บทที่ 220 ลูกกลอนวิญญาณไป๋ลี่
เวลาเคลื่อนคล้อย
เจ็ดเนตรโลหิตท่าเรือที่หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ด
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่เวท เขาจ้องไปยังฟ้าดินที่ห่างออกไปเขม็งตานการคลอนไหวของเรือเวท เวลานี้เป็นช่วงดวงตะวันขึ้น เมฆสีแดงล่องลอยบนฟากฟ้า ราวกับเปลวเพลิงแผดเผาท้องนภา
สวี่ชิงมองเงียบๆ
นับจากเผ่าดาราสมุทรล่มสลาย นี่ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ในครึ่งเดือนนี้ เรื่องของเผ่าดาราสมุทรก่อให้เกิดลมพายุ จากการที่เจ็ดเนตรโลหิตเปิดเผยการกระทำชั่วร้ายของเผ่าดาราสมุทรรวมถึงสมาชิกเทียนประทีปอย่างไป๋ลี่ จากการที่แต่ละเผ่าหาสาเหตุการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของอัจฉริยะฟ้าประทานของตนพบ ความโกรธแค้นที่มีต่อเผ่าดาราสมุทรรวมถึงเทียนประทีปก็ยิ่งทวีรุนแรงขึ้น
แม้เผ่าดาราสมุทรจะล่มสลาย แต่อีกสามเผ่ายังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้เจ็ดเนตรโลหิตลงมือ เผ่าที่สูญเสียอัจฉริยะฟ้าประทานเหล่านั้นไปก็พากันเคลื่อนไหว มุ่งตรงไปยังเผ่าทั้งสาม เมื่อที่นั่นพวกเขาได้เห็นหนอนไหมเหล็กจำนวนมหาศาล จึงได้เห็นหลักฐานมากมายขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เผ่าที่เจ็บหนักทั้งสามก็ถูกชนเผ่าอื่นๆ ทำลายทิ้งอย่างรวดเร็ว
และการลงมือครั้งนี้ของนายท่านหก ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเจ็ดเนตรโลหิตถูกจับตามอง โดยเฉพาะภูเขาปราการสงครามยอดเขาลำดับหก ทำเอาเผ่าต่างๆ กริ่งเกรงกันขึ้นเลยทีเดียว
แต่หลังจากวิเคราะห์ ส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าแม้ตัวภูเขาจะแข็งแกร่ง แต่พลังขับเคลื่อนด้านในยังธรรมดา แม้จะสามารถรองรับการเคลื่อนตัวของภูเขาระดับปราการสงครามได้ แต่การสะกดยังอ่อนด้อยอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
กระทั่งมีคนอนุมานหลังจบเรื่องว่า หากไม่มีธงสงครามเผ่ามนุษย์ก็เกรงว่าท้ายสุดนายท่านหกคงสะกดสมาชิกเทียนประทีปคนนั้นลงได้ยาก
แต่อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของเผ่าดาราสมุทร ไป๋ลี่สมาชิกเทียนประทีปถูกหลอมก็ล้วนเป็นความจริง ดังนั้นความแข็งแกร่งของเจ็ดเนตรโลหิต จึงยังซึมลึกเข้าไปในใจเผ่าอื่นๆ อีกครั้ง
ส่วนทางด้านสวี่ชิง หลังจากนายท่านหกหลอมเผ่าดาราสมุทรไปทั้งเผ่า พาพวกเขากลับมายังเจ็ดเนตรโลหิต ตอนที่กลับมา นายท่านหกก็นิ่งงัน สวี่ชิงเองก็นิ่งเงียบ
ไม่มีใครคิดถึงความสุขขณะสังหารศัตรูเลย กลับกลายเป็นนิ่งสงบ ความโศกเสียใจในส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน
แต่ชีวิตก็ยังต้องไปต่อ หนทางชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป
“อาจารย์ หลับให้สบาย” สวี่ชิงนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่เวท หยิบกาสุราที่อยู่ข้างๆ หมุนตัวหันไปทางทิศผืนอินทนิลแล้วยกขึ้น จากนั้นจึงกระดกลงไปอึกใหญ่ หลับตาลง
จังหวะที่ปิดทั้งสองตา ในร่างกายเขาก็ส่งเสียงครืนครัน ช่องเวททั้งหกสิบห้าช่องราวกับเตาไฟ กำลังเผาไหม้อย่างร้อนแรง ในนั้น…มีดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์จำนวนมหาศาลกำลังถูกหลอม
วิญญาณไม่สมบูรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนในเผ่าดาราสมุทรทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเขาไม่มีค่าใดเหมือนกับกระดูกซี่โครงไก่อย่างไรอย่างนั้น แต่ยังดีที่มีปริมาณมหาศาล ดังนั้นหลังจากรวบรวมไว้ด้วยกันก็ยังพอมีส่วนช่วยกับการเปิดช่องเวทของสวี่ชิงอยู่ระดับหนึ่ง
และในบรรดาดวงวิญญาณมากมายนี้มีวิญญาณที่พิเศษอีกดวงหนึ่งถูกสะกดไว้ในช่องเวทหนึ่งของสวี่ชิง ถูกไฟเผาไหม้อยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุด
วิญญาณดวงนี้ก็คือผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาคนนั้น
หลังจากถูกเจ้าเงาจับกุม ด้วยการทรมานหลายต่อหลายวันตั้งแต่ที่สวี่ชิงกลับมา ในที่สุดก็แตกดับ ถูกสวี่ชิงดึงวิญญาณออกมาได้สำเร็จ
แต่เพียงวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณยังไม่ได้ดึงเอาพรสวรรค์ของเผ่าพรางมารยานี้ออกมา ใช่ว่าวิชาเวทระดับจักรพรรดิทำไม่ได้ แต่เพราะจำนวนน้อยจนเกินไป หากจะช่วงชิงพรสวรรค์ของเผ่าหนึ่งออกมา จำเป็นต้องหลอมคนเผ่านั้นๆ ในปริมาณมากถึงจะสำเร็จ
ทว่าไม่เป็นอันใด สวี่ชิงไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือต้องทำให้ผู้บำเพ็ญคนนี้ทุกข์ทรมาน
แต่วิญญาณของเผ่านี้มีความพิเศษอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือพลังวิญญาณสามารถฟื้นฟูได้เองช้าๆ ต่อให้ถูกสะกดหล่อหลอม ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
“นายท่านหกดึงส่วนที่เผ่าดาราสมุทรหลอมรวมกับตัวภูเขาส่วนหนึ่งออกมา หลอมจนกลายเป็นเทียนเล่มหนึ่ง จุดเอาไว้ที่หน้าหลุมศพลูกชาย ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ข้าสามารถสะกดวิญญาณดวงนี้ไว้ตลอดกาล ให้เขาอยากตายก็ตายไม่ได้ คอยมอบพลังวิญญาณให้กับข้าต่อไป แล้วสักวันหนึ่ง ก็จะช่วงชิงพรสวรรค์เขามาได้เอง” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
ไม่ว่าจะมาจากความพิเศษในการมอบพลังวิญญาณให้อย่างต่อเนื่องของดวงวิญญาณนี้ หรือว่าจะมาจากความแค้นต่อผู้บำเพ็ญพรางมารยาคนนี้ ก็ล้วนทำให้สวี่ชิงไม่กลืนกินเขาลงไปง่ายๆ ในคราวเดียว
ระหว่างที่ในร่างกายส่งเสียงครืนครัน นอกจากดวงวิญญาณที่ถูกสะกดแล้ว วิญญาณไม่สมบูรณ์อื่นๆ ก็แปรเป็นพลังวูบหนึ่ง พุ่งปะทะไปยังช่องเวทที่หกสิบหก เพียงพริบตาช่องเวทที่หกสิบหกก็เปิดออก ขณะที่พลังเวทแผ่ซ่านไปทั้งร่าง การปะทะของสวี่ชิงก็ยังไม่จบสิ้น
ครู่ต่อมา ช่องเวทที่หกสิบเจ็ดก็เปิดออกในพริบตา
ส่วนที่เหลือไปรวมกันอยู่ที่ช่องเวทหกสิบแปดต่อ หมุนวนอยู่นาน จนในที่สุดก็ทำการพุ่งปะทะ
สวี่ชิงสั่นไปทั้งตัว กลิ่นอายกับพลังเวทก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยอย่างชัดเจน
เขาสัมผัสได้นานแล้วว่าการเปิดช่องเวทหลังจากไฟชีวิตดวงที่สอง ระดับความยากจะยากกว่าก่อนหน้ามาก และวิญญาณเผ่าดาราสมุทรก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ดังนั้นจึงมอบพลังการเปิดช่องเวทให้แก่เขาได้เพียงสามช่อง
สวี่ชิงลืมตา ล้วงกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากอก หลังจากเปิดออกก็มองเข้าไปด้านใน
ในกล่องหยกนี้มียาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งวางอยู่
ยาลูกกลอนมีเงาวิญญาณโหดเหี้ยมแผดเสียงและคำรามอย่างเงียบงันปรากฏขึ้น ราวกับคิดจะสลัดพันธนาการในยาลูกกลอนเพื่อหลบหนีขึ้นสู่ฟากฟ้า แต่ก็ทำไม่ได้
นี่คือลูกกลอนวิญญาณระดับสูงที่ล้ำค่าอย่างมากเม็ดหนึ่ง!
สำหรับผู้บำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ดวงวิญญาณเป็นเชื้อฟืนในการเปิดช่องเวท ดังนั้นจำเป็นต้องสังหารและดึงวิญญาณออกมาปริมาณมากจึงจะสามารถยกระดับฝึกบำเพ็ญได้ต่อเนื่อง
แต่การสังหารบางครั้งก็มีเชื่องช้าขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงมีลูกกลอนวิญญาณประเภทนี้ หนึ่งเม็ดสามารถมอบพลังดวงวิญญาณมหาศาลแก่ผู้บำเพ็ญ
เช่นเดียวกับอู๋เจี้ยนอูยอดเขาลำดับหนึ่งเมื่อครั้งนั้น ยาลูกกลอนที่เคยโยนให้ก็คือลูกกลอนวิญญาณ เพียงแต่ระดับค่อนข้างต่ำเท่านั้น
และเม็ดนี้เป็นสิ่งที่นายท่านหกดึงเอาส่วนหนึ่งของวิญญาณไป๋ลี่ออกมาหล่อหลอมด้วยตนเอง ส่งมอบให้สวี่ชิงระหว่างที่กลับสำนัก
ดึงออกมาเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น
นายท่านหกเป็นคนตรงไปตรงมา เขาต้องการวิญญาณมหาศาลมาเสริมพลังอาวุธเวท ดังนั้นจึงมอบให้สวี่ชิงได้เพียงเม็ดเดียว แต่เขายังบอกสวี่ชิงว่า เขาค้างหนี้น้ำใจสวี่ชิงอยู่ครั้งหนึ่ง
สวี่ชิงก็ไม่ได้ใส่ใจ สาเหตุที่การล้างแค้นครั้งนี้ราบรื่น จุดสำคัญคือการลงมือของนายท่านหก ดังนั้นต่อให้ไม่มอบยาลูกกลอนวิญญาณแก่เขา สวี่ชิงก็ยังคิดว่าสมเหตุสมผล
และไม่ต้องพูดถึงเรื่องของคุ้มครองที่นายท่านหกมอบให้เขาเลย แม้จะลดทอนพลังของไป๋ลี่ในระหว่างต่อสู้ไปมาก แต่ตอนนี้ก็ยังคงใช้การได้ มูลค่าของมันเดิมก็มากกว่าลูกกลอนวิญญาณแล้ว
สวี่ชิงเลิกคิด หยิบลูกกลอนวิญญาณขึ้น โยนเข้าปากอย่างไม่ลังเล ค่อยๆ เคี้ยว วิญญาณไม่สมบูรณ์ด้านในเปล่งเสียงกรีดร้อง แต่สุดท้ายก็ยังเลี่ยงบทสรุปที่ต้องถูกกลืนกินไม่พ้น การแผดเผาของเพลิงพิฆาตในร่างสวี่ชิงกลายเป็นแรงปะทะเปิดช่องเวท พุ่งตรงไปยังช่องเวทที่หกสิบเก้า
เพียงพริบตา ร่างกายสวี่ชิงก็สั่นไหว ช่องเวทที่หกสิบเก้าเปิดออก จากนั้นก็เป็นเจ็ดสิบ เจ็ดสิบเอ็ด…
พลังของลูกกลอนวิญญาณเม็ดหนึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมาก ทำให้หลังจากช่องเวทในร่างกายสวี่ชิงเปิดไปถึงเจ็ดสิบเอ็ดช่องก็ยังมีกำลังเหลือเฟือ เพียงไม่นานก็เปิดช่องเวทที่เจ็ดสิบสองได้ จากนั้นก็เป็นช่องเวทเจ็ดสิบสาม ช่องเวทเจ็ดสิบสี่ ช่องเวทเจ็ดสิบห้า
ยังไม่จบ ช่องเวทที่เจ็ดสิบหก เจ็ดสิบเจ็ด เจ็ดสิบแปดถูกทะลวงเปิดในพริบตา!
ลูกกลอนวิญญาณที่หลอมขึ้นจากวิญญาณไม่สมบูรณ์ของไป่ลี่ พลานุภาพความยิ่งใหญ่ช่างน่าตกตะลึง
ท้ายสุด จังหวะที่สวี่ชิงลืมตาขึ้น ในดวงตามีแสงม่วงเปล่งประกาย ช่องเวทที่เจ็ดสิบเก้าในร่างเปิดออกฉับพลันจากเสียงสะท้อนก้องปึงปังในร่างกาย!
กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามกำลังไหลเวียนบนร่างเขา พลังเวทที่น่าตกตะลึงปะทุอยู่ในร่าง น้ำทะเลรอบด้านโหมคลื่น พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยกระดับขึ้นไปไม่น้อยเลย
“เปิดช่องเวทไปตั้งสิบเอ็ดช่อง…ในลูกกลอนวิญญาณนี้ น่าจะไม่ใช่แค่วิญญาณไม่สมบูรณ์ของไป๋ลี่เท่านั้น!” สวี่ชิงรู้สึกตกตะลึง เริ่มคาดเดาถึงเรื่องที่นายท่านหกบอกไว้ว่าต้องใช้ดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์มาสกัดหลอม และในดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์นี้น่าจะ…ครอบคลุมถึงดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ของบรรพจารย์ทั้งสี่เผ่ารวมถึงดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ของผู้บำเพ็ญทั้งสี่เผ่าอีกจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว
แม้ทั้งสี่เผ่าล้วนถูกกลืนกินไปเกือบหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็มีจำนวนมากมายมหาศาล เช่นนี้วิญญาณไม่สมบูรณ์ที่ดึงออกมาจากพวกเขา ต่อให้เป็นแค่ส่วนน้อย เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกัน พลานุภาพจึงน่ากลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ยังมีอีกสิบเอ็ดช่องเวท ข้าก็สามารถจุดไฟชีวิตดวงที่สามได้แล้ว!” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ จากนั้นก็ตรวจสอบถุงเก็บของ ด้านในมีกล่องปรารถนาอยู่สองใบ นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเปิดมันอย่างไรก็หล่อเลี้ยงในเวลาที่ว่างมาโดยตลอด จนปัจจุบันห่างจากความสำเร็จไม่ไกลแล้ว
สวี่ชิงถอนสายตากลับมา เงยหน้ามองไกลๆ ไปยังทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณด้านหลัง หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมด เขาก็คิดถึงหัวหน้าเหลยขึ้นมาบ้างแล้ว
ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งเดือนนี้ สงครามของเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทร ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น อันดับแรกคือองค์ชายสามสร้างเรื่องน่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
หลังจากเริ่มสงคราม สวี่ชิงก็ไม่เห็นองค์ชายสามอีกเลย จนกระทั่งเรื่องนี้ปรากฏขึ้นมา เขาจึงรู้ว่าที่แท้ตอนนี้สงครามเพิ่งเริ่ม องค์ชายสามก็รับภารกิจปลุกระดมมาภารกิจหนึ่ง
สวี่ชิงไม่รู้ว่าองค์ชายสามทำได้อย่างไร เขาได้ปลุกปั่นพันธมิตรสำคัญของเผ่าสิงซากสมุทรสามเผ่าได้สำเร็จ ทำให้สามเผ่านี้แปรพักต์ในสนามรบแผ่นดินหลักของเผ่าสิงซากสมุทร ทำให้สถานการณ์ที่เผ่าสิงซากสมุทรกำลังทอนเจ็ดเนตรโลหิตในแผ่นดินหลักตนเองแต่เดิมเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา จนมีแววย่อยยับ
และเรื่องนี้ก็ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์ลูกโซ่อีก ด้านหนึ่งคือทำให้เจ็ดเนตรโลหิตพลังเพิ่มขึ้น ราบรื่นไปเสียทุกเรื่อง อีกด้านหนึ่งคือทางด้านแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ โดยเฉพาะทางพันธมิตรเจ็ดสำนัก ก็เหมือนถูกการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์สงครามเล่นงานจนตั้งตัวไม่ทันเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าพันธมิตรเจ็ดสำนักหวังจะเห็นเจ็ดเนตรโลหิตและเผ่าสิงซากสมุทรทอนกำลังลง ดังนั้นตั้งแต่เริ่มสงครามนี้จึงอยู่ในฐานะผู้ชม จนกระทั่งเจ็ดเนตรโลหิตมาถึงดินแดนหลักเผ่าสิงซากสมุทร พวกเขาจึงเกิดความระแวดระวังขึ้น
เพราะว่า…ดินแดนหลักเผ่าสิงซากสมุทร อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไม่ไกลมาก
พูดให้ถูกก็คือ ดินแดนหลักเผ่าสิงซากสมุทร เกาะรอง หมู่เกาะเผ่าเงือกนั้นเป็นเส้นตรงเชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์กับเจ็ดเนตรโลหิต
จวบจนก่อนหน้าที่แผนการปลุกปั่นขององค์ชายสามจะสำเร็จ พันธมิตรเจ็ดสำนักก็จับตามองสถานการณ์สงครามอย่างใกล้ชิด พวกเขาหวังว่าสงครามนี้จะลากยาวต่อไป หวังว่าเจ็ดเนตรโลหิตจะถูกทอนพลัง แต่ความสำเร็จขององค์ชายสาม เปลี่ยนแปลงท่าทีของพวกเขาไปแล้ว
ถัดมา พันธมิตรเจ็ดสำนัก ก็เริ่มแทรกแซงสงครามศึกนี้
จากนั้น ในเจ็ดเนตรโลหิตก็ปรากฏเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับสงครามขึ้นมา มีคนคาดเดาว่าสงครามศึกนี้กำลังจะจบลงแล้ว การแทรกแซงของพันธมิตรเจ็ดสำนัก จะทำให้เจ็ดเนตรโลหิตทางนี้โจมตีต่อได้ยาก
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
เขาเตรียมจะออกไปด้านนอกเสียหน่อย จะกลับไปยังฐานที่มั่นคนเก็บกวาดสักรอบ กลับไปยังพื้นที่ต้องห้าม ไปกวาดหลุมศพหัวหน้าเหลย จากนั้นก็จะกลับไปดูว่าสามารถหาร่องรอยของกางเขนกับเขี้ยวหงส์ได้หรือไม่
สองปีผ่านไป ไม่รู้ว่าพวกเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
สวี่ชิงจ้องจุดห่างออกไปเขม็ง ลุกขึ้นยืน เก็บเรือใหญ่เวท เดินตรงไปยังค่ายกลส่งข้าม ระหว่างทางเขาก็เห็นนายกองที่กำลังต่อรองราคากับพ่อค้าแผงผลไม้ และท้ายสุดก็ควักเหรียญวิญญาณออกมาจ่ายซื้อผิงกั่วถุงหนึ่งอย่างปวดใจ
พอเห็นสวี่ชิง นายกองก็โยนผิงกั่วมาให้ ส่วนตนเองก็หยิบลูกหนึ่งขึ้นมากัด พิจารณาสวี่ชิง จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“จะไปข้างนอกหรือ พาข้าไปด้วย พาข้าไปด้วย”
สวี่ชิงรับผิงกั่วไว้ เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะมาพบกับนายกองโดยบังเอิญ ดังนั้นในตาจึงมีแววสงสัยขึ้นมา
นายกองกระแอมเสียงหนึ่ง กัดผิงกั่วไปพลางถอนหายใจ
“ไม่มีทางเลือกนี่ ภารกิจที่ตาแก่ให้ข้าคือให้ข้าคอยปกป้องติดตามเจ้าก่อนที่เขาจะกลับมา ข้าคิดว่าตาแก่เองก็คงจะร้อนรนพอควร บอกจะรับศิษย์ก็รับศิษย์ไปสิ ยังต้องให้ทดสอบนั่นทดสอบนี่อีก พอตอนนี้ได้แล้วก็ดันร้อนรน รีบกลับไปยังสนามรบอีกรอบ”
นายกองยักไหล่ ขายนายท่านเจ็ดอย่างไม่ลังเลทันที
สวี่ชิงเผยสีหน้าประหลาดใจ หลังจากคิดๆ เขาก็ไม่ปฏิเสธ
ถึงอย่างไรค่าหัวเผ่าสิงซากสมุทรเองก็ยังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าตอนที่ไปยังผืนอินทนิล เฉินเฟยหยวนเองก็บอกถึงความชั่วร้ายของผืนอินทนิล ดังนั้นตอนออกไปข้างนอกถ้าหากนายกองอยู่ข้างๆ ระดับความปลอดภัยก็คงจะสูงขึ้นมาหน่อย
แต่ในทางกลับกัน อาจจะยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิมก็เป็นได้
“ข้าจะกลับบ้านเสียรอบหนึ่ง” สวี่ชิงมองนายกอง
“กลับบ้านหรือ เช่นนั้นข้าก็เป็นแขกสินะ ฮ่าๆ ไปๆๆ ช่วงนี้อยู่แต่ในสำนักจนว้าวุ่นแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” นายกองพูด ดูกระตือรือร้นกว่าสวี่ชิงเสียอีก รีบร้อนเดินตรงไปทางค่ายกลส่งข้าม
“เจ้าทำเรื่องอะไรไว้ใช่ไหม คิดจะหนีความผิดอยู่สินะ” สวี่ชิงประหลาดใจ
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” นายกองส่ายศีรษะทันที หลังจากมาถึงค่ายกลส่งข้ามอย่างรวดเร็วก็ถามสวี่ชิงถึงสถานที่ จากนั้นก็ปรับการส่งข้าม ระหว่างที่สวี่ชิงกำลังสงสัย ร่างทั้งสองคนก็หายไปในค่ายกลส่งข้าม
และพอนายกองออกไปไม่นาน เสียงคำรามด้วยความโกรธก็ดังลอดออกมาจากยอดเขาลำดับหก
“เจ้าตะพาบน้ำเฉินเอ้อหนิว กัดมันไปเสียทุกอย่างเลยหรือ”
จิตเทพวูบหนึ่งระเบิดฉับพลันออกมาจากยอดเขาลำดับหกตามเสียงคำรามโกรธ กวาดไปทั้งเมืองหลัก ค้นหาร่างของนายกอง แต่ก็ไม่เป็นผล…
ดังนั้นในป่าด้านหลังตำหนักใหญ่ยอดเขาลำดับหก นายท่านหกจ้องมองถ้ำแห่งหนี่งที่ถูกอำพรางไว้ด้วยสีหน้าปั้นยาก คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ในยอดเขาลำดับหกได้ มีเพียงคนในลำดับเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเป็นคนระดับสูงสุดสองสามคนนั้นด้วย จึงจะมีอำนาจทำให้ค่ายกลไม่แจ้งเตือนภัย
ถ้ำนี้ลึกมาก คดเคี้ยวเข้าไปยังส่วนในของภูเขา ในนั้นเป็นที่อยู่ของแหล่งกำเนิดพลังปราการสงครามของยอดเขาลำดับหก
แหล่งกำเนิดพลังยอดเขาลำดับหกเป็นความลับ ในนี้ถูกหมอกลวงตากลุ่มหนึ่งปกคลุมไว้ ดูยากมากว่าด้านในคือสิ่งใด แต่ในสายตาของนายท่านหก มองเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน
เขามองเห็นบนนิ้วเท้าของแหล่งกำเนิดพลัง มีรอยฟันกัดลึกอยู่รอยหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อยังหายไปส่วนหนึ่งอีกด้วย
“เฉินเอ้อหนิวชาติที่แล้วเป็นสุนัขหรือไร เห็นอะไรก็กัดไปหมด!” นายท่านหกสูดลมหายใจลึก ความกรุ่นโกรธในใจค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นจึงเงยหน้ามองไปยังต้นกำเนิดพลังที่ถูกหมอกลวงตาปกคลุมอีกครั้ง
“เจ้าเด็กนั่นน่าจะเห็นแล้ว และน่าจะเดาออกแล้วด้วย…แต่เขาก็ควรจะรู้จักบันยะบันยังบ้าง รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ถึงอย่างไรวันที่สะกดไป่ลี่วันนั้น ข้าก็ฝืนไม่ไปใช้งานพลังต้นกำเนิด…ถ้าเขาโพล่งออกมาล่ะก็ บรรพจารย์คงได้ถลกหนังเขาออกมาแน่”