บทที่ 221 ความลับของเจ็ดเนตรโลหิต
“นายกอง ทำไมเจ้าตัวสั่นล่ะ”
ส่วนตะวันออกทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ที่เมืองเขากวาง บนค่ายกลส่งข้าม
ร่างของสวี่ชิงและนายกองปรากฏขึ้นจากแสงสว่างเจิดจ้าของการส่งข้าม
สวี่ชิงยังคงอำพรางหน้าตาด้วยความเคยชิน ส่วนนายกองทางนั้นก็ดูชำนาญยิ่งกว่า ปลอมตัวเป็นชายกลางคน เพียงแต่ตอนที่เดินออกจากค่ายกลส่งข้าม สองขาของเขาก็สั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชิงประหลาดใจ
“สั่นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร สวี่ชิงเจ้ามองผิดแล้วล่ะ” นายกองกระแอมไอ ออกแรงตบลงไปบนขาของตนเอง
สวี่ชิงนิ่งเงียบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านายกองจะต้องไปก่อเรื่องใหญ่อะไรมาแน่นอน หนำซ้ำยังไม่ใช่เรื่องเล็กอีกด้วย ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หลังจากมาถึงที่นี่แล้วยังสั่นระริกเช่นนี้ตามนิสัยบ้าคลั่งของนายกอง
ในเมื่อนายกองไม่พูด สวี่ชิงเองก็ไม่ถาม หลังจากเดินออกจากค่ายกลส่งข้าม เขาก็มองไปยังเมืองเขากวางที่คุ้นเคยและแฝงด้วยความแปลกหน้าอยู่เล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพหลังจากที่ตนเองเผาสำนักวัชระไปเมื่อครั้งนั้น แล้วส่งข้ามจากที่นี่ออกไป
สวี่ชิงเดินตรงไปเบื้องหน้าพร้อมกับรำลึกความทรงจำ
แม้ที่นี่จะเป็นเมืองย่อยของเจ็ดเนตรโลหิต แต่ตำแหน่งก็ค่อนข้างห่างไกล ความเลวร้ายของสภาพแวดล้อม ทำให้สถานที่นี่สกปรกและวุ่นวายกว่าเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตมาก มองเห็นแต่สิ่งเน่าเหม็นบนพื้นดินทุกแห่งหน ร่างผอมโซราวกับฟืนแต่ละร่างที่นั่งอยู่ตามหัวถนนมุมกำแพง ส่วนใหญ่ล้วนกำลังเหม่อมองท้องฟ้า
ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยความหดหู่
สวี่ชิงเดินไปเงียบๆ บนถนนโดยไม่พบกับพวกสายตาคับแคบ ถึงอย่างไรสถานที่ยากจนข้นแค้นแม้ว่านิสัยคนจะบ้าคลั่ง แต่การเอาชีวิตรอดในสถานที่เช่นนี้ได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่พวกโง่เขลา
พวกเขาสามารถแยกแยะได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าใครรังแกได้ ใครที่ไม่ควรไปยุ่งด้วย
สวี่ชิงกับนายกองที่พวกเขาสัมผัสได้คือข้อหลัง
“สวี่ชิง เจ้าไม่สงสัยเลยจริงๆ หรือ” ตอนที่เดินมาถึงประตูเมืองเมืองเขากวาง นายกองก็อดรนทนไม่ไหว ล้วงเอาผิงกั่วลูกหนึ่งออกมากัดอย่างไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมรอบๆ เลย แต่กลับรู้สึกแปลกใจที่สวี่ชิงสามารถอดทนไม่ถามออกมาได้จริงๆ
“สงสัย” สวี่ชิงไม่หันหน้ามา หลังจากเดินออกจากเมืองเขากวาง จ้องมองสถานที่ที่ตนเองใช้ชีวิตมาเจ็ดปี แต่สุดท้ายก็กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามซากปรักหักพังจากการลืมตาของเทพเจ้า
เมืองเขากวาง ห่างจากเมืองเล็กที่เขาเคยอยู่ในอดีตไม่ไกลนัก
“เจ้าดูเหมือนจะไม่อยากรู้เลย…เอาเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าเคยเห็นสมาชิกกลุ่มข้า แล้วยังติดค้างอยู่อีกห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ ข้าจะเผยออกมาให้เสียหน่อยก็ได้”
“ท่านบรรพจารย์กำลังเดินหมากกระดานใหญ่! ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าพูดต่อไป ท่านบรรพจารย์ได้ถลกหนังข้าออกมาแน่!” นายกองเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
สวี่ชิงร้องโอ้ขึ้นมา เดินต่อไปอย่างเร็วรี่อย่างไม่คิดจะกลับไปที่ซากเมืองนั่น ในตอนนี้ไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดที่นั่นอยู่อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครั้งหนึ่งเคยถูกบรรพจารย์สำนักวัชระไล่สังหารด้วย ซ้ำยังมีบ่วงกรรมกับสิ่งประหลาดที่นั่นอีก
จะไปอีกครั้งก็ไม่มีความหมาย
ดังนั้นทิศทางของสวี่ชิง จึงเป็นฐานที่มั่นคนเก็บกวาด
นายกองเดินอยู่ข้างกายเขาพลางมองไปยังที่รกร้างรอบๆ เวลานี้ที่นี่คือช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ร่องรอยของหิมะบนพื้นยังพอมองเห็นอยู่บ้าง ลมที่พัดมาเองก็ไม่ค่อยจะมีความเป็นฤดูใบไม้ผลินัก แม้จะไม่ได้แช่แข็งพื้นดิน แต่ยังคงแช่แข็งผู้คนได้
“ข้าจะบอกเจ้านะสวี่ชิง นายท่านหก…เขาเองก็เป็นนักแสดงตัวยงเช่นกัน ครั้งนั้นบนเกาะดาราสมุทร เขาเองก็แสดงละครที่ยอดเยี่ยมไปฉากหนึ่งด้วย” พอนายกองเห็นว่าสวี่ชิงยังไม่ยอมถามต่อ ในใจก็คันยุบยิบ อดใจอวดสิ่งที่ตนเองพบเห็นมาไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาทั้งหมด
สวี่ชิงพยักหน้า
“ไอ้หยา สวี่ชิง ข้าต้องตำหนิเจ้าเสียหน่อยแล้ว เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย” นายกองจนปัญญาอยู่บ้าง กัดผิงกั่วเต็มแรง
“เจ้าไม่รู้เอาเสียเลยว่าข้าไปเห็นอะไรมาในยอดเขาลำดับหก มันน่าตกตะลึงมาก เกินคาดสุดๆ นี่เป็นกระดานหมากที่ใหญ่ระดับสวรรค์เลยทีเดียว
“ที่แท้คนพอยิ่งแก่ ก็ยิ่งเฉียบแหลมจริงๆ เหล่านายท่านพวกนั้นของเจ็ดเนตรโลหิต แต่ละคนล้วนเอาชีวิตคนไว้บนฝ่ามือได้ทั้งนั้น”
นายกองสูดลมหายใจ ดูปลดปลงมาก
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาฟังถึงจุดนี้ก็ยังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าเรื่องใหญ่ที่นายกองทำ น่าจะเกี่ยวข้องกับนายท่านหก และเขาก็คิดถึงฉากที่นายกองเห็นภูเขายอดเขาลำดับหกเปล่งแสงออกมา ใจเขาจึงกระตุก
“นายกอง เจ้าไปแทะอะไรในยอดเขาลำดับหกมาใช่หรือไม่”
นายกองเลิกคิ้วขึ้น ไม่พอใจเล็กน้อย
“กัดอะไรของเจ้า รองนายกอง ข้าจะเตือนเจ้าหน่อยนะ ใครเขาพูดกับระดับเจ้ากรมเช่นนี้กัน!”
“ข้าคือเจ้ากรมปราบพิฆาต” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า!” นายกองกินผิงกั่วจนหมด หยิบเอาสาลี่ลูกหนึ่งออกมาด้วยสีหน้ากะไว้แล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้
“ข้ายังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์เลย” สวี่ชิงตอบกลับ
“ยังไม่เข้าไปพบกับฝ่าพระบาทอีกหรือ!” นายกองเชิดหน้า จ้องมองสวี่ชิงอย่างหยิ่งผยอง
สวี่ชิงนิ่งงัน เขาพบว่าครั้งนี้ตนเองคงเอาชนะนายกองไม่ได้จริงๆ จึงทำเป็นไม่ได้ยิน เดินหน้าต่อ และด้วยความเร็วในปัจจุบันของเขา จากเมืองเขากลางจนถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาด เพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็เพียงพอ
ดังนั้นขณะที่พูดคุยกันตอนนี้ เขาก็ข้ามยอดเขา มองเห็นฐานที่มั่นคนเก็บกวาดด้านล่างภูเขาอยู่ลิบๆ แล้ว และมองเห็นป่าผืนดำสนิทห่างออกไปด้วย
ยืนมองจากตรงนี้ หมอกดำปกคลุมด้านบนของป่าพื้นที่ต้องห้าม สายอัสนีแต่ละสายฟาดผ่าลงไปในพื้นที่ต้องห้ามเป็นครั้งคราว ส่งเสียงครืนครันออกมา
นายกองกวาดตามองพื้นที่ต้องห้ามที่ห่างออกไป เผยสีหน้าเกินคาด
“พื้นที่ต้องห้ามนี้ใหญ่จริงๆ ด้านในมีคลื่นความเป็นเทพอยู่ด้วย!”
สวี่ชิงพยักหน้า เขาในอดีตพลังบำเพ็ญอ่อนแอ และไม่รู้จักความเป็นเทพ เมื่อกลับมายืนที่นี่ เขาก็สัมผัสถึงคลื่นความเป็นเทพที่แผ่ซ่านออกมาในพื้นที่ต้องห้ามผืนนั้นได้อย่างชัดเจน
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา จ้องมองฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ที่นั่นยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และยังได้ยินได้เสียงหัวเราะเหิมเกริมด้านในอีกด้วย
สวี่ชิงถอนสายตากลับมา เดินตรงไปด้านหน้า นายกองกระแอมไออยู่ข้างๆ
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ข้ายอมให้เจ้ามาตลอด แต่ว่าเจ้าก็อย่าท้อถอยสิ เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป ข้าบอกเจ้าไม่ได้
“ที่จริงเรื่องนี้มันแพร่ไปจนถึงสนามรบแล้ว เจ้าแค่ไม่รู้ หลังจากตอนนั้นที่ข้าเข้าไปในยอดเขาลำดับหก ตอนที่เห็นด้านใน ข้าก็อึ้งไปเลย
“นอกจากนี้ ข้ายังรู้สึกว่าการพัฒนาในอนาคตของเจ็ดเนตรโลหิตภายใต้การนำของพวกนายท่านเหล่านี้ ก็น่าจะไม่เลวนักอีกด้วย…
“เจ้าไม่อยากจะรู้จริงๆ หรือ ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้าลองพูดอะไรที่ข้าชอบฟังออกมาดู แล้วข้าจะลองเสี่ยงโดนถลกหนังเพื่อบอกเจ้าดูเป็นอย่างไร”
เห็นได้ชัดว่านายกองกุมความลับอยู่คนเดียว พยายามจะทำให้สวี่ชิงอยากรู้อยากเห็นตลอดทางระหว่างที่ลงจากเขา แต่สุดท้ายการโอ้อวดของตัวเขาก็ทำให้ตนเองร้อนรนยิ่งกว่าสวี่ชิงเสียอีก
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ไม่พูดสักคำ เดินเข้าไปในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด
สิ่งที่สะท้อนมาเบื้องหน้าก็ยังคงไม่แตกต่างจากภาพในความทรงจำ บนพื้นยังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก รอบๆ ล้วนสภาพซอมซ่อ คนเก็บกวาดในเสื้อขนสัตว์ บ้างก็สกปรกมอมแมม บ้างก็ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
และการมาถึงของสวี่ชิงกับนายกองก็ทำให้ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดที่อึกทึกนี้ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบสงบ คนเก็บกวาดส่วนใหญ่พากันถอยหลัง สีหน้าเผยแววเอาอกเอาใจ
เพียงแต่สวี่ชิงรู้ว่าเบื้องหลังการเอาอกเอาใจนี้ คือกำลังตรวจสอบว่าสามารถฉกชิงวิ่งราวได้หรือไม่
สวี่ชิงกวาดตามอง ไม่สนใจ เขาไม่พบเงาที่คุ้นเคยในนี้เลย ถึงอย่างไรเวลาสองปีก็ไม่แตกต่างอะไรกับชีวิตทั้งชีวิตสำหรับคนเก็บกวาดส่วนใหญ่
จนกระทั่งสวี่ชิงเดินมาถึงสถานที่ที่เคยพัก เขาหยุดฝีเท้าที่นี่
บ้านหลังนี้ มีคนอื่นเข้ามาอยู่แล้ว
ครู่ต่อมา สวี่ชิงถอนใจเบาๆ ในใจ หันหลังเดินจากไป นายกองก็เห็นบ้านหลังนี้ ในใจลึกๆ ก็รู้ว่าน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของสวี่ชิงในอดีต ขณะที่เดินออกไปพร้อมสวี่ชิง ทันใดนั้นนายกองก็มองเห็นกระโจมหลังหนึ่ง
เหนือกระโจมนั้นแขวนขนนกเส้นหนึ่งเอาไว้
นายกองแตกต่างกับสวี่ชิงตอนเด็กตรงที่ไม่รู้เรื่องในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดหรือถ้ำยาจกเลยว่ากระโจมที่มีขนนกนี่มีไว้เพื่ออะไร แต่ไม่นานเมื่อเขาเห็นคนหิ้วกางเกงเดินออกมาจากด้านใน เขาก็รู้คำตอบ
“อย่างนี้นี่เอง เหมือนกับซ่องนางโลมสินะ เพียงแต่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดใช้ขนนกมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น” นายกองกระจ่างแจ้งในทันที ตอนกำลังจะดึงสายตากลับ แต่พริบตาต่อมาเขาก็จ้องมองขนนก จากนั้นก็มองมาทางสวี่ชิง
“สวี่ชิง ตอนนั้นบนเกาะเงือก หลังจากเจ้าเห็นข้าที่หายไปครึ่งตัว บอกว่าจะส่งขนนกให้ข้าเส้นหนึ่ง…”
สวี่ชิงเหลือบมองเขา หยิบผิงกั่วขึ้นมากัดคำหนึ่ง เดินออกไปด้านนอก
นายกองแค่นเสียง เหลือบมองขนนก หันหลังวิ่งไป และไม่รู้ว่าไปเจรจาไว้อย่างไร ตอนเขาวิ่งกลับมาหาสวี่ชิงก็มีขนนกถึงเจ็ดแปดเส้นอยู่ในมือ
“เจ้านี่น่าสนใจดี กลับไปจะให้จางซานด้วยเส้นหนึ่ง”
สวี่ชิงเดินออกจากฐานที่มั่นคนเก็บกวาด เหลือบมองขนนกเหล่านั้นในมือนายกองผาดหนึ่ง ตอนที่เข้าใกล้พื้นที่ต้องห้าม จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้น
“นายกอง เจ้าไปเห็นอะไรในยอดเขาลำดับหกหรือ”
นายกองเผยรอยยิ้ม ที่เขารออยู่ก็คือประโยคนี้ของสวี่ชิง ยิ่งไปกว่านั้นยังอุบเอาไว้ตลอดทาง ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว หลังจากเก็บขนนกลงไป เขาก็มองไปรอบๆ เอ่ยเสียงต่ำ
“ก่อนที่จะบอกคำตอบกับเจ้า เจ้าลองนึกย้อนถึงเส้นทางของสงครามสำนักครั้งนี้ดูเสียก่อน
“แรกสุดยอดเขาลำดับเจ็ดจัดตั้งสถานที่ประลองไว้บนเกาะเงือก จากนั้นก็ดึงดูดเผ่าสิงซากสมุทรมา จู่ๆ บรรพจารย์ก็ทะลวงขั้น…จากนั้นเกาะเผ่าเงือกก็กลายเป็นกรมสั่งการแนวหน้า ก่อร่างสร้างขึ้นมาราวกับเป็นถังเหล็ก
“จากนั้นก็ประกาศสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร รุกคืบไปเบื้องหน้าทีละก้าว โจมตียึดครองเกาะรอง ตอนนี้ตีไล่ขึ้นไปถึงดินแดนหลักเผ่าสิงซากสมุทร
“ในทะเลต้องห้ามก็กลายเป็นแนวเส้นตรงเส้นหนึ่งเช่นนี้ ที่ทำให้เจ็ดเนตรโลหิตที่เดิมทีระยะทางอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินต้องประสงค์เปลี่ยนเป็นใกล้เข้ามาแล้ว…”
สวี่ชิงเพ่งสมาธิ
“เช่นนั้นเป้าหมายของสำนักคืออะไรกันแน่ ใช่การเล่นงานเผ่าสิงซากสมุทรทั้งหมดหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเล่นงานเผ่าสิงซากสมุทร…เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายกลยุทธ์เชิงลึกเท่านั้น”
นายกองเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ในยอดเขาลำดับหก ข้าเห็นรูปปั้นบรรพชนศพที่ไม่ใช่ของเผ่าสิงซากสมุทร ไม่ใช่หนึ่งในเก้าองค์นั้น…มันเป็นแหล่งพลังงานของปราการสงครามยอดเขาลำดับหก”