ตอนที่ 448 – ผู้ฝึกตนใหญ่ต่าง ๆ
“สหายเต๋าทั้งหลายมากันเร็วจริง ๆ!” ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอีกคนหนึ่งมาถึง คนยังไม่ทิ้งตัวลงมา เสียงที่ดังดุจระฆังก็ทักทายทุกคนแล้ว
โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง คนผู้นี้โกนศีรษะมีรอยจี้ธูป ศีรษะโตใบหูใหญ่ หน้าตาดุร้าย ถึงจะสวมจีวรทั้งร่าง ดูแล้วยังคงมีกลิ่นอายแบบอันธพาลเต็มเปี่ยม
“ท่านนี้คือซูเซียงเจินเจ่อแห่งวัดเตาหลิน” หลิงอวิ๋นเฮ่ออธิบายให้นางอยู่ด้านข้าง “สิ่งที่ซูเซียงเจินเจ่อฝึกคือวิชาปราบพยัคฆ์ ไม่เหมือนกับอู๋หมิงเจินเจ่อ”
“อ้อ!” โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว สำนักพุทธไม่ได้มีเพียงนิกายเดียว อันนี้นางรู้อยู่แล้ว ดูพฤติการณ์ของอู๋หมิงเจินเจ่อ สิ่งที่ฝึกน่าจะเป็นนิกายที่ค่อนข้างอ่อนโยนเคร่งวินัย ทว่าซูเซียงเจินเจ่อผู้นี้กลับปล่อยตัวตามสบายกว่ามาก
“ซูเซียงเจินเจ่อท่านนี้พลังสภาวะแกร่งนัก วิชาปราบพยัคฆ์นี้น่าจะมีชื่อด้านความแกร่งกร้าวกระมัง?”
“มิผิด” หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นด้วย “ถ้าหากจะบอกว่าพรตเต๋ากัวเป็นกระดองเต่าที่แข็งที่สุด ซูเซียงเจินเจ่อก็คือก้อนหินที่คมที่สุด”
การเปรียบเปรยนี้ทำให้โม่เทียนเกออดส่งเสียงหัวเราะไม่ได้ ถัดจากนั้น ค้นพบว่าสายตาของผู้สูงส่งจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายหลายคนจับอยู่บนร่างพวกเขา จึงรีบเก็บรอยยิ้ม
ซูเซียงเจินเจ่อลูบศีรษะ ถามว่า “ข้าว่านะ ตาเฒ่าหยวนมู่ นี่เป็นศิษย์ของสำนักท่านหรือ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เหล่สายตา เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ท่านใส่ใจมากขนาดนั้น?”
“เด็กน้อยนี่ข้ารู้จัก เป็นเด็กน้อยของสกุลหลิง คนที่อยู่ด้านข้างนั่น ที่สวมใส่ไม่ใช่ชุดของสำนักจิ่วเยี่ยนพวกท่าน หรือว่าเป็นสะใภ้ของเด็กน้อยสกุลหลิง?”
เมื่อได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอไม่ใส่ใจ หลิงอวิ๋นเฮ่อกลับรีบเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซูเซียนโปรดอย่าเข้าใจผิด ท่านนี้คือ……สหายเต๋าโม่ คนที่กระบี่ฝูเซิงยอมรับเป็นนาย”
“อ้อ?” ซูเซียงเจินเจ่อประหลาดใจ หัวเราะฮา ๆ หลายคำ “นางหนูน้อยไม่เลวนี่”
โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ๆ คารวะให้ซูเซียงเจินเจ่อเพื่อแสดงความเคารพ
ซูเซียงเจินเจ่อโบกมือให้นางอย่างไม่ใส่ใจ หันหน้าไปสนทนากับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายหลายคนนั้นต่อ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในอากาศเกิดความผันผวนของปราณมารอันกล้าแข็ง โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง ตะลึงงัน
ผู้ที่มาครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกมาร พลังสภาวะระดับนี้ เกรงว่าก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เห็นเพียงคนผู้นี้ทั้งร่างซ่อนอยู่ในผ้าคลุม แต่งกายอย่างผู้ฝึกมารตามมาตรฐาน ด้านหลังเขาติดตามด้วยซากศพสูงใหญ่สองศพ ถึงกับมีระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นเช่นกัน!
“นี่คือประมุขมารเยว่อิ่งเจ้าเมืองเยว่อิ่ง” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “สามประมุขมารใหญ่สายมาร ประมุขมารเยว่อิ่งท่านนี้เร้นลับที่สุด ไม่เคยมีคนเห็นโฉมหน้า และซากศพสองซากนี้ข้างกายเขา ก็เลื่องชื่อในอวิ๋นจง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั่วไปล้วนไม่อาจต่อกร เอ่ยถึงความแข็งแกร่ง แม้แต่หยวนมู่ซือป๋อสำนักข้าก็พูดได้ยากมากว่าชนะเขาแน่นอน”
“ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แล้วยังมีซากศพจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นอีกสองซาก……” โม่เทียนเกอถอนหายใจ “นี่มิใช่สามคนรวมเป็นหนึ่งหรือ?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้ม “ไยมิใช่? แต่ว่า ซากศพก็เป็นสิ่งที่หลอมสร้างได้ยากมาก ไม่ได้ง่ายดายกว่าการเลี้ยงดูอสูรวิญญาณสักเท่าไหร่ สามารถหลอมสร้างซากศพมาถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ นี่ก็เป็นความแข็งแกร่ง”
“ไม่ได้พบกันหลายปี ระดับการฝึกตนของสหายเต๋าเยว่อิ่งมีความรุดหน้าอีกแล้ว!” เมื่อเห็นเจ้าเมืองเยว่อิ่งผู้นี้ ซูเซียงเจินเจ่อผู้นั้นกลับพูดอย่างพิลึกพิลั่นหนึ่งประโยค
น่าเสียดาย เจ้าเมืองเยว่อิ่งผู้นี้ไม่สนใจเขา เพียงคำนับให้อาจารย์เต๋าหยวนมู่กับพวก
ผ่านไปอีกครึ่งวัน บนเกาะน้อยมีผู้ฝึกตนมากมายทยอยกันมา แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายกลับไม่เห็นอีกแล้ว
โม่เทียนเกออดถามมิได้ว่า “สหายเต๋าหลิง ผู้ฝึกตนขั้นปลายของอวิ๋นจงไม่มีเพียงเท่านี้กระมัง?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อครุ่นคิดหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “ยังมีสี่ท่านยังมาไม่ถึง น่าจะเร่งรุดมาถึงก่อนที่มิติจะเปิด”
“อ้อ เป็นสี่ท่านไหน”
“สองท่านในนั้นย่อมเป็นประมุขมารอีกสองท่าน” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “สามประมุขมารใหญ่ล้วนเป็นระดับขั้นปลาย ปัจจุบันนี้มาเพียงเจ้าเมืองเยว่อิ่งผู้เดียว ยังมีเมี่ยวอิงหยวนจวินแห่งโรงเรียนจิ้งซวี คล้ายว่าจะมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ ก่อนหน้านี้ยังเคยส่งจดหมายให้หยวนมู่ซือป๋อของข้า อีกท่านหนึ่ง กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระ”
“ยังมีประมุขมารสองท่าน……” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “หรือว่าเจดีย์มารสวรรค์จะอยู่ในมือของหนึ่งในพวกเขา?”
ขณะนี้กำลังพูดเยี่ยงนี้ กลางอากาศมีความผันผวนของปราณมารอันกล้าแข็งขึ้นมาอีกครั้ง ถึงกับกล้าแข็งว่าตอนที่ประมุขมารเยว่อิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้อีก!
โม่เทียนเกอเงยหน้าทอดมอง เป็นผู้ฝึกมารหนึ่งกลุ่มมาถึงตามคาด ในนั้น…..มีระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน!
“ประมุขมารกุ่ยฟาง ประมุขมารเย่ซวง พวกเขาถึงกับมาด้วยกัน……” หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าวพึมพำ
ประมุขมารกุ่ยฟางโม่เทียนเกอรู้จัก ทว่าประมุขมารเย่ซวงผู้นั้นถึงกับเป็นสตรีหน้าเย็นชาที่อ่อนเยาว์ถึงสิบส่วน ถึงแม้ใบหน้าราวน้ำค้างแข็งหนาวเหน็บ* แต่งามราวท้อหลี่ ชุดสีม่วงเข้มห่อหุ้มทั้งร่างอย่างหนาแน่น เป็นรูปลักษณ์อีกแบบ
โม่เทียนเกอแอบประหลาดใจกับตนเอง นางทราบว่าประมุขมารเย่ซวงก็คือเจ้าเมืองของเมืองเย่เซียว ในสามประมุขมารใหญ่สายมาร เมืองเย่เซียวเป็นเมืองที่พฤติกรรมกดขี่และโหดร้ายที่สุด ผู้ฝึกตนคนใดที่ล่วงเกินเมืองเย่เซียว ไม่มีผู้ที่ไม่พบกับการล้างแค้น เหมือนกับเมืองซิงลั่ว จวนเจ้าเมืองถูกฆ่าล้างในคืนเดียว นอกจากเจ้าเมืองเหมยไร้คนรอดชีวิต คิดไม่ถึงจริง ๆ เมืองเย่เซียวที่กดขี่ปานนี้ เจ้าเมืองถึงกับเป็นสตรีนางหนึ่ง
หลังจากนั้น สายตาของนางถูกคนหนึ่งในกลุ่มดึงดูดไป
หยางเฉิงจี!
ระดับการฝึกตนของเขายังคงอยู่ที่ก่อเกิดตานขั้นกลาง แต่อยู่กลางกลุ่มผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งกลุ่ม ตามติดอยู่ข้างกายประมุขมารกุ่ยฟาง
“หรือจะเป็นเขา……” ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานในที่แห่งนี้มีเพียงเจวี๋ยอู้, หานซื่อจือ, หลิงอวิ๋นเฮ่อและนาง พวกเขาสี่คนไม่มีสักคนที่มิใช่คนที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเป็นนาย ในช่วงเวลานี้ ผู้มาก็ล้วนเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ไม่มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่หยางเฉิงจีเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานชัด ๆ กลับอยู่ในกลุ่ม!
“สหายเต๋ากุ่ยฟาง สหายเต๋าเย่ซวง ในที่สุดท่านทั้งสองก็มาแล้ว!” พวกอาจารย์เต๋าหยวนมู่เข้าไปต้อนรับ
ประมุขมารเย่ซวงนั้นเพียงกุมมือให้ทุกคน แม้แต่ถ้อยคำก็ไม่มี ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเย็นชา
คนอื่นเห็นได้ชัดว่าทราบนิสัยของประมุขมารเย่ซวงผู้นี้ ก็เลยไม่ใส่ใจ อาจารย์เต๋าหยวนมู่ยังคงเอ่ยกับประมุขมารกุ่ยฟางอย่างกระตือรือร้นว่า “สหายเต๋ากุ่ยฟางในที่สุดก็มาแล้ว ทุกสิ่งยังราบรื่นนะ?”
ประมุขมารกุ่ยฟางใบหน้าไร้อารมณ์ พยักหน้าตอบว่า “สหายเต๋าหยวนมู่มิต้องกังวลใจ”
บัณฑิตอวี๋ที่อยู่ด้านข้างยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋ากุ่ยฟางปิดบังได้ดีแท้ หากมิใช่ครั้งนี้พวกเรารวบรวมวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกสี่ชิ้นได้หมด ใครก็ไม่ทราบว่าเจดีย์มารสวรรค์ถึงกับตกอยู่ในมือของสหายเต๋ากุ่ยฟาง”
“มิใช่หรอกหรือ?” บัณฑิตอวี๋พูดจบ ซูเซียงเจินเจ่อผู้นั้นก็ร้องเสียงพิลึกขึ้นมาทันที “ปีนั้นสหายเต๋ากุ่ยฟางหลอกพวกเราที่ทะเลกุยสวีเสียอนาถแท้ ยังบอกว่าเพราะพวกเราสำนักพุททธทำให้สหายเต๋าเสียเจดีย์มารสวรรค์ ที่แท้สหายเต๋าแสร้งพูด!”
ในวาจาของซูเซียงเจินเจ่อนี้มีนัยประชดประชันเข้มข้น ประมุขมารกุ่ยฟางได้ยินแล้ว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก แต่เพียงร้อง “หึ” คำเดียว ไม่ถกเถียงกับเขา
ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอมั่นใจแล้วว่าคนที่เจดีย์มารสวรรค์ยอมรับเป็นนายคือหยางเฉิงจีอย่างไร้ข้อกังขา ประมุขมารกุ่ยฟางผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์โดยแท้ ปีนั้นเพราะเรื่องของเจดีย์มารสวรรค์ได้ผูกความแค้นกับสำนักพุทธ ตอนที่อู๋หมิงเจินเจ่อไปเมืองกุ่ยฟางถึงขนาดยังแสดงทัศนคติไม่ตายไม่เลิกรา ผลคือแอบเก็บเจดีย์มารสวรรค์เข้ากระเป๋าเงียบ ๆ ไปแต่แรกแล้ว คนอื่นเพียงเอ่ยว่าเขาเกลียดชังสำนักพุทธถึงขีดสุด กลับไม่ทราบว่านี่เป็นเพียงวิธีอำพรางของเขา
สายตาของนางจับอยู่บนตัวของหยางเฉิงจีอีกรอบ หยางเฉิงจีขณะนี้ก็ค้นพบนางแล้ว ลังเลชั่วขณะแล้วยกมือให้นาง นางยิ้ม คำนับตอบ
ช่างบังเอิญจริง ๆ คนที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเป็นนายคนอื่น ถึงกับล้วนเป็นผู้ที่นางรู้จัก หลิงอวิ๋นเฮ่อและนางมีมิตรภาพอยู่บ้าง หยางเฉิงจีนับว่าเป็นคนรู้จักเก่า เจวี๋ยอู้……ตอนนี้นางยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเขาไม่แค้นจริง ๆ หรือไม่ ส่วนหานซื่อจือมีความแค้นกับนางอย่างชัดเจน ถึงจะบอกว่าเรื่องของปีนั้น หลิงอวิ๋นเฮ่อรับปากว่าจะไกล่เกลี่ยแทนนาง แต่มีความแค้นมาก่อน หากมีผลประโยชน์ขัดแย้ง หานซื่อจือร้อยทั้งร้อยจะมุ่งร้ายต่อนาง
นางแอบถอนหายใจ เรื่องนี้ ต้องก้าวทีละก้าวอย่างระมัดระวังจริง ๆ ถึงแม้ว่านางจะมีกระบี่ฝูเซิงในมือ คนเหล่านั้นไม่กล้าทำอย่างไรกับนาง แต่ยังตกเป็นรอง…… หากว่าซือฟุและซือเกออยู่ที่นี่ก็ดีสิ……
กำลังคิดอยู่ บนเกาะน้อยมีคนบินมาอีกคน คนคนนี้อยู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง แต่พลังสภาวะทั่วร่างกลับแกร่งกล้าถึงขีดสุด โม่เทียนเกอถึงขนาดนึกว่าตนเองสัมผัสผิดไป แต่ในพลังสภาวะของคนคนนี้กลับขาดอะไรไปนิดอย่างชัดเจน ไปไม่ถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย
คนคนนี้ยิ่งบินยิ่งใกล้ ตอนที่ทิ้งตัวลงบนเกาะน้อย โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน!
คนคนนี้ทั้งร่างถูกปกคลุมอยู่ในเมฆดำ ไม่ว่าจะลักษณะของเมฆดำหรือว่าลมปราณ ล้วนทำให้นางคิดถึงคนคนหนึ่ง: ซงเฟิงซ่างเหริน!
คนคนนี้ย่อมไม่มีทางเป็นซงเฟิงซ่างเหริน แต่ลักษณะนี้กลับเหมือนซงเฟิงซ่างเหรินไม่มีผิดเพี้ยน หากมิใช่ว่าคนคนนี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนบุรุษ โม่เทียนเกอแทบจะอยากเดาว่าเป็นเนี่ยอู๋ชาง
“ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม……” นางเปล่งเสียงแผ่วเบา สิ่งที่คนคนนี้ฝึกคือปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม หรือว่า อวิ๋นจงยังมีศาลเจ้าอะไรอีก?
“เป็นเจ้า!” โม่เทียนเกอยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สตรีหน้าเย็นประมุขมารเย่ซวงผู้นั้นก็ส่งเสียงออกมาแล้ว นางจ้องมองผู้ฝึกมารที่มาใหม่ผู้นี้อย่างเย็นเยียบ โบกแขนเสื้อ แถบผ้าสีม่วงพลิ้วขึ้น เกิดเป็นพลังสภาวะอันน่าทึ่งทันที “เหมยเฟิง เจ้าขวัญกล้านัก! ปีนั้นหนีไปจากมือเปิ่นจวิน วันนี้ยังกระทบถูก!”
เหมยเฟิง? ! โม่เทียนเกอตะลึงงัน ถึงกับเป็นเจ้าเมืองเหมยของเมืองซิงลั่วในปีนั้น? เขาหนีเอาชีวิตรอด ในช่วงหลายสิบปีนี้ถึงกับเลื่อนขึ้นขั้นกลางด้วย?
เสียงอันแหลมคมอย่างเด็กหนุ่มดังออกมาจากในเมฆดำ “เจ้าเมืองเย่ ไยจะต้องฆ่าล้างถึงที่สุดขนาดนี้ ปีนั้นไม่ระวังล่วงเกินศิษย์ของท่าน ท่านก็ทำลายรากฐานเมืองซิงลั่วของข้าจนเหี้ยนแล้ว หลายปีมานี้ ผู้แซ่เหมยก็ไม่ได้ไปหาเรื่องเมืองเย่เซียวท่าน เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ?”
“พูดได้ง่ายนัก!” ประมุขมารเย่ซวงเอ่ยเสียงเย็น “เมืองซิงลั่วเล็ก ๆ ของเจ้าเมืองหนึ่งก็คู่ควรจะเปรียบเทียบกับศิษย์ของข้าหรือ? เอาชีวิตของเจ้ามาขอขมาแล้วค่อยว่ากัน!” คำพูดเพิ่งเปล่งออกมา ปราณมารเพิ่มพูน กดลงพื้นอย่างหนักหน่วง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นที่ระดับการฝึกตนด้อยไปสักหน่อยบนเกาะน้อยล้วนตระหนก ส่วนผู้ฝึกตนก่อเกิดตานห้าคนรวมทั้งโม่เทียนเกอล้วนอดตัวสั่นไม่ได้
อู๋หมิงเจินเจ่อเห็นดังนี้ก็สะบัดจีวร พลังอันไร้สภาพขุมหนึ่งคุ้มครองผู้เยาว์ทั้งหมด เขาประนมมือทั้งคู่ ปากขานนามพุทธองค์ “อมิตาพุทธ สหายเต๋าเย่ซวง หากอยากจะต่อสู้ส่วนตัว โปรดอย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์”
ประมุขมารเย่ซวงกวาดสายตา เก็บปราณมาร สายตากลับยังคงจับจ้องเหมยเฟิง
เหมยเฟิงหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเมืองเย่ ถึงท่านจะมีความแข็งแกร่งเหนือข้า แต่ข้ามิใช่เหมยเฟิงของวันวานแล้ว อยากจะเอาข้าลงก็มิใช่เรื่องง่ายดาย วันนี้พวกเราล้วนมาเพื่อวาสนาของห้าปราชญ์ทะเลกุยสวี เทียบกับการแปลงเทพแล้ว ความแค้นเล็กน้อยนี้นับเป็นอะไร? หากความแค้นนี้ไม่อาจปรองดอง พวกเราออกมาสู้กันอีกดีไหม”
ประมุขมารเย่ซวงจับจ้องเขาครู่หนึ่งอย่างเย็นชา ร้องหึเสียงเย็นคำหนึ่ง โบกแขนเสื้อ แถบผ้าสีม่วงยังคงพันรอบร่างของนางอย่างเชื่อฟัง แต่เบือนสายตา ไม่มองเขาอีกแล้ว
วิกฤตได้รับการแก้ไข เหมยเฟิงผู้นี้ก็ทิ้งตัวลงบนเกาะน้อย ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนร่างก็จางลงไปเล็กน้อย
ถึงเขาจะเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง แต่ผู้ฝึกตนขั้นปลายบนเกาะน้อยก็มีอยู่แปดเก้าคน ไม่กล้าบุ่มบ่ามเกินไป แล้วในอดีตเขาก็ไม่ได้มีมนุษย์สัมพันธ์อะไร จึงอยากเสาะหาสถานที่เงียบสงบรอเงียบ ๆ
แต่ทว่า พอเขาหันศีรษะก็เห็นโม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ในมุม
“เป็นเจ้า!” เขาอุทานอย่างโกรธเกรี้ยว
โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างจนใจ “เจ้าเมืองเหมย ไม่พบกันเสียนาน”
เหมยเฟิงมองดูนางอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค้นใหม่อาฆาตเก่าประดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
ปีศาจแรกเริ่มที่บ่มเพาะอย่างลำบากลำบนเปลืองแรงถูกคนอื่นกลืนกิน เมืองซิงลั่วที่ก่อร่างสร้างตัวอย่างเหนื่อยยากหลายปีทลายลงในวันเดียว เขาหนีอย่างแตกตื่นราวกับสุจัขจรจัดตัวหนึ่ง……
เขาไม่ได้เกลียดชังประมุขมารเย่ซวงเท่าไหร่เลย เพราะว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง ส่วนตนเองก็ไม่ได้ระวังไปล่วงเกินถึงบนศีรษะของนาง แต่เขากลับชิงชังโม่เทียนเกอเข้ากระดูก! หากมิใช่ผู้เยาว์คนนี้ ปีศาจแรกเริ่มของเขาก็จะไม่ถูกคนอื่นกิน หากมิใช่ล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้าย เมืองซิงลั่วของเขาก็จะไม่ถูกกวาดล้าง หากมิใช่ไปตอแยประมุขมารเย่ซวงเพราะเรื่องนี้ เขาก็จะไม่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่หลายสิบปี!
การกระทำเร็วกว่าความคิด เขายกแขนขึ้น ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มขุมหนึ่งยิงเข้าใส่โม่เทียนเกอ
……………….
* เย่ซวงแปลว่าน้ำค้างแข็งราตรี ส่วนเยว่อิ่งแปลว่าเงาจันทร์ กุ่ยฟางแปลว่าจตุรัสผี ชื่อประมุขมารมีแต่เพราะ ๆ น่าแปล แต่ชื่อฝ่ายธรรมะนี่อิหยังวะแปลไม่ออกทั้งนั้นเลย
ตอนที่ 449 – พบกันใหม่หลังจากกันนาน