ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 294 ย้ายออกไป

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 294 ย้ายออกไป

ตอนที่ 294 ย้ายออกไป

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้ ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดี พวกลุงใหญ่ของฉันยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่“ หลังพูดจบเธอก็หันมองแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “หลังจากทุกคนแยกย้ายแล้ว ก็อยู่กับโหยวหย่งกันใช่ไหม?“

“ใช่ค่ะ พวกเราหลายคนอยู่กับโหยวหย่ง”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเหวินเชี่ยนไม่ได้อธิบายรายละเอียด ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แล้วถามเพียงแค่เรื่องที่จะจัดการในครั้งต่อไป “ตอนนี้โหยวหย่งกับหวังหู่ก็ได้ทำงานในหน่วยรักษาความปลอดภัยของสถาบันวิจัยแล้ว แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ?”

“พี่สะใภ้ ตั้งแต่นี้ไปฉันได้รับหน้าที่คอยคุ้มกันคุณกับคุณป้าค่ะ”

“คุ้มกันพวกเราเหรอ?”

สีหน้าของฉินมู่หลานเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมต้องตามคุ้มกันเราอีกล่ะ ฉันเพิ่งจะเปิดเรียน ไม่ต้องตามฉันนะ ส่วนทางฝั่งของแม่ จริง ๆ แล้วท่านไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่”

เนื่องจากต้องดูแลเด็กทั้งสอง เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในบ้าน

“พี่สะใภ้ นี่เป็นความคิดผู้กอง…สหายเซี่ยค่ะ วันนี้มีฉันมาแค่คนเดียวก็จริง แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีมาอีกหนึ่งคนค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็นึกไปถึงเรื่องเปลี่ยนงานของเซี่ยเจ๋อหลี่ทันที ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะน่ากลัวกว่าที่คิด เซี่ยเจ๋อหลี่จึงให้คนคอยตามคุ้มกันพวกเขาด้วย

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนพวกเธอด้วยนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหวินเชี่ยนจึงรีบโบกมือแล้วเอ่ย “พี่สะใภ้ พูดแบบนี้ได้ที่ไหนกันคะ อีกอย่างฉันก็สนุกที่ได้คอยติดตามพวกพี่สะใภ้ด้วยค่ะ”

ครั้งล่าสุดที่คอยตามคุ้มกันเหยาจิ้งจือและสามีของเธอสองคน จึงได้ทราบว่าครอบครัวของเซี่ยเจ๋อหลี่ใจดีมากแค่ไหน

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “จริง ๆ แค่พวกเธอมา พวกเราก็ดีใจ แม่คิดถึงพวกเธอมากเลย”

เหวินเชี่ยนก็มองออกเช่นกัน “จริง ๆ แล้วฉันก็คิดถึงคุณป้าเหมือนกันค่ะ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันในด้านนี้ อีกทางด้านหนึ่งซุนฮุ่ยหงก็กำลังมองสำรวจรอบเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ ก็ได้แต่รู้สึกว่ามันดีทุกอย่าง จึงหันมองแล้วเอ่ยถามซูหว่านอี๋อย่างเสียอดไม่ได้ “น้องสะใภ้ คืนนี้ครอบครัวเราจะพักกันที่นี่เหรอ?”

ซูหว่านอี๋ไม่คาดคิดว่าครอบครัวของลุงใหญ่จะมาเร็วขนาดนี้ จึงยังไม่ได้จัดเตรียมห้องพักเอาไว้ให้ นอกจากนี้หลานชายสองคนก็เช่าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หล่อนก็ไม่คิดว่าครอบครัวของลุงใหญ่จะมาอยู่ที่นี่

“พี่สะใภ้ เคอเหล่ยกับเคอเจี๋ยเช่าบ้านเรียบร้อยแล้ว เห็นบอกว่าพอพวกพี่มาเมืองหลวงให้ไปอยู่ที่นั่น เดี๋ยวถ้าตอนเย็นพวกเขามาแล้วค่อยถามพวกเขานะคะ”

แต่ถึงอย่างนั้นซุนฮุ่ยหงก็กล่าวขึ้นทันที “ที่นี่ออกจะกว้างใหญ่มีห้องตั้งมากมาย ครอบครัวพวกเราก็อยู่ที่นี่กันได้หมด ทำไมถึงยังต้องไปเช่าบ้านอีก บอกให้เคอเหล่ยกับเคอเจี๋ยหยุดเช่าซะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซูหว่านอี๋ก็คิ้วขมวดทันที

แต่โชคยังดีที่หล่อนไม่ทันต้องพูดอะไร ฉินเจี้ยนหัวก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว

“เคอเหล่ยกับเคอเจี๋ยเช่าบ้านกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ต้องไปอยู่ที่นั่นกันอยู่แล้ว คุณอยากจะอยู่ที่นี่เหรอ ที่นี่เป็นบ้านพ่อบุญธรรมของฉินมู่หลานนะ คุณไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย”

“ฉัน…ฉันก็เห็นว่าเจี้ยนเซ่อกับน้องสะใภ้ก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ”

ซุนฮุ่ยหงกระซิบกระซาบบางอย่าง ได้แต่คิดว่าฉินเจี้ยนเซ่อกับครอบครัวพักอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมพวกเขาจะพักอยู่ด้วยไม่ได้

“นั่นก็เพราะที่นี่เป็นบ้านของพ่อบุญธรรมมู่หลาน พวกเขาเป็นคนในครอบครัวก็ต้องอยู่ได้สิ แต่พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับน้องเจี่ยง”

ตอนแรกเขาไม่อยากมาที่เมืองหลวงนักหรอก เพียงแต่ภรรยาของตนเอาแต่พูดอยู่นั่น ซึ่งก็ทำให้เขาคิดได้นิดหน่อย แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่ามาถึงปักกิ่งแล้ว ภรรยาจะอยากได้สิ่งนู้นสิ่งนี้ไปเรื่อย กล้าคิดเสียจริง

ได้ยินสามีพูดอย่างนั้น ซุนฮุ่ยหงจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก

ซูหว่านอี๋ที่เห็นอย่างนี้ก็มีสีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย โชคดีที่ลุงใหญ่ฉินมีเหตุผล หากครอบครัวของพวกเขาคิดจะอยู่ที่บ้านหลังนี้จริง หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเหมือนกัน

หลังจากฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยมา ก็พบว่าพ่อแม่และภรรยาต่างมากันแล้ว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความดีใจ

“พ่อแม่ ทุกคนมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”

ซุนฮุ่ยหงได้เจอลูกชายทั้งสองก็รู้สึกดีใจมาก รีบตรงเข้าไปพูดคุยกับพวกเขามากมายหลายเรื่อง จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปคุยกับลูกสะใภ้

หวังจาวตี้เห็นฉินเคอเหล่ยเดินมา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความริดถึง “เคอเหล่ย ในที่สุดก็ได้เจอคุณแล้ว แต่คุณดูคล้ำขึ้นนะ”

ซ่งอวี้เฟิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็พูดคุยกับสามีของตนเช่นกัน แต่กลับรู้สึกว่าพูดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันสิ้นสุด

ฉินเจี้ยนหัวพลันคิดถึงเรื่องที่พักขึ้นมา จึงหันไปถามลูกชายคนโตทันที “เคอเหล่ย พวกแกเช่าบ้านเอาไว้ที่ไหน พวกเราเข้าพักกันได้เลยไหม?”

“ผมเช่าบ้านใกล้กับเรือนสี่ประสานที่มู่หลานซื้อเอาไว้ครับ ทุกอย่างที่นั่นถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เย็นนี้พวกเราไปกันได้เลย”

เมื่อสองวันที่ก่อนพวกเขาทั้งสองคนเพิ่งเก็บข้าวของและเตรียมจะย้ายไปที่นั่น ไม่คิดเลยว่าครอบครัวจะมาถึงแล้ว ประจวบเหมาะกับที่จะย้ายเข้าไปวันนี้พอดี

ซุนฮุยหงกำลังจะอ้าปากเมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หล่อนอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวจะไม่มีใครคิดเรื่องนี้สักคน

ซูหว่านอี๋เห็นแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั่นเย็นนี้เรามากินอาหารอร่อย ๆ กัน ให้พวกพี่ใหญ่ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน”

ฉินเจี้บนเซ่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้วพี่ใหญ่ พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้ว เย็นนี้พวกเราดื่มกันสักหน่อยเถอะ”

ฉินเจี้ยนหัวได้ยินแบบนี้ก็ตบบ่าน้องชายแล้วยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย “จริงสิ แล้วน้องเจี่ยงล่ะไปไหน ทำไมไม่เห็นเขาเลย?”

“อีกเดี๋ยวสือเหิงกับอาหลี่ก็จะกลับมาแล้ว”

“อาหลี่? เขาอยู่กับน้องเจี่ยงเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกพี่ใหญ่เรื่องที่เซี่ยเจ๋อหลี่เปลี่ยนงาน จึงเล่าให้ฟังอีกครั้ง

“ที่แท้อาหลี่ก็เปลี่ยนงานนี่เอง พวกเราไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย แต่เปลี่ยนงานก็ดี จะได้กลับบ้านบ่อย ๆ”

“ใช่แล้ว พวกเราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

ซุนฮุ่ยหงรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “อาหลี่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ทำไมถึงได้เข้าทำงานที่สถาบันวิจัยได้ล่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาจิ้งจือก็รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย

“ถึงแม้ว่าอาหลี่ของเราจะไม่ได้เรียนมาเยอะ แต่หน้าที่การงานในกองทัพก็ไปได้สวย เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเปลี่ยนงานก็ต้องได้งานดีอยู่แล้ว”

หวังจาวตี้เห็นว่าแม่สามีกำลังจะพูดต่อ ก็รีบคว้าหล่อนไว้ทันที วันนี้แม่สามีเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงเอาแต่พูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง

ซุนฮุ่ยหงก็รู้สึกว่าตนพูดจาไม่ถูกกาลเทศะนิดหน่อย หล่อนจึงเม้มปาก แล้วไม่พูดอะไรอีก

ตอนแรกที่ทุกคนอยู่หมู่บ้านชิงซานก็รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่เหมือนกัน แต่เมื่อมาถึงปักกิ่งแล้วกลับพบว่าช่องว่างระหว่างทุกคนกลับใหญ่มาก หล่อนจึงมีช่องว่างบางอย่างอยู่ภายในใจ

แต่ซุนฮุ่ยหงก็ทราบดีว่าครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มีรากเหง้าอยู่ที่เมืองหลวง จึงไม่สามารถรุกรานใครได้

เมื่อเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมา อาหารเย็นก็เสร็จพร้อมแล้ว

พอพวกเขาเห็นครอบครัวลุงฉินใหญ่มา ก็รีบยกยิ้มแล้วกล่าวทักทาย

ฉินเจี้ยนหัวกับเจี่ยงสือเหิงไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่นัก แต่ก็เคยพบกันมาก่อน ดังนั้นจึงสนทนาด้วยประมาณสองสามคำ

เซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเรียกทีละคน และกล่าวทักทายครอบครัวลุงฉินใหญ่

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างคึกคัก

หลังจากกินเสร็จ ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยก็พาครอบครัวของพวกเขาไปยังบ้านที่พวกเขาเช่าเอาไว้

เหยาจิ้งจือก็กลับไปพร้อมกับเซี่ยเหวินปิงเช่นกัน เมื่อพวกเขากลับถึงบ้านตระกูลเหยา เหยาจิ้งจือก็ได้พูดคุยกับนายท่านเหยาเรื่องที่พวกเขาจะแยกออกไปอยู่ข้างนอกกันเอง

“อะไรนะ…พวกลูกจะย้ายออกไปอย่างนั้นเหรอ?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ป้าใจเย็นนะ บ้านคนอื่นเขา ป้าไม่มีสิทธิ์อยู่โดยที่เจ้าบ้านไม่ได้เอ่ยชวนเด้อ

บรรยากาศบ้านตระกูลเหยาน่าจะอึดอัดไม่น้อยนะเนี่ย ลูกๆ เลยขอแยกไปอยู่กันเอง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท