บทที่ 287 แต่งตั้ง
วันที่ยี่สิบห้า เป็นวันดีสำหรับการประกอบพิธีแต่งตั้งยศ
ไป๋เยี่ยยืนมองฐานกู้ภัยที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ป่วยอยู่เต็มเต็นท์จนวุ่นวายกันไปหมดจากบนที่สูง
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ เขาส่ายหัวไปมาพลางแค่นหัวเราะเบาๆ นี่เรากำลังอาลัยอาวรณ์ที่นี่จริงๆ เหรอ
ทีมแพทย์ต่างกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บสัมภาระของตนเองเตรียมจะเดินทางกลับ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีฐานกู้ภัยอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ ไปจากที่นี่ได้แล้ว
ในฐานะที่เป็นทีมแพทย์กู้ภัย พวกเขาได้ช่วยเหลือผู้คนข้ามพรมแดนมาทั้งเดือนแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่ทุกคนจะได้กลับบ้านแล้ว
แม้แต่ทีมกู้ภัยท้องถิ่นเองก็ค่อยๆ ถอนกำลังออกเช่นกัน อีกไม่นานทั้งเมืองก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว
หลีจื่อเหยียนเพิ่งเก็บสัมภาระของเธอเสร็จ เธอยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นไป๋เยี่ยยืนเหม่อลอยอยู่บนซากปรักหักพังจากไกลๆ ทำเอาหลีจื่อเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยรู้วิธีเข้าหาไป๋เยี่ยเลย
หลังจากคืนวันส่งท้ายปีเก่า หลีจื่อเหยียนก็มองว่าไป๋เยี่ยคือต้นอ่อนของพืชที่กำลังหยั่งรากในดวงใจของเธอ
เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ หรือบางทีมันอาจจะเป็น ‘ความรัก’
เธอไม่ใช่เด็กสาววัยแรกแย้มที่ไม่ประสีประสาในเรื่องความรัก เธอรู้ตัวว่าเธอต้องการอะไร เธอต้องการเพียงความรักที่สัมผัสได้
ความรู้สึกที่เธอมีต่อไป๋เยี่ยลึกซึ้งมาก ตั้งแต่เห็นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างสูงท่ามกลางหิมะขาว จนเขากลายเป็นศัลยแพทย์กระดูกและข้อผู้เก่งกาจ และตอนนี้เขาก็เป็นถึงสุดยอดผู้เชี่ยวชาญ ทำเอาเธอรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย
ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือความรู้สึกอุ่นใจ!
ตลอดช่วงเวลาที่หลีจื่อเหยียนอยู่ที่เมียนมา เธอคิดมาตลอดว่าไม่ว่าตรงหน้าจะมีปัญหาอะไร ตราบใดที่มีไป๋เยี่ย ก็ย่อมแก้ปัญหาได้เสมอ
หลีจื่อเหยียนเป็นผู้หญิงที่เข้าหายากและค่อนข้างอ่อนไหว เธอโหยหาความรัก แต่เธอก็กลัวความเจ็บปวดเหมือนกัน
นอกจากนี้เธอยังเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี เธอจะไม่มีทางลดตัวเองลงไปแย่งชิงความรักที่ไม่ยุติธรรมเด็ดขาด เธอหวังว่าคู่ครองของเธอจะเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มากกว่าผู้ชายประเภทที่เอาแต่บ้างานจนไม่สนใจคนรัก
เธอไม่ได้ต้องการฮีโร่ เธอแค่ต้องการสามีที่เป็นทั้งคนในครอบครัว คอยปกป้องภรรยาและลูกๆ จากปัญหาทั้งปวงและเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดเพื่อครอบครัวเท่านั้นเอง
ทว่าไป๋เยี่ยกลับน่าดึงดูดจนเธอเริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ลมแรงพัดผ่านไป หลีจื่อเหยียนได้แต่ถอนหายใจและส่ายหัวไปมา ค่อยคิดแล้วกัน เรื่องความรู้สึกคงเป็นปัญหาที่แก้ยากที่สุดในโลกแล้ว
ตอนนี้เมืองเปิดเส้นทางจราจรแล้ว รถราต่างๆ สัญจรเข้าออกเมืองได้ ระหว่างที่ทีมแพทย์กำลังเก็บสัมภาระอยู่นั้น ก็มีขบวนรถมาจอดลงตรงหน้าประตูเมือง
ชายสูงอายุคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวลงมาจากรถลีมูซีน พร้อมด้วยคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินตามหลังเขามา
ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครบางคนพูดขึ้น “ท่านประธานาธิบดีมาถึงแล้ว”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยและหลี่หมิงที่กำลังขนของขึ้นรถได้ยินเสียงของผู้คนรอบข้าง พวกเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ประธานาธิบดีของเมียนมากุมครองอำนาจไว้ล้นมือ เพราะว่าทางประเทศเองก็ต้องการหลีกเลี่ยงสงคราม
บารมีและสถานภาพของประธานาธิบดีในสายตาของประชาชนเมียนมาจึงสูงส่งมาก
ทุกคนต่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากเมื่อรู้ว่าประธานาธิบดีมาถึงแล้ว
นายกเทศมนตรีต้วนเจ๋อหมิงเดินเข้าไปหาไป๋เยี่ยพร้อมกับชายในชุดทหารคนหนึ่ง
“สวัสดีคุณไป๋ ท่านประธานาธิบดีอยากพบคุณครับ” นายทหารกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม
ต้วนเจ๋อหมิงพยักหน้าเบาๆ
ไป๋เยี่ยหันไปบอกหลี่หมิงก่อนจะเดินตามทั้งสองคนออกไป
ภายในใจก็ยังคงคาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
หรือว่าจะเป็นเรื่องพิธีแต่งตั้ง
ไป๋เยี่ยคิด หัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับเรื่องแบบนี้
มันจะเหมือนกับในทีวีหรือเปล่านะ
พอไป๋เยี่ยนึกไปถึงพิธีแต่งตั้งของราชวงศ์อังกฤษก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
ตอนนี้ท่านประธานาธิบดีกำลังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับผู้คนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติและทีมกู้ภัย หลังจากที่เห็นว่าไป๋เยี่ยเดินไปแล้ว เขาก็หยุดมองตามไป๋เยี่ย พวกคนหนุ่มสาวนี่นะ
ไป๋เยี่ยหันไปเห็นว่าประธานาธิบดีเมียนมากำลังมองตนเองก็โค้งคำนับลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีรถบัสคันใหญ่มาจอดลงตรงหน้า ก่อนจะมีกลุ่มชายในเครื่องแบบราชการของเมียนมาเดินลงมา
ไป๋เยี่ยได้แต่มองอย่างสงสัย หลีจื่อเหยียนจึงเข้ามากระซิบเบาๆ “นี่เป็นเครื่องแบบพิธีการของประเทศเมียนมา เมื่อไหร่ที่ทางการจัดพิธีสำคัญต่างๆ ก็จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักประธานาธิบดีมาร่วมพิธีด้วย…”
ไป๋เยี่ยหันกลับมา หลีจื่อเหยียนอธิบายอย่างมีเหตุผลและละเอียดจนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ “คุณรู้เรื่องแบบนี้ด้วย เยี่ยมไปเลยครับ!”
หลังจากที่ได้รับคำชมจากไป๋เยี่ย ใบหน้าของหลีจื่อเหยียนก็ขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าเธอกลับไม่ได้ตอบโต้อะไรไป
ตอนนี้ประธานาธิบดีเมียนมากำลังเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้น
เจ้าหน้าที่พาประธานาธิบดีไปที่สถานที่นัดหมายและเริ่มประกอบพิธีไว้อาลัยให้กับประชาชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้
บรรยากาศพิธีไว้อาลัยนั้นเคร่งขรึมและหนักอึ้ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก เพียงตั้งใจดูประธานาธิบดีประกอบพิธีไว้ทุกข์และสวดมนต์เงียบๆ
พิธีนี้กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากสวดมนต์จบแล้ว บรรดาผู้ประกอบพิธีก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันไป ทว่าพวกเขากลับแปรแถวโดยหันไปทางผู้คนตรงหน้า
ท่านประธานาธิบดีค่อยๆ หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูดช้าๆ “วันนี้ถือเป็นวันรำลึกของเมืองนี้ และเป็นวันที่เมืองจะได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ในนามของประธานาธิบดีแห่งเมียนมา ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าประเทศของเราจะไม่มีวันทิ้งประชาชนไป ไม่ว่าจะพบเจอกับภัยพิบัติอันหนักหนาเพียงใด ประเทศจะคอยปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติทั้งปวงเอง!”
น้ำเสียงของท่านประธานาธิบดีหนักแน่นมาก ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกไว้วางใจในความรับผิดชอบที่บัดนี้ได้กลายเป็นเดิมพันอย่างหนึ่งแล้ว
ท่านประธานาธิบดีพูดจบก็หันไปทางไป๋เยี่ย “แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้เผยให้เห็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศของเรากำลังเผชิญ นั่นคือการรักษาพยาบาลที่ขาดตกบกพร่องไป แต่ในยามที่ประชาชนของเราประสบภัยพิบัติ มิตรจากต่างแดนก็ยังคงหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้พวกเรา!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เยี่ย เราอาจจะต้องสูญเสียกันมากกว่านี้ การสูญเสียงบประมาณย่อมฟื้นตัวได้ในเร็ววัน แต่การสูญเสียชีวิตไปมิใช่เรื่องที่ยอมรับได้! ฐานรักษาพยาบาลที่ถูกจัดแบ่งตามระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่ไป๋เยี่ยสร้างขึ้นทำให้การกู้ภัยดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ…”
การปราศรัยดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย ท่านประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมหนักแน่น “หลังจากที่สำนักประธานาธิบดีได้ทำการหารือและตัดสินใจกันแล้ว ท่านไป๋เยี่ยจะได้รับส่วนแบ่งที่ดินพร้อมกับยศข้าราชการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
เสียงของประธานาธิบดีแห่งเมียนมาดังสนั่นจนทุกคนต้องพากันเบิกตากว้างไปตามๆ กัน
ได้รับตำแหน่งข้าราชการ!
นับเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับชาวเมียนมาจริงๆ