หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 440 พันธมิตรสามสำนัก

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 440 – พันธมิตรสามสำนัก

 

    พัดแห่งสวรรค์และโลกาคลี่กาง บุปผาเซียนหญ้าวิญญาณนับไม่ถ้วน ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หมุนวนเป็นวงในอากาศราวกับถูกชักดึง

    โม่เทียนเกอตะโกนว่า “ไป!”

    หญ้าบุปผาอันส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วปรากฏพลังสภาวะอันรุนแรงในพริบตา พลังวิญญาณปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ทลายเนินดินเหลืองจนราบเรียบ 

    “ไม่เลว พลังถึงจะไม่ยิ่งใหญ่ การควบคุมพลังวิญญาณกลับละเอียดอ่อนถึงสิบส่วน” เสียงในกระบี่ฝูเซิงชมเชย “อาวุธเวทคู่ชีพนี้ของเจ้ามหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบโดยแท้ สามารถคิดค้นอาวุธเวทเช่นนี้ออกมา บรรพบุรุษผู้นั้นของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งจริง ๆ น่าเสียดาย……”

    เรื่องของโม่เหยาชิง โม่เทียนเกอก็เคยบอกกับฝูเหยาจื่อ ฝูเหยาจื่อได้ฟังประสบการณ์ของนางก็ทอดถอนใจไม่รู้แล้ว ฝูเหยาจื่อเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง สำหรับผู้ฝึกตนเช่นโม่เหยาชิงซึ่งประสบกับขวากหนามแต่ไม่เคยยอมแพ้กับตัวเองเช่นนี้ ชื่นชมถึงสิบส่วน ยิ่งได้ฟังว่านางซึ่งเป็นผู้ฝึกตนสตรีไม่ยินยอมให้รูปร่างหน้าตาเป็นภาระ อีกทั้งสติปัญญาน่าทึ่ง ยิ่งนับถือ

    คิดถึงโม่เหยาชิง โม่เทียนเกอก็โศกเศร้าถึงสิบส่วน หากมิได้มีความงดงาม คิดว่าโม่เหยาชิงจะต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่อันมีชื่อเสียงเลื่องลือของอวิ๋นจง น่าเสียดาย ความงดงามไม่เพียงไม่ให้ผลดีอันใดแก่นาง ยังทำลายนางไปทั้งชีวิต

    “เอาล่ะ ข้อดีของพัดแห่งสวรรค์และโลกานี้ เจ้าสามารถเกาะกุมได้ห้าหกส่วนแล้ว ถือว่าผ่านด่านชั่วคราว”

    “ห้าหกส่วน?” โม่เทียนเกอประหลาดใจ ““เพียงแค่ห้าหกส่วนหรือเจ้าคะ”

    “แน่นอน” เสียงของฝูเหยาจื่อยังคงราบเรียบ “พัดนี้ถึงจะเป็นอาวุธเวทคู่ชีพของเจ้า แต่ด้วยระดับชั้นของเจ้า ยังยากจะทำความเข้าใจอย่างปรุโปร่ง ปัจจุบันนี้เจ้าสามารถแสดงพลังออกมาได้ห้าหกส่วนก็ไม่เลวแล้ว ถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ พัดนี้จึงจะแสดงพลังทั้งหมดออกมา” พูดถึงตรงนี้ ฝูเหยาจื่อทอดถอนใจอีกรอบ “ไม่อย่างนั้น ด้วยความสามารถของเหวยซือ จะนับถือผู้อื่นอย่างง่ายดายได้อย่างไร”

    เห็นท่าทีนี้ของฝูเหยาจื่อแล้ว โม่เทียนเกออดพึมพำในใจไม่ได้ว่า สมมติท่านกับโม่เหยาชิงเกิดมาร่วมยุคสมัย จะต้องตกหลุมรักนางแน่นอนกระมัง? น่าเสียดาย พวกเขาสองคนอยู่ห่างกันหลายหมื่นปี ไม่อาจพบหน้ากันเลย

    จะว่าไป สำหรับซือฟุท่านนี้ ถึงนางจะไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเท่ากับประมุขเต๋าจิ้งเหอ แต่หลายปีนี้ได้คบหาสมาคมกัน ก็เป็นผู้ที่น่านับถือถึงสิบส่วน เขาเป็นผู้มีเมตตา บุคลิคเที่ยงธรรม นิสัยเถรตรง หากปีนั้นโม่เหยาชิงสามารถพบกับบุคคลเยี่ยงนี้ คิดว่าก็จะไม่มีอคติเยี่ยงนั้นต่อบุรุษเพศแล้ว

    “ซือฟุ เช่นนั้นถัดจากนี้ข้าควรทำอะไร”

    “ฝึกตน” ฝูเหยาจื่อพูด “หลายปีมานี้ ณานศักดิ์สิทธิ์ของวิชาต่อสู้เหวยซือถ่ายทอดให้เจ้าไปมากมายแล้ว ตอนนี้ถึงเจ้าจะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็น่าจะไม่ถึงกับไร้ความสามารถต้านทานสักเศษเสี้ยว สิ่งที่เจ้าขาดที่สุดตอนนี้ก็คือระดับการฝึกตน หากระดับการฝึกตนสามารถก้าวหน้าไปอีกขั้น ความแข็งแกร่งย่อมจะเพิ่มพูนขึ้น”

    โม่เทียนเกอพยักหน้า การเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ในระยะเวลาอันสั้นนั้นไม่ต้องไปคิดแล้ว การเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายขนาดนั้น ถึงแม้จะตระเตรียมทุกสิ่งพร้อมสรรพ กักตนหนึ่งครั้งสิบกว่าปีถึงยี่สิบปีจึงสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก ทว่าฝูเหยาจื่อในปัจจุบันนี้เป็นเพียงจิตหยั่งรู้สายหนึ่ง ถึงจะสามารถฝังกายลงบนกระบี่ฝูเซิง แต่ก็รอถึงเวลานั้นไม่ได้

    บอกทำเป็นทำ โม่เทียนเกอกลับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปกักตนอย่างรวดเร็ว

    ภายใต้การชี้แนะของฝูเหยาจื่อ และยังมีการสนับสนุนของโอสถนานาชนิด นางเดิมทีห่างจากก่อเกิดตานเต็มขึ้นเพียงเส้นบาง ๆ ขอเพียงไม่เกิดอุบัติเหตุ ภายในสองสามปีคาดว่าจะสามารถเลื่อนขั้นแล้ว

    ตอนที่โม่เทียนเกอหลบซ่อนอยู่ในสถานที่รกร้างของเผ่าตะวันตก เตรียมที่จะพุ่งทะลวงก่อเกิดตานเต็มขั้น ทั่วทั้งอวิ๋นจงกลับพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อตำแหน่งของ “ฉินเวย”

    สำนักจิ่วเยี่ยนอาณาจักรตงถัง ในถ้ำพำนักของหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดอาจารย์เต๋าหยวนมู่ มีคนมารวมตัวกันเจ็ดแปดคนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนเหล่านี้บ้างนั่งบ้างยืน ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ชั้นยอดสุดของทวีปอวิ๋นจง ยังมีครึ่งหนึ่งกลับเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน

    ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแรก ย่อมเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดอาจารย์เต๋าหยวนมู่ของสำนักจิ่วเยี่ยน เขาเป็นผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนสูงสุดของสำนักจิ่วเยี่ยน และในเวลาเดียวกันก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายของอวิ๋นจง

    สำนักแห่งหนึ่งสามารถกลายเป็นหัวเรือใหญ่ของสำนักฝึกเซียนของอวิ๋นจง จะต้องมีอัจฉริยะปรากฎมากมาย ความแข็งแกร่งสูงลิ่ว สาเหตุที่สำนักจิ่วเยี่ยนยึดครองนามของสำนักอันดับหนึ่งหลายปีขนาดนี้ รุ่งเรืองไม่เสื่อมคลาย เป็นเพราะว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายไม่เคยขาดแคลน อีกทั้งความแข็งแกร่งอยู่ในชั้นสูงสุดของผู้ฝึกตนอวิ๋นจงมาโดยตลอด

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่ท่านนี้อายุขัยไม่ถึงพันปี แต่ก้าวเข้าสู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแต่เนิ่น ๆ หลายปีแล้วที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดของอวิ๋นจงมาโดยตลอด

    ด้านข้างอาจารย์เต๋าหยวนมู่ ผู้ที่นั่งอยู่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางผู้หนึ่ง อายุห่างจากเขาไม่มาก และเป็นบรรพบุรุษเฒ่าของสกุลหลิงเมืองเทียนเสวี่ย หลิงซื่ออวี่ หลิงซื่ออวี่ผู้นี้ ถึงจะเพียงมีระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ความแข็งแกร่งก็เรียกเป็นอันดับสองของสำนักจิ่วเยี่ยนไม่ได้ แต่เขากับอาจารย์เต๋าหยวนมู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษ และยังเป็นผู้ที่ผูกมิตรเก่ง ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งในสำนักจิ่วเยี่ยนก็ไม่ธรรมดา

    ส่วนผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิงซื่ออวี่คือลูกหลานสกุลหลิง หลิงอวิ๋นเฮ่อ อยู่ต่อหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรพบุรุษเฒ่า ถึงหลิงอวิ๋นเฮ่อจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน ขณะนี้ก็ได้แต่ยืน

    นอกจากฝ่ายเจ้าภาพของสำนักจิ่วเยี่ยนสามคนนี้ คนอื่น ๆ ในตำแหน่งแขกกลับมีภิกษุมีขงจื้อ แต่งกายหลากหลาย

    ผู้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายเป็นภิกษุเฒ่าเคราขาวคิ้วยาวหน้าตาปรานี โม่เทียนเกอหากอยู่ที่นี่จะต้องจดจำออก ภิกษุเฒ่าที่หลับตาอยู่ตลอดผู้นี้ก็คืออู๋หมิงเจินเจ่อ ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็คือเจวี๋ยอู้ที่เคยปล้นนางแต่กลับเสียแหฟ้าตาข่ายดิน

    ผู้ที่นั่งอยู่ด้านขวาเป็นบัณฑิตหนุ่มวัยยี่สิบปีหน้าขาวไร้เคราผู้หนึ่ง บัณฑิตผู้นี้อายุเยาว์วัย แต่ถึงกับเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเช่นกัน ระดับการฝึกตนลึกล้ำสุดจะหยั่ง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขามีลักษณะเป็นนักวิชาการขงจื้อวัยกลางคน กลับเป็นหานซื่อจือที่เคยซุ่มโจมตีดักปล้นกระบี่ฝูเซิงที่เมืองเทียนเสวี่ย

    ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายผู้ยิ่งใหญ่สามท่านเป็นตัวแทนเต๋า, พุทธ, ขงจื้อสามนิกายฝึกเซียนใหญ่ฝ่ายธรรมะ ขณะนี้รวมตัวอยู่ในห้องเดียวกัน หากให้คนนอกทราบเข้าจะต้องตื่นตระหนกจนหน้าเผือดสี

    “ท่านทั้งสอง” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน จับจ้องภิกษุและบัณฑิต กล่าวว่า “เรื่องนี้สรุปแล้วจะทำอย่างไร พวกเราวันนี้จะต้องกำหนดมาตรการออกมา พวกท่านจะไม่แสดงท่าทีตลอดไปไม่ได้นะ!”

    ฟังวาจานี้แล้ว บัณฑิตหนุ่มวางถ้วยชาที่กุมอยู่ในมือมาโดยตลอดลง ยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “หยวนมู่เต้าซยง พวกเราสายธรรมะตลอดมาล้วนเป็นสำนักท่านเป็นผู้นำ เรื่องนี้เล่า ย่อมยังคงต้องให้เต้าซยงแสดงท่าทีก่อนจึงจะได้”

    อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มแย้มราวพระศรีอริยเมตไตรยตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะนี้เพียงพยักหน้า ไม่พูดจาเลย

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่เห็นสถานการณ์นี้ แอบขมวดคิ้วขึ้นมา ว่ากันตามหลักด้วยตำแหน่งในอวิ๋นจงของสำนักจิ่วเยี่ยน เขาควรแสดงท่าทีก่อนและเป็นผู้นำจริง ๆ แต่ท่าทีของตาเฒ่าสองคนนี้กลับทำให้เขาไม่พอใจ เวลาไหนกันแล้ว ยังต้องให้เขาอ้าปากขึ้นมาก่อน

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่ขบคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายยังเอ่ยปากว่า “สหายเต๋าทั้งสอง เรื่องนี้ใหญ่หลวง พูดได้ว่าส่งผลต่อโชคชะตาพันปีของอวิ๋นจง พวกเราสามคนในฐานะผู้นำของสายนิกายใหญ่สายธรรมะ หากยื้อกันไปกันมาอีกไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ มิสู้ พวกเราต่างฝ่ายต่างพูดแผนการออกมา ปรึกษาหนทางที่ทำได้ออกมาสักอย่างกันดี ๆ เป็นอย่างไร”

    “สหายเต๋าหยวนมู่พูดจามีเหตุผล” อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงยิ้มพราย สองมือประนม กล่าวว่า “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เราท่านสามสำนัก คิดว่าจะต้องล้วนไม่เต็มใจละทิ้งโอกาสนี้ หากไม่เป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่มานั่งอยู่ที่นี่ด้วยกันแล้ว”

    วาจาของภิกษุเฒ่านี้นับว่าทำให้อาจารย์เต๋าหยวนมู่สบายใจขึ้นมาหน่อย กล่าวต่อมาว่า “มิผิด ในเมื่อสหายเต๋าทั้งสองล้วนเลือกมาที่สำนักจิ่วเยี่ยนข้าเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ คิดว่าล้วนมีเจตนาจะร่วมมือ ใช่หรือไม่”

    อู๋หมิงเจินเจ่อฟังวาจานี้แล้ว เอ่ยอมิตาพุทธคำหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่เห็นดังนี้แล้วหันไปทางบัณฑิตหนุ่ม “อวี๋เซียนเซิง ท่านเล่า?”

    “ย่อมเป็นเช่นนี้” บัณฑิตหนุ่มโบกพัดในมือ พูดลอย ๆ

    โดยผิวเผินได้บรรลุข้อตกลงร่วมมือแล้ว อาจารย์เต๋าหยวนมู่เผยรอยยิ้มบาง “ในเมื่อทั้งสองท่านกับจ้ายเซี่ยคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มีทางพูดจากันแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองท่านล้วนทราบว่า อยากจะเปิดมิติเร้นลับนั้น อาศัยวัตถุในมือเราท่านสามสำนักอย่างเดียวไม่เพียงพอ ยังต้องเสาะหาเจดีย์มารสวรรค์และกระบี่ฝูเซิงจึงจะได้”

    อู๋หมิงเจินเจ่อผงกศีรษะ “เรื่องของห้าปราชญ์ เดิมเป็นสิ่งที่เจดีย์มารสวรรค์ปรากฏบนโลกชักนำขึ้นมา เจดีย์มารสวรรค์ท้ายที่สุดแล้วตกอยู่ในมือผู้ใด ปัจจุบันนี้พวกเราล้วนไม่ล่วงรู้ นี่ควรจะทำอย่างไร”

    บัณฑิตหนุ่มที่แซ่อวี๋ผู้นั้นกลับหัวเราะเบา ๆ เอ่ยว่า “ตำแหน่งของเจดีย์มารสวรรค์จัดการได้ง่าย”

    “อ้อ?” เมื่อได้ยินวาจานี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองไปทางเขา “อาจารย์เต๋าหยวนมู่คิดเห็นเช่นไร”

    บัณฑิตอวี๋เอ่ยว่า “ไม่ว่าเจดีย์มารสวรรค์ตกอยู่ในมือผู้ใด ท้ายที่สุดยังต้องใช้ร่วมกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกสี่ชิ้นจึงสามารถแสดงบทบาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเพียงต้องรวบรวมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นทั้งหมดไว้ด้วยกัน นายของเจดีย์มารสวรรค์นั่นย่อมจะปรากฏตัว”

    พูดจบแล้ว คนทั้งหมดที่เหลือล้วนอดพยักหน้าไม่ได้

    “ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของพวกเราขณะนี้กลับเป็นการเสาะหากระบี่ฝูเซิง เรื่องของกระบี่ฝูเซิง ในใจทุกคนล้วนมีการคิดคำนวณ สิบกว่าปีมานี้ กลุ่มอำนาจต่าง ๆ ของอวิ๋นจงไม่มีใครที่ไม่ได้กำลังเสาะหาตำแหน่งของผู้ฝึกตนสตรีโพ้นทะเลนางนั้น สามารถพูดได้ว่า ทุกคนแทบจะพลิกแผ่นดินอวิ๋นจงแล้ว แต่ผู้ฝึกตนสตรีนางนี่กลับราวจะหายสาปสูญไป ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนนึกว่าสตรีนางนี้เป็นไปได้มากว่าจะจากอวิ๋นจงกลับสู่บ้านเกิดไปแล้ว ใช่หรือไม่”

    “มิผิด” อาจารย์เต๋าหยวนมู่พยักหน้า “สิบกว่าปีแล้ว กลุ่มอำนาจตั้งแท่าไหร่ของอวิ๋นจงกำลังเสาะหาคน แต่กลับกลายเป็นว่าเบาะแสสักนิดก็หาไม่เจอ นอกเสียจากคนคนนี้ไม่ได้อยู่อวิ๋นจง มิเช่นนั้น อธิบายไม่ได้จริง ๆ”

    “แต่หากเสาะหากระบี่ฝูเซิงไม่พอ พวกเราคิดจะร่วมมือก็ร่วมมือไม่สำเร็จ”

    ประโยคนี้ของบัณฑิตอวี๋ทำให้คนทั้งหมดในที่นี่ล้วนเงียบงันไป

    วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นขาดไม่ได้สักชิ้น นี่ก็คือประเด็นสำคัญของปัญหา เจดีย์มารสวรรค์ถึงจะสาปสูญร่องรอยเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ในใจทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งว่าวัตถุนี้จะต้องยังอยู่อวิ๋นจง เพียงแค่คนที่ได้รับไม่ปรารถนาจะป่าวประกาศเท่านั้น แต่กระบี่ฝูเซิงนี้ก็บอกไม่ได้แล้ว

    “อวี๋เซียนเซิงพูดเช่นนี้ น่าจะเคยคิดถึงมาตรการรับมือแต่แรกแล้วกระมัง?” หลิงซื่ออวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยปากขึ้นมา

    บัณฑิตอวี๋นี้ยังคงยิ้มบาง ๆ มองหลิงซื่ออวี่แวบหนึ่ง พยักหน้าเบา ๆ “มิผิด เรื่องนี้อวี๋โหม่วคิดมานานมากแล้วจริง ๆ ถึงจะคิดหนทางที่สามารถแก้ไขได้แน่ ๆ ไม่ออกเลย แต่ทว่า มีความคิดบางอย่าง”

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่ได้ยินแล้วเอ่ยอย่างยินดีว่า “ขอเชิญอวี๋เซียนเซิงพูดออกมา”

    บัณฑิตอวี๋เอ่ยว่า “ทุกท่านเชื่อจริง ๆ หรือว่าผู้ฝึกตนสตรีโพ้นทะเลนางนั้นไปจากอวิ๋นจงแล้ว?”

    อาจารย์เต๋าหยวนมู่และอู๋หมิงเจินเจ่อได้ยินแล้วตะลึงไป วาจานี้ของเขาหมายความว่าอะไร

    บัณฑิตอวี๋เอ่ยต่อว่า “ว่าไปแล้วก็บังเอิญ รุ่นเยาว์ของเราท่านสามสำนักล้วนเคยเห็นผู้ฝึกตนสตรีแซ่ฉินนางนี้ แต่กลับไม่มีสักคนที่ล่วงรู้ที่มาแท้จริงของนาง ใช่หรือไม่”

    หลิงอวิ๋นเฮ่อทั้งสามพยักหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจวี๋ยอู้ไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นคนที่รู้น้อยที่สุด หานซื่อจือกับหลิงอวิ๋นเฮ่อล้วนเคยสนทนากับอีกฝ่าย แต่ว่า แม้แต่หลิงอวิ๋นเฮ่อที่เคยเสี่ยงอันตรายร่วมกันมายังไม่รู้ที่มาแท้จริงของผู้ฝึกตนสตรีนางนี้

    “ผู้ฝึกตนโพ้นทะเล ที่ว่าโพ้นทะเล สิ่งที่บ่งชี้คือนอกเหนือทะเลในของอวิ๋นจง นอกเสียจากเกาะอันห่างไกลในทะเลลึก อันที่จริงพวกเราคนอวิ๋นจงก็เรียกหยวนโจวและเซียวหยางเป็นโพ้นทะเล”

    พอบัณฑิตอวี๋เปล่งวาจานี้ออกมา ในสมองหลิงอวิ๋นเฮ่อเกิดความคิดแวบขึ้นมา โพล่งว่า “ความหมายของผู้อาวุโสอวี๋คือ ฉินเวยคนนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นคนหยวนโจวหรือเซียวหยางแล้ว?”

    บัณฑิตอวี๋ส่ายหน้าเบา ๆ “อาจไม่เป็นเช่นนั้น แต่ว่า ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้นี้”

……………….

สงสัยอย่างเดียวว่าทำไมไม่มีคนคิดจะจับเนี่ยอู๋ชางไปเค้นถามบ้างเลย

 

 

ตอนที่ 441 – กลับตงถัง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท