ตอนที่ 430 – ให้ผลประโยชน์นิดหน่อย
ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ของอู๋หมิงเจินเจ่อ เห็นได้ชัดว่าเจวี๋ยซิ่นเป็นผู้ที่สูงวัยที่สุดของสำนักอาจารย์ เมื่อครู่จึงปล่อยให้เขาพูดแทนอู๋หมิงเจินเจ่อมาโดยตลอด
เมื่อได้ยินวาจานี้ของโม่เทียนเกอ เจวี๋ยซิ่นเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นประสกฉิน มิผิด พวกเรามาหาท่าน ฟังจากวาจานี้ของประสก คิดว่าคงทราบว่าพวกเรามาเพราะเหตุใด”
โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เดิมทีไม่รู้ แต่เห็นหลิงซือตี้ก็เดาได้คร่าว ๆ แล้ว”
เจวี๋ยซิ่นประสานมือทั้งคู่ ลุกขึ้นนิด ๆ* เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิทราบว่าประสกฉินยินดีจะคืนสมบัติสู่เจ้าของเดิมหรือไม่”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที นางมองเจวี๋ยซิ่นก่อน แล้วจึงมองเจวี๋ยอู้ที่ก้มศีรษะอยู่ด้านข้าง สุดท้ายมองไปที่อู๋หมิงเจินเจ่อที่ยิ้มแย้มหลับตาทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู่จี้เจินเจ่อเป็นคำเรียกอย่างยกย่องชนิดหนึ่งของสำนักพุทธ มีเพียงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไป อีกทั้งความแข็งแกร่งเหนือสามัญ จึงสามารถรับมอบฉายานามเช่นนี้ ผู้ฝึกพุทธจิตวิญญาณใหม่ทั่วไปก็เพียงเรียกว่าเจินเจ่อเท่านั้น ดูท่าอู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้มีตำแหน่งไม่ธรรมดาในวัดหัวเหยียน แต่ว่า นางอยากรู้มาก ผู้ฝึกพุทธจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายผู้นี้ฉายาธรรมอู๋หมิง แล้วยังหลับตาอยู่ตลอด หรือว่ามองไม่เห็นจริง ๆ?
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า โม่เทียนเกอชั่งน้ำหนักแล้วเปิดปากกล่าวว่า “อู๋หมิงเจินเจ่อ พระอาจารย์ทั้งหลาย บอกตามตรง หากมิใช่พระอาจารย์ผู้ตื่นรู้มา ข้าก็ทิ้งเรื่องนี้ไปแต่แรกแล้ว บัดนี้ได้พบพระอาจารย์ผู้ตื่นรู้ จึงได้รู้ว่าเรื่องของปีนั้นไม่ปกติธรรมดา”
เห็นเจวี๋ยซิ่นคิดจะพูดอะไร นางยกมือขึ้น กล่าวต่อว่า “จ้ายเซี่ยไม่สนใจเรื่องของสำนักผู้อื่น เพียงแต่ เรื่องของปีนั้นเป็นเช่นไร เชื่อว่าพระอาจารย์เจวี๋ยอู้ได้อธิบายต่อผู้อาวุโสและพระอาจารย์ทั้งหลายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พระอาจารย์ทุกท่านมาร้องขอสิ่งของ ควรจะให้คำอธิบายใช่หรือไม่”
วาจานี้ของนางพูดได้ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งผยอง ไม่ได้โอนอ่อนเพราะพลังอำนาจของอู๋หมิงเจินเจ่อ แล้วก็ไม่ได้โทษว่าตนเองโชคร้ายเพราะพวกเขามีคนมาก ทำเอาพระทั้งหมดโต้ตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ
เจวี๋ยซิ่นก็คงรู้สึกว่าไม่สะดวกจะตอบ หันศีรษะกลับไปมองซือจุนที่อยู่ข้างหลัง
อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงหลับตาแน่นใบหน้าเปื้อนยิ้ม นี่ทำให้เจวี๋ยซิ่นไม่แน่ใจอยู่บ้าง เขาหันกลับมา เอ่ยอย่างลังเลว่า “ประสกฉิน เรื่องนี้……”
“เจวี๋ยซิ่น” อู๋หมิงเจินเจ่อผู้ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดเปิดปากขึ้นอย่างกะทันหัน “ให้เหวยซือมาพูดเถอะ”
เจวี๋ยซิ่นรีบหันกลับไปโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ขอรับ ซือฟุ” พูดจบก็ไปยืนอยู่ด้านข้าง
“ประสกฉิน” อู๋หมิงเจินเจ่อหลับตาทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบ น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “เรื่องของปีนั้นเกี่ยวข้องกับกิจการภายในวัด ไม่สะดวกจะอธิบายต่อประสก เรื่องนี้ยังต้องขอให้ประสกอภัย”
อู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ถึงกับสุภาพต่อผู้ฝึกตนก่อเกิดตานตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งขนาดนี้ ทำให้โม่เทียนเกอประหลาดใจยิ่ง ถึงนางจะไม่ได้เข้าใจสำนักพุทธมาก แต่มาอวิ๋นจงก็นานแล้ว ก็รู้ว่ากฎของสำนักพุทธกับสำนักเต๋าไม่เหมือนกันอย่างมาก ผู้ฝึกตนสำนักพุทธกฎระเบียบเข้มงวด ถึงแม้จะยกย่องผู้ที่ระดับการฝึกตนสูงเป็นอาวุโสเช่นกัน แต่ล้วนถกความผิดถูกกันที่เหตุผล ก็เพราะเหตุนี้ นางจึงมีกำลังขวัญเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้พูดวาจาเหล่านี้ แต่ว่า นางยังคงคิดไม่ถึงว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอย่างอู๋หมิงเจินเจ่อ ท่าทีที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นจะถึงกับสุภาพขนาดนี้ นี่ทำให้นางรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส” โม่เทียนเกอกุมมือเอ่ยว่า “เรื่องของวัดท่าน ผู้เยาว์ไร้เจตนาจะล่วงล้ำ เพียงแต่ทุกท่านยกพวกมาถึงนอกถ้ำพำนักของข้าอย่างใหญ่โตเยี่ยงนี้ แล้วยังอยากจะขออาวุธเวท ย่อมจะต้องมอบคำอธิบายสักหน่อย”
“เจตนาของประสก พระเฒ่าเข้าใจ” อู๋หมิงเจินเจ่อใบหน้าเจือรอยยิ้ม สีหน้าสงบ “โดยทั่วไปแล้ว วันนั้นเป็นศิษย์วัดหัวเหยียนข้าล่วงเกินประสกก่อน ประสกไร้ความผิด แต่ว่า ประสกสังหารศิษย์หนึ่งในนั้นของวัดข้า แล้วยังแย่งอาวุธเวทประจำวัดไป เรื่องนี้นับว่าเสมอกันเป็นไร”
ได้ยินวาจานี้แล้ว โม่เทียนเกอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าอู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้ท่าทีสุภาพ ไม่มีความเจ้ายศเจ้าอย่างของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสักเศษเสี้ยว แต่ฟังคำพูดนี้แล้วชวนให้ขบคิดอยู่บ้าง
เรื่องของวันนั้น เดิมเป็นศิษย์สองคนของวัดหัวเหยี่ยนวางแผนใส่นางก่อน ถึงนางจะฆ่าหมดทั้งสองคนก็ไม่นับว่าผิด แต่นางไม่ได้เข่นฆ่าจนสิ้นซาก ไม่เพียงเหลือทางถอยให้เจวี๋ยอู้ แล้วก็ไม่ได้แย่งชิงกระเป๋าเอกภพของเขา เพียงเก็บอาวุธเวทที่ใช้วางแผนโจมตีนาง นี่เป็นการลงมืออย่างเมตตาแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนพวกนี้มาขออาวุธเวทก็ควรจะขอขมาต่อนางถึงจะถูก แต่ภิกษุเฒ่านี้กลับพูดว่า พวกเขาล่วงเกินนาง นางก็ฆ่าคนชิงสมบัติ เท่าเทียมกัน มีความหมายจะกลบเกลื่อนความผิดความถูกอยู่บ้าง
โม่เทียนเกอแอบคิดว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย จะสุภาพสักแค่ไหนก็ไม่เต็มใจจะเสียหน้าต่อหน้ารุ่นเยาว์ เพียงแต่เช่นนี้แล้วก็กระตุ้นอารมณ์ของนางขึ้นมา อยากจะถกเหตุผลกับอู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้สักรอบอย่างไม่อาจเลี่ยง
คิดเยี่ยงนี้จบแล้ว โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสพูดอย่างนี้ก็มีเหตุผล”
อู๋หมิงเจินเจ่อเห็นนางเห็นด้วยจึงกล่าวต่อว่า “ในเมื่อประสกไม่มีความเห็นต่างก็คืนอาวุธเวทประจำวัดมาเป็นอย่างไร”
“คิก!” โม่เทียนเกอหัวเราะหนึ่งคำ มองอู๋หมิงเจินเจ่อที่อยู่เบื้องหน้า กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ผู้อาวุโสเพิ่งจะพูดว่า ศิษย์สองคนของวัดท่านล่วงเกินผู้เยาว์ก่อน ผู้เยาว์เข่นฆ่าหนึ่งคน ชิงอาวุธเวทไป ไม่นับว่าผิดเลย ใช่หรือไม่ใช่”
อู๋หมิงเจินเจ่อผงกศีรษะ “ใช่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ระหว่างผู้เยาว์กับวัดท่านไม่มีประเด็นว่าใครเป็นหนี้ใครเลย ถูกไหม”
อู๋หมิงเจินเจ่อหยุดชั่วครู่แล้วจึงตอบว่า “มิผิด”
โม่เทียนเกอจึงยิ้มแล้ว “เช่นนี้แล้ว ผู้อาวุโสอยากให้ผู้เยาว์มอบอาวุธเวทออกไปตรง ๆ จะเป็นการใช้พลังสะกดข่มอยู่บ้างหรือไม่เล่า”
พูดอย่างนี้จบแล้ว พระทั้งหมดตะลึงไป แม้แต่อู๋หมิงเจินเจ่อก็ไม่ได้ตอบ
เงียบกันไปครู่หนึ่ง ในหมู่พระมีคนอดรนทนไม่ได้ ร้องว่า “ประสกท่านนี้ แหฟ้าตาข่ายดินเดิมเป็นสมบัติสำคัญวัดเรา ซือฟุข้าขอจากท่านดี ๆ ท่านถึงกับ……”
“เจวี๋ยฮุ่ย!” เจวี๋ยซิ่นตะโกน “ซือฟุอยู่ที่นี่ ห้ามเสียมารยาท!”
พระรูปนี้ถลึงมองโม่เทียนเกออย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ ก้มหน้าลงรับการสั่งสอน “ขอรับ ต้าซือเกอ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋หมิงเจินเจ่อเอ่ยปากในที่สุด “ประสก พระเฒ่าขอไม่อ้อมค้อม อาวุธเวทชิ้นนั้นตกอยู่ในมือท่านเป็นหายนะมิใช่โชคดี ส่งคืนพระเฒ่า เมื่อมองแวบแรกคล้ายจะเป็นท่านสูญเสีย แต่หากรอจนภัยพิบัติมาเยือนจึงรู้ว่าที่พระเฒ่าพูดนั้นไม่ได้กล่าวลอย ๆ”
โม่เทียนเกอไม่สั่นไหวเลย “แต่หากส่งสิ่งนี้ให้ผู้อาวุโส สำหรับผู้อาวุโสแล้วจะต้องเป็นผลดีอย่างมากมาย”
อู๋หมิงเจินเจ่อกลับเอ่ยว่า “ประสก หากผู้อื่นมาที่นี่ แน่นอนว่าจะไม่สุภาพขนาดนี้”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน ถัดจากนั้นกลับยิ้มขึ้นมาอีก ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายถึงอย่างไรเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ถึงจะกล่าววาจาน่าฟัง แต่ความสูญเสียสักนิดก็ไม่คิดจะเสีย ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนว่าคือ ด้วยศักดิ์ฐานะและระดับการฝึกตนของข้า ปฏิบัติต่อเจ้าสุภาพขนาดไหน เจ้ายังไม่รู้ดีรู้ชั่วหรือ นางย่อมทราบ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ตนเองจะต้องมอบแหฟ้าตาข่ายดินออกไป เพียงแต่ นางไม่เต็มใจจะเก็บรักษาให้คนอื่นถึงสี่สิบปีโดยเปล่าประโยชน์ อย่างไรก็ต้องได้อะไรนิดหน่อยกลับมากระมัง
นางถอนหายใจ “ผู้อาวุโสจะพูดอย่างไรก็เป็นผู้สูงส่งจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย หรือว่าอยากจะต่อรองยิบย่อยกับผู้ฝึกตนเล็ก ๆ อย่างข้า?”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว อู๋หมิงเจินเจ่อชะงักไป ยิ้มขึ้นมาปุบปับ ตั้งแต่ที่ปรากฏกายจนถึงเมื่อครู่นี้ เขาแสดงสีหน้าเมตตาอบอุ่นอยู่เสมอ รักษาท่วงท่าของพระชั้นสูงผู้อาวุโส จนกระทั่งขณะนี้จึงมีความเป็นมนุษย์นิดหน่อย
เขายังคงหลับตาทั้งคู่ ยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “กลับเป็นข้าผู้อาวุโสไม่ถูก สหายเต๋าน้อย เจ้าต้องการผลประโยชน์อะไรก็พูดมาตรง ๆ”
จากประสกเป็นสหายเต๋าน้อย คำเรียกขานของอู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้ใกล้ชิดขึ้นอีกขั้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย โม่เทียนเกอรู้ว่าพฤติกรรมของตนเองไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง ถึงขนาดทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดี นี่ทำให้นางวางใจ — ถึงนางจะขวัญกล้า อยากจะเรียกร้องผลประโยชน์จากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่ไม่ได้รู้จักมักจี่เลย ก็ยังใจเต้นระทึก
นางครุ่นคิดสักครู่แล้วล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ กางลงบนมือ “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ในเมื่อวัตถุนี้เป็นของวัดท่านย่อมต้องน้อมคืน”
พอนางหยิบแหฟ้าตาข่ายดินออกมา สายตาของทุกคนรวมกันอยู่บนมือของนางทันที เจวี๋ยซิ่นร้องอย่างเสียงหลงว่า “เป็นแหฟ้าตาข่ายดิน เป็นแหฟ้าตาข่ายดินจริง ๆ!”
เจวี๋ยอู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งสวดอมิตาพุทธ พึมพำกับตัวเองอย่างตื่นเต้นว่า “ซือฟุ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ในที่สุดกลับมาแล้ว ศิษย์ไม่ได้กลายเป็นคนบาปของวัดหัวเหยียน……”
โม่เทียนเกอมองเขาเพิ่มอีกแวบหนึ่ง ตอนที่เจวี๋ยอู้พูดคำพูดนี้ สายตามองบนฟ้า คล้ายกับว่ากำลังพูดกันคนที่ลาโลกไปแล้ว หรือว่าอู๋หมิงเจินเจ่อมิใช่ซือจุนของเขา?
นี่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ สี่สิบปีก่อน เจวี๋ยอู้เป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง แต่กลับมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธในมือ เดิมก็เป็นเรื่องที่ผิดปกติ หากเขาเป็นศิษย์ของอู๋หมิงเจินเจ่อจริง ๆ จะถูกขับออกมากับซือตี้สองคนแล้วตกต่ำถึงขั้นปล้นคนเดินทางได้อย่างไร คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของวัดหัวเหยียน
เมื่อเห็นโม่เทียนเกอล้วงสมบัติออกมาอย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋หมิงเจินเจ่อยิ่งสดใส เห็นเพียงมือขวาของเขามีแสงธรรมวูบขึ้น แหฟ้าตาข่ายดินในมือโม่เทียนเกอบินขึ้น เข้าไปอยู่ในมือเขาในพริบตาเดียว
อู๋หมิงเจินเจ่อคลี่กางวัตถุนี้ มือทั้งคู่คลำดูอย่างละเอียดคล้ายกับว่าดวงตาไม่สามารถมองเห็นจริง ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถือแหฟ้าตาข่ายดิน เงยหน้ายิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าน้อยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ภิกษุเฒ่าก็ไม่สามารถใจแคบเกินไป เจ้าต้องการอะไรเพียงพูดมาตรง ๆ เถอะ”
โม่เทียนเกอได้ยินวาจานี้แล้วก็วางหินก้อนใหญ่ในใจลง อู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้ถึงจะฉลาดแกมโกงอยู่บ้าง แต่ถึงที่สุดแล้วก็ใจกว้างกว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่ใช้อำนาจข่มผู้คนเหล่านั้นอยู่มาก เรื่องที่รับปากเมื่อครู่ไม่ได้เสียใจภายหลัง
นางยกมือคารวะเอ่ยว่า “ผู้เยาว์อยากแลกกับข้อมูลจากผู้อาวุโสสักหน่อย”
“อ้อ?” อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ถึงดวงตาทั้งคู่จะปิด โม่เทียนเกอกลับรู้สึกว่ามีสายตาอันเฉียบคมจ่ออยู่บนร่างของตนเอง “ก่อนหน้านี้สหายเต๋าน้อยเคยพูดว่าจะไม่ล่วงลึกถึงกิจการภายในวัดข้า ใช่ไหม”
“นี่ย่อมแน่นอน” สายตาของโม่เทียนเกอตกอยู่บนแหฟ้าตาข่ายดินในมือเขา จิตใจสงบนิ่ง “เรื่องที่ผู้เยาว์อยากทราบมีความเกี่ยวข้องกับวัดท่านไม่มาก”
อู๋หมิงเจินเจ่อค่อนข้างพอใจคำตอบของนาง พยักหน้าเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็พูดมา”
นางคิดแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์เคยได้ยินตำนานของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าของอวิ๋นจง ลือว่าตอนที่ห้าปราชญ์ไปจากโลกได้ทิ้งอาวุธเวทเอาไว้ห้าชิ้น ถูกเรียกกันรวม ๆ ว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ สองในนั้นคือเจดีย์มารสวรรค์และแหฟ้าตาข่ายดิน ไม่ทราบอีกสามชิ้นคืออะไร”
อู๋หมิงเจินเจ่อชะงักไปครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าวว่า “คำถามนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการในวัดจริง ๆ พระเฒ่าสามารถตอบเจ้า วัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกสามชิ้นของห้าปราชญ์คือ: ไข่มุกเทพต้องห้ามของกุยเจินเต้าเสิ้ง, บันทึกไร้นามของโจวฟูจื่อ, กระบี่ฝูเซิงของฝูเหยาจื่อ”
“……” โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเข้าลึก ถามอีกว่า “อวิ๋นจงเล่าขานว่า วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้สามารถไขเปิดมิติเร้นลับของทะเลกุยสวี ไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ”
ได้ยินคำถามนี้แล้ว อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มบาง ๆ “คำถามนี้ พระเฒ่าก็ไม่อาจตอบเจ้าอย่างแน่ชัด ได้แต่บอกกับเจ้าว่า ที่ห้าวัตถุศักดิ์สิทธิ์มีการใช้งานอื่นเป็นความจริง มีความเกี่ยวข้องกับทะเลกุยสวีก็เป็นความจริง แต่สรุปว่าเป็นการไขเปิดมิติเร้นลับหรือว่าเป็นการใช้งานอย่างอื่นกลับไม่รู้” อู๋หมิงเจินเจ่อหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “สหายเต๋าน้อยยังมีคำถามอะไร”
“ไม่มีแล้ว” โม่เทียนเกอยกมือคำนับอย่างนอบน้อม “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่บอกกล่าว”
อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มหนึ่งที กำลังจะพูดอะไรอีก ถัดจากนั้นกลับเก็บรอยยิ้ม เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
ขณะนี้ โม่เทียนเกอได้ยินเสียงทุ้มดังลงมาจากกลางอากาศว่า “ภิกษุเฒ่าอู๋หมิงมาเมืองกุ่ยฟางข้า ทำไมไม่แวะมาทักทายเลย”
……………….
*ลุกขึ้นนิด ๆ นี่เหมือนกับว่ายกก้นขึ้นจากที่นั่งเป็นการแสดงมารยาทอะ ว่าแต่เขาไปนั่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เข้าใจว่ายืนคุยกันมาตลอดนะ หรือว่าเป็นแค่ figure of speech?
ใครยังจำไข่มุกเทพต้องห้ามได้ไหมคะ มันเคยออกมาแล้วเหมือนกันนะ
ตอนที่ 431 – การต่อสู้ของพุทธมาร