เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 323 ไม่อาจดูหมิ่นคนทั่วหล้า

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 323 ไม่อาจดูหมิ่นคนทั่วหล้า

เมื่อเห็นท่าทางตีสนิทของจี้หยวน ชายหนุ่มคนนี้กลับเกร็งอยู่บ้าง ถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็ดูเหมือนมีความรู้ บนศีรษะยังปักปิ่นหยกด้วยไม่ใช่หรือ

“ถะ ถ้าอย่างนั้นท่านไปพร้อมข้าเถอะ ความจริงไม่ต้องกังวลอะไร แม้ว่าช่วงนี้ใช้ชีวิตลำบาก แต่หมู่บ้านชาวประมงใกล้เคียงล้วนอัธยาศัยดี อีกอย่างท่านเป็นบัณฑิตด้วยกระมัง”

จี้หยวนก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมชายหนุ่ม เขาพยักหน้าพลางกล่าวตอบ

“แน่นอนว่าเคยเรียนมาก่อน เจ้าพูดเช่นนี้ข้าคนแซ่จี้ค่อยวางใจ จริงสิ ไม่ทราบว่าน้องชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

วิธีการซักถามของจี้หยวนทำให้ชายหนุ่มไม่คุ้นเคยนัก เขาเกาศีรษะพลางกล่าวตอบ

“คุณชายท่านอย่าพูดเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะมีชื่อเสียงเรียงนามอะไร แค่ชื่อว่าเหลียงผิงเล่อ”

“อ้อ น้องเหลียง ผิงอันฉางเล่อ (ปลอดภัยเป็นสุข) ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าตั้งชื่อแฝงนัยไม่เลว!”

จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวประโยคหนึ่ง ทำให้เหลียงผิงเล่อเผยรอยยิ้ม ชื่อนี้ปู่ของเขาเป็นคนตั้ง ได้รับการยอมรับจากบัณฑิตมีความรู้ ถือว่าควรค่าแก่การยินดี

หลังจากพูดคุยกันชั่วขณะ จี้หยวนรู้จักเหลียงผิงเล่อบ้างแล้ว ตอนนี้สายตาเขากลับมองไปทางหมู่บ้านห่างไกล

“น้องเหลียงบอกข้าคนแซ่จี้ได้หรือไม่ พวกเจ้าต้องการปัดรังควาน สิ่งชั่วร้ายที่ต้องปัดเป่านั้นคืออะไร ข้าคนแซ่จี้ถือว่าไปมาหลายที่ ชอบฟังเรื่องแปลกพวกนี้นัก”

ตอนนี้เหลียงผิงเล่อเดินคุยกับจี้หยวนจนผ่อนคลายลงทีละน้อย ถึงขั้นมีความรู้สึกเป็นเกียรติด้วยคุยกับคนมีความรู้ เมื่อได้ยินจี้หยวนถามอย่างสงสัย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้อห้ามจึงเล่าออกมาจนหมดเปลือก

“คุณชายท่านยังไม่ทราบ หมู่บ้านติดทะเลอย่างพวกเราล้วนเป็นชาวประมงจับปลา โดยเฉพาะการจับปลาตรงชายฝั่ง ข้อดีอย่างหนึ่งคือภาษีไม่หนักเหมือนการทำนาเพาะปลูก ดังนั้นพวกเราแค่หาปลาตามชายฝั่งเดิมก็พอผ่านวันเวลาไปได้ ทว่าเริ่มตั้งแต่ปลายปีก่อน ใกล้ฝั่งหาปลายากขึ้นมาก”

“เป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าปลาถูกจับหมดหรอกหรือ”

จี้หยวนเอ่ยถามลอยๆ

“มหาสมุทรไร้ขอบเขต ปลากุ้งปูในทะเลมากนับไม่ถ้วน จับหมดได้อย่างไร อย่างมากยามกระแสน้ำผิดปกติอาจน้อยลงหน่อย มีหรือจะจับปลาไม่ได้ตลอด”

“ก็ถูก”

จี้หยวนกล่าวคล้อยตาม ด้วยทักษะกับจำนวนคนของหมู่บ้านชาวประมงเหล่านี้ แน่นอนว่าไม่มีทางใช้ทรัพยากรการประมงทั่วทะเลจนหมด

“ด้วยเหตุนี้จึงสงสัยว่ามีสิ่งชั่วร้ายหรือ”

“คุณชายท่านกล่าวตรงประเด็นแล้ว เพื่อนบ้านตามชายฝั่งล้วนคิดเช่นนี้จึงเชิญนักพรตมาดู ผลลัพธ์คือเชิญนักพรตมาหลายคนแต่มองไม่ออก เซ่นไหว้ฟ้าดินเทพผีล้วนไม่มีประโยชน์”

จี้หยวนไม่หยุดฝีเท้า หันกลับไปมองเหลียงผิงเล่อ

“ในเมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์ เหตุใดครั้งนี้ถึงเกณฑ์คนมาอีกเล่า”

“ใช่ว่าปัญหาไม่มีทางแก้ไปตลอด ทางการไม่สนใจ ผู้อาวุโสหลายหมู่บ้านร่วมกันพิจารณา คิดว่านักพรตที่เชิญมาไม่ร้ายกาจพอหรือไม่ ต่อให้มีเกาะลมสงบอยู่ แต่ระหว่างนั้นยังต้องผ่านเส้นทางอีกมาก ตอนนี้ยังไม่ปลายปี ทุกคนต่างกัดฟัน ทุกครัวเรือนหลายหมู่บ้านต่างร่วมกันออกเงิน เชิญนักพรตร้ายกาจมา วิชาย่อมแก่กล้าจนพวกก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้!”

จี้หยวนทำหน้าตกใจเล็กน้อยพลางพยักหน้า

“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้ รวมปราณมนุษย์เสริมเปลวเพลิง นักพรตคนนี้มีวิชาอยู่บ้างจริงๆ”

“หือ ท่านเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”

“ข้าไปมาหลายที่ เจอเหตุการณ์ใกล้เคียงมากมาย เรื่องน่าสนุกที่สุดคือมีนักพรตนับร้อยพันกระโดดไปมา น่ามองนัก”

จี้หยวนนึกถึงงานชุมนุมวารีปฐพีเมื่อตอนนั้น กล่าวตอบอย่างเรียบง่ายประโยคหนึ่ง

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง!”

เหลียงผิงเล่อลองนึกภาพตามสิ่งที่จี้หยวนกล่าว รู้สึกว่าน่าสนุกมากจริงๆ ยามคิดมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มสองสามคนเลี้ยวออกมาจากทางด้านข้าง เมื่อเห็นเหลียงผิงเล่อแล้วกล่าวทักทาย

“โอ้ เสี่ยวเหลียงเจ้ามาด้วยหรือ คุณชายด้านข้างเป็นใคร ไม่เคยเห็น!”

“พี่เขย! ทุกครัวเรือนแต่ละหมู่บ้านต้องเกณฑ์บุรุษมาร่วมงานไม่ใช่หรือ ข้าอยากมาดูเช่นกัน อีกเดี๋ยวพ่อข้าค่อยมา อ้อ จริงสิ ท่านนี้คือคุณชายที่ข้าเพิ่งรู้จัก เป็นคนมีความรู้ มาจากสถานที่ห่างไกล เคยเจอเหตุการณ์ใกล้เคียงมาก่อน”

จี้หยวนประสานมือไปทางเหล่าผู้มาเยือน

“ข้าน้อยจี้หยวน เดินทางมาถึงที่นี่ อยากร่วมชมพิธีของที่นี่ด้วย”

ฐานะบัณฑิตยังใช้งานง่าย โดยเฉพาะผู้รู้รุกรู้ถอยบุคลิกไม่ธรรมดาอย่างจี้หยวน จากหน้าตามองไม่ออกว่าอายุเท่าไร แต่อย่างน้อยคงไม่เยาว์วัยแน่

คนด้านข้างไม่กล้าละเลย รีบคารวะตอบ เชิญจี้หยวนมุ่งหน้าต่อไปด้วยกัน

ใช่ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายอะไร ทั้งนักพรตยังบอกว่าหากมีปราณขุนนางปราณบุ๋นมาช่วยย่อมดีกว่า

ชายผู้ทักทายเหลียงผิงเล่อนามว่าจางฟู่ ช่างพูดกว่าเหลียงผิงเล่อนัก ก่อนหน้านี้จี้หยวนถามเหลียงผิงเล่อตอบตลอด ตอนนี้ถึงคราวจางฟู่จี้หยวนไม่ต้องพูดอะไร เขาพูดน้ำไหลไฟดับเล่าออกมาหมด

แม้ว่าจี้หยวนถือโอกาสถามเรื่องเกาะลมสงบก็ยังเล่าชัดเจน เป็นอย่างที่เขาคิดจริงดังคาด นั่นคือเกาะเล็กซึ่งเขาฝึกปราณก่อนหน้านี้ เดิมชื่อว่าเกาะเขาแหลม ตอนนี้ชาวประมงโดยรอบต่างเรียกว่าเกาะลมสงบ

เส้นทางที่เหลือไม่ยาวไกล ไม่นานพวกเขาก็เข้าหมู่บ้านเพียนวานมาพร้อมกัน ลานทรายหน้าหมู่บ้านถูกเก็บกวาดเป็นสถานที่จัดพิธีขนาดใหญ่แล้ว ภายในมีเสียงฆ้องกลองดังก้องฟ้า ทั้งมีกองไฟอยู่หลายแห่ง น่าจะจุดกองไฟตอนกลางคืน

จี้หยวนมองไกลออกไป แม้สายตาพร่ามัว แต่มองออกว่ามีคนมากมายเดินรอบลานทราย ตะโกนพร้อมผู้นำเป็นพักๆ พอถึงช่วงเวลานี้เสียงฆ้องกลองจะดังสนั่น

“หน้าหลังรอบทิศคือชาวบ้าน… รวมตัวที่นี่เสริมปราณหยาง…”

“เสริมปราณหยาง…”

“เสริมปราณหยาง…”

จี้หยวนมองอย่างอึ้งงันครู่หนึ่ง หันกลับไปพบว่าเหลียงผิงเล่อกับจางฟู่รับผ้าแดงส่วนหนึ่งมาจากหญิงชาวบ้านข้างๆ

“เอ่อ การกระทำของพวกเขามีชื่อเรียกหรือไม่”

จางฟู่ยื่นผ้าแดงผืนหนึ่งให้จี้หยวนซึ่งทำหน้าประหลาดใจ

“คุณชาย นักพรตคนนั้นบอกว่าผูกผ้าแดงนี้บนแขนแล้วป้องกันสิ่งชั่วร้าย คนทางนั้นผูกกันหมด ตรงลานทรายนั่นก็ใช่ ตอนนี้กำลังเร่งเพลิงหยาง”

“เร่งเพลิงหยาง? นักพรตนั่นเป็นคนบอกหรือ”

คำศัพท์ใหม่ จี้หยวนไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ใช่แล้ว สองวันนี้เร่งเพลิงหยาง พรุ่งนี้หลังจัดงานเลี้ยงพันคน พลบค่ำค่อยเริ่มตั้งกระบวนคบเพลิง กล่าวคำว่ามังกรชายฝั่งขับปีศาจร้าย สามารถขับปีศาจร้ายซึ่งทำให้ฝูงปลาตกใจได้! อีกหนึ่งเดือนฝูงปลาจะกลับมา!”

จางฟู่กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นอยู่บ้าง

จี้หยวนทำหน้าเข้าใจกระจ่าง พยักหน้าคล้อยตามความตื่นเต้นของเขา

“อ้อๆ… เปิดหูเปิดตาแล้ว ที่แท้เป็นเช่นนี้!”

“หึๆ แม้ว่าท่านเป็นคนมีความรู้ แต่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้แน่ คนที่พวกเราเชิญมาเป็นถึงนักพรตร้ายกาจมีชื่อเสียงทางแถบตะวันออกของเขตตงเทา ไม่มีปีศาจร้ายที่เขาปราบไม่ได้!”

จี้หยวนอดยิ้มไม่ได้

“แบบนี้ต้องทำความรู้จักหน่อย!”

“ไม่พูดแล้วๆ ท่านรีบผูกผ้าแดงเถอะ ตามพวกเราไปเร่งเพลิงหยางกัน! คนยิ่งเยอะยิ่งดี!”

จี้หยวนมองผ้าแดงในมือ ทั้งมองพวกจางฟู่กับเหลียงผิงเล่อซึ่งผูกผ้าบนแขนเสร็จแล้ว

“ข้าต้องผูกด้วยหรือ ในเมื่อผ้าแดงป้องกันสิ่งชั่วร้าย ข้าถือไว้บนมือน่าจะได้กระมัง”

“ระ เรื่องนี้นักพรตนั่นไม่เคยบอก”

“ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ถือว่าได้ ข้าคนแซ่จี้ขอถือไว้แล้วกัน จริงสิ นักพรตนั่นอยู่ตรงนั้นกระมัง”

จี้หยวนรีบกล่าวรวบรัดตัดจบ

“แน่นอนว่าใช่”

“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ!”

อยากกินอาหารของงานเลี้ยงคนอื่น แน่นอนว่าจี้หยวนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ความจริงเรื่องนี้น่าสนใจมาก ถือว่าเป็นการผ่อนคลาย เขาจึงตามพวกจางฟู่ไปลานทรายด้วย ไม่นานก็เดินเข้าฝูงชน

แต่จี้หยวนแค่เดินอ้อยอิ่งตามชาวบ้าน ไม่ได้ตะโกนด้วย เดินตามขบวนไปใกล้กองไฟ มองเห็นนักพรตมีชื่อเสียงคนนั้น

เขาสวมชุดแขนกว้างสีแดงสลับเหลือง บนนั้นปักลายยันต์แปดทิศพร้อมปลาคู่หยินหยาง ทั้งมีลายเมฆขดประดับอยู่ เหนือศีรษะยังสวมเกี้ยวสูงตกแต่งมุก กระบี่สมบัติเล่มหนึ่งพาดอยู่ด้านหลัง ถือแส้หางม้าในมือพลางโบกสะบัดไปมา ท่าทางดูเหมือนจริงจังนัก

สิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาของจี้หยวนอยู่บ้างคือบนตัวนักพรตคนนี้ถึงกับมีปราณวิญญาณและพลังหมุนวนอยู่จริง ถึงแม้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังแปลง’ ไม่ใช่วิชาแท้จริง แต่อาศัยการเข้าฌานเพ่งไฟจิตมาหลอมพลังปราณวิญญาณ

บุคลิกและการแต่งกายของจี้หยวน เมื่ออยู่ท่ามกลางชาวประมงแล้วสะดุดตานัก ชาวประมงหลายคนต่างมองเขา แม้แต่นักพรตคนนั้นยังเหลือบมองจี้หยวน

เมื่อเห็นจี้หยวนยิ้มพลางพยักหน้ามาทางตน นักพรตอึ้งงันเล็กน้อย แม้โบกแส้หางม้าบนมือไม่หยุด แต่เขายังพยักหน้าตอบรับจี้หยวน

การเร่งเพลิงหยางนี้ต่อเนื่องถึงราตรี ยังดีว่าไม่ต้องเดินตลอด จี้หยวนแค่เดินสองสามรอบ ก่อนตามพวกจางฟู่ออกมา

ลานทรายริมทะเลจุดกองไฟแล้ว คนต่างหมู่บ้านซึ่งมาร่วมงานเร่งเพลิงหยางทยอยกลับไป รองานเลี้ยงพันคนกับตั้งกระบวนคบเพลิงพลบค่ำวันพรุ่งนี้

จางฟู่กับเหลียงผิงเล่อรวมถึงบิดาตระกูลเหลียงซึ่งตามมาสมทบยังไม่จากไป เดิมจางฟู่เป็นคนจากหมู่บ้านเพียนวาน ก่อนหน้านี้ไปเกณฑ์คนต่างหมู่บ้าน ตระกูลเหลียงกับตระกูลจางเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้จึงไม่กลับไป แน่นอนว่าแม้แต่จี้หยวนก็พักอยู่ตระกูลจาง

อาหารต้อนรับคือข้าวอบเผือกกับปลาเค็มนึ่ง เสริมด้วยน้ำแกงผักอีกชาม สมาชิกทั้งสองตระกูลกลัวว่าคนมีความรู้อย่างจี้หยวนอาจไม่ถูกปาก ตอนทำกับข้าวยังถามเรื่องอาหารที่แพ้หลายครั้ง รอเมื่อเห็นจี้หยวนกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่หน้าโต๊ะอาหารเย็นจึงวางใจ

หมู่บ้านชาวประมงโดยรอบอย่างหมู่บ้านเพียนวาน ไม่มีบัณฑิตมาสิบกว่าปีถึงยี่สิบปีแล้ว ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านพอฝืนเรียกว่ารู้อักษรอยู่บ้าง แต่เทียบกับจี้หยวนแล้วห่างกันไกล คนทั้งสองตระกูลต่างเห็นว่าจี้หยวนเป็นแขกคนสำคัญ

กลางดึกจี้หยวนออกจากหมู่บ้านชาวประมงมาถึงริมทะเลลำพัง กวาดมองตามคลื่นทะเล อย่างน้อยใกล้หมู่บ้านเพียนวานก็มองไม่เห็นปราณปีศาจร้าย แต่ความลึกลับของมหาสมุทรมากเกินไป ไม่อาจสรุปชัด เขาเตรียมรอจบเรื่องวุ่นวายนี้ คิดหาวิธีตรวจสอบสักหน่อย แน่นอนว่าไม่ลงน้ำได้เป็นดี

งานเลี้ยงพันคนวันต่อมาคึกคักผิดปกติ คนแต่ละหมู่บ้านต่างนำของบางส่วนมาหมู่บ้านเพียนวาน เดิมเรื่องนี้ไม่ใช่ธุระของหมู่บ้านเดียว ทุกคนร่วมมือกันจัดงานเลี้ยง ทั้งเป็นช่วงปีใหม่จึงมีบรรยากาศเฉลิมฉลอง

ตอนกินข้าวจี้หยวนพบว่าปราณเพลิงของคนหมู่บ้านเพียนวานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะตอนที่ชายนับพันเข้าแถวถือคบเพลิงยิ่งบรรลุถึงจุดสูงสุด

นี่ทำให้จี้หยวนพลันตระหนักว่านักพรตที่เชิญมาคนนั้นมีวิชาจริงๆ แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่พลังของอีกฝ่าย หากแต่เป็นการปลุกใจโดยนัย

หลังจากผ่านขั้นตอนเชิงพิธีการมามากขนาดนี้ ชายนับพันซึ่งกินดื่มจนอิ่มท้องหาญกล้า กอปรกับถือคบเพลิงมังกร คนมากมายเผยอานุภาพด้านจิตใจ มีความมหัศจรรย์คล้ายคลึงกับปราณดุดันของกองทัพ

จี้หยวนถือคบเพลิงอยู่ในขบวนเช่นกัน ส่วนนักพรตนั่นถือคบเพลิงอยู่ด้านหน้าสุด ตอนนี้เสียงเขาราวอสนีบาตกึกก้อง

“ทุกคนเตรียมตามมา ตั้งกระบวน… เดินเรียงแถว…”

ครู่ต่อมานักพรตคนนั้นถือคบเพลิงเดินนำก่อน ออกเดินทางจากหมู่บ้านเพียนวาน เดินเลียบผืนทะเลไปเบื้องหน้า ขบวนคบเพลิงห่อหุ้มด้วยปราณเพลิงโหมกระหน่ำ เคลื่อนขบวนจนมาถึงริมทะเล

ในขบวนจี้หยวนมองภาพนี้พลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง

“น่าสนใจอยู่บ้าง! ไม่อาจดูหมิ่นคนทั่วหล้าจริงๆ!”

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท