์สำนักใหญ่ สายตาย่อมไม่จำเป็นต้องพูด พอเห็นก็ดูออกว่าผังปากั้วไท่จี๋นี้เป็นอาวุธเวทชั้นยอด

    ดูการเคลื่อนคล้อยของปากั้วไท่จี๋บนแผนผัง แล้วหลับตาสัมผัสห้าธาตุอินหยางในบริเวณโดยรอบ ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอลืมตา เอ่ยว่า “มิผิด เป็นม่านพลังมายาจริง ๆ”

    เห็นนางกล่าววาจาอย่างมั่นใจเช่นนี้ ยงหรูอวี้ใบหน้าเจือแววยินดี ถามว่า “สหายเต๋าฉินดูออกหรือ”

    โม่เทียนเกอยิ้มบาง เก็บผังปากั้วไท่จี๋ กล่าวว่า “สหายเต๋ายงอย่าได้คาดหวังมากเกินไป ข้าดูออกจริง ๆ ว่านี่เป็นม่านพลังมายา แต่ม่านพลังนี้สูงส่งยิ่งนัก จะทำลายม่านพลังอย่างไรกลับขบคิดไม่ออก ณ ตอนนี้”

    ยงหรูอวี้โบกมือเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นสถานที่แห่งการทดสอบโบราณกาล สหายเต๋าฉินทำลายม่านพลังไม่ได้ ณ ตอนนี้ก็ปกติมาก หากพอดูก็รู้เคล็ดทำลายม่านพลัง เช่นนั้นความสำเร็จในวิชาม่านพลังของสหายเต๋าฉินก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว”

    ฟังวาจานี้แล้ว โม่เทียนเกออดยิ้มมิได้ วาจานี้ของยงหรูอวี้มิผิด ถึงแม้นางจะรู้เต๋าแห่งม่านพลังโบราณกาลอยู่บ้าง ถึงขนาดที่ชำนาญหนังสือม่านพลังเสวียนจี แต่ถึงที่สุดแล้วนางเป็นผู้ฝึกตนยุคปัจจุบัน มิใช่คนของโบราณกาลเลย ไหนเลยจะสามารถทำลายม่านพลังในทันที กลับเป็นนางที่ตั้งข้อเรียกร้องต่อตนเองสูงเกินไป

    “เช่นนั้นตอนนี้ทำอย่างไร” ฉิวเฉิงรั่วสีหน้าแผงแวววิตก “พวกเรามีเวลาเพียงสามวัน ข้ากับซือเกอวิชาม่านพลังไม่เท่าไหร่ เกรงว่ายิ่งช่วยยิ่งยุ่ง สหายเต๋าเทียนฉานเล่า ทราบเต๋าแห่งม่านพลังหรือไม่”

    เนี่ยอู๋ชางเงียบไปแล้วส่ายหน้า

    ฉิวเฉิงรั่วถอนหายใจ “เยี่ยงนี้มิใช่ได้แต่อาศัยสหายเต๋าฉินเพียงคนเดียวหรือ”

    “สหายเต๋าฉิวอย่าร้อนใจ” โม่เทียนเกอไม่รีบไม่ร้อน ท่านลองคิดอยู่เถิด หากท่านมีเพียงคนเดียว เข้ามาในม่านพลังจะทำอย่างไร ““

    ฉิวเฉิงรั่วได้ฟังแล้วเอียงศีรษะครุ่นคิด “คนเดียวโดดเดี่ยว……เช่นนั้นได้แต่ใช้วัตถุทำลายม่านพลังจำนวนหนึ่งทดลองดู หากไม่ได้ เช่นนั้นลองลงมือใส่ทุ่งน้ำแข็งนี้ ชักนำให้พลังวิญญาณปั่นป่วน ถึงเวลาก็กดดันใส่พลังวิญญาณในที่แห่งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะผ่านด่านได้….. ไม่ได้อีก เช่นนั้นก็เพียงทนผ่านสามวันนี้ ถอนตัวออกไปอย่างผิดหวัง”

    “มิผิด” โม่เทียนเกอเอ่ย “สถานที่แห่งการทดสอบ ถึงจะมีม่านพลังมาก แต่มิได้จะทดสอบความสำเร็จวิชาม่านพลังของคนที่ฝึกฝนเลย ดังนั้น พวกเราทดสอบตามประสบการณ์ทั่วไปก็พอ”

    คนที่เชี่ยวชาญวิชาม่านพลังบนโลกนี้มีไม่มากเลย แต่การทดสอบทุก ๆ ครั้งไม่เคยขาดม่านพลัง ดังนั้นจุดประสงค์แท้จริงของม่านพลังเหล่านี้มิใช่เพื่อกักขังผู้คนเลย ทว่าให้ผู้ทดสอบประสบกับการทดสอบบางอย่าง หากผู้ทดสอบความแข็งแกร่งเพียงพอ หรือมีจิตใจปราดเปรียว เช่นนั้นก็จะผ่านด่านแล้ว ทว่าไม่จำเป็นต้องทำลายม่านพลัง

    “ที่สหายเต๋าฉินพูดมามีเหตุผล” ยงหรูอวี้พยักหน้าเห็นด้วย “ซือเม่ย คิดถึงวิธีการทดสอบในสำนักพวกเราก็มิใช่ว่ามีอย่างนี้หรือ ถึงนี้จะเป็นสถานที่โบราณกาล ก็ไม่พ้นไปจากขอบเขตของการทดสอบ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลใจจนเกินไป”

    “อืม” พอยงหรูอวี้พูด สีหน้าของฉิวเฉิงรั่วก็ดูดีขึ้นมาก

    ทั้งสี่คนเห็นพ้องต้องกัน โม่เทียนเกอโบกมือ สลายเขตแดนที่เพิ่งตั้ง เอ่ยว่า “ต่างคนต่างใช้พลังวิญญาณคุ้มครองกายเถอะ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในการทดสอบ”

    สามคนที่เหลือฟังแล้วพากันสร้างเกราะป้องกันพลังวิญญาณ กั้นพายุหิมะไว้ภายนอก

    เนี่ยอู๋ชางกลับมองโม่เทียนเกออย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ในแววตามีแววยิ้มวูบผ่าน แต่กลับไม่พูดอะไรมากความ

    นางรู้ว่าสาเหตุที่โม่เทียนเกอสลายเขตแดนเป็นเพราะนางคนเดียวปกป้องสี่คนนั้นกินแรงอยู่บ้าง มิใช่เพราะเหตุผลว่านี่เป็นการทดสอบเลย แต่ว่า นางไม่รู้สึกว่าโม่เทียนเกอทำอย่างนี้มีอะไรไม่ถูกต้อง ในสถานที่ลับโบราณกาลนี้ พวกนางยังขบคิดสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน มิใช่เวลาจะมาเห็นอกเห็นใจอย่างสิ้นเปลือง ตัวนางเองก็อยู่ระดับก่อเกิดตานขั้นกลางเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใช้การคุ้มครองของโม่เทียนเกอเลย ทว่ายงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสองคนนั้นหากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตพวกเขา

    เตรียมการทุกอย่างเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ไปเถอะ นี่เป็นม่านพลังมายาของการทดสอบอันหนึ่ง ขอเพียงพวกเราเคลื่อนไหว น่าจะชักนำให้พลังวิญญาณปั่นป่วน”

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วพยักหน้าพร้อมกัน ติดตามโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางก้าวเดินไปข้างหน้า พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องเป็นก่อเกินตานขั้นต้น โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางกลับเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง เดิมก็สมควรจะเคารพพวกนาง อีกอย่าง โม่เทียนเกอมีสมบัติวิญญาณอยู่กับตัว กับวิชาม่านพลังก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้วย ย่อมกลายมาเป็นผู้นำของพวกเขาโดยปริยาย

    ทั้งสี่คนก้าวเดิน พลังวิญญาณโดยรอบเริ่มปั่นป่วน การปั่นป่วนชนิดนี้ยิ่งมายิ่งรุนแรง ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นวังวนพลังวิญญาณรอบทั้งสี่คน วังวนนี้ไม่ชัดเจนเลย หากบอกว่าเป็นวงกลมหนึ่งอัน อาณาเขตที่ควบรวบก็ใหญ่มาก ดังนั้นอีกสามคนล้วนสัมผัสไม่ได้

    แต่ในแขนเสื้อของโม่เทียนเกอมีผังปากั้วไท่จี๋ นี่ทำให้นางรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณรอบด้านถึงระดับละเอียดอ่อน ถ้าจะพูดว่าพวกเขาสี่คนมาถึงทุ่งน้ำแข็งนี้เป็นการเข้าไปในสนามทดสอบ เช่นนั้นแล้ว การก่อตัวของวังวนพลังวิญญาณอันนี้ก็คือการมาถึงอย่างแท้จริงของการทดสอบแล้ว

    “ระวัง” เมื่อสัมผัสได้ว่าวังวนพลังวิญญาณยิ่งมายิ่งชัดเจน โม่เทียนเกอส่งเสียงเตือน “พวกเรากระตุ้นม่านพลังขึ้นมาแล้ว มีการทดสอบขึ้นมาได้ทุกเมื่อ”

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วพยักหน้าอย่างจริงจัง เนี่ยอู๋ชางก็เผยใบหน้าเคร่งขรึม

    นี่เป็นสถานที่ลับโบราณกาล พวกเขาล้วนไม่ลืมจุดนี้ ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาล ละเอียดอ่อนเร้นลับ ยากจะบ่งบอกเป็นถ้อยคำ มิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกวันนี้จะสามารถบรรลุถึงเลย พวกเขาขอเพียงไม่ระวังสักอย่างก็เป็นไปได้ว่าจะพ่ายแพ้ในพริบตา พวกเขารับปากข้อเรียกร้องของเจ้าเมืองเหมย เข้าสู่สถานที่ลับ ก็เพื่อที่จะมองดูณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลกับตา หยั่งถึงความเร้นลับภายใน สมมติว่าพอพบเห็นก็พ่ายแพ้ทันทีก็จะสูญเสียความหมายของการทดสอบไป

    สายลมรอบด้านยิ่งมายิ่งใหญ่โต ปะปนกับละอองหิมะโถมเข้าใส่พวกเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำร้ายเนื้อหนังของพวกเขาอย่างแท้จริง แต่ทำให้ใบหูดวงตาของพวกเขารับรู้ถึงพลังสภาวะของแผ่นฟ้าที่ถาโถมมา 

    เวลานี้ วังวนพลังวิญญาณก่อตัวแล้ว เปรียบประดุจปากใหญ่หนึ่งปากกระโจนใส่พวกเขา

………………..

 

ตอนที่ 402 – พลังวิญญาณเสื่อมสูญ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท