บทที่ 682 พ้นอันตราย
ถังหลี่และคนอื่นๆ มียาพกติดตัว ถังหลี่จึงให้หวังหยูใส่ยาให้กับจ้าวจิ่งซวน เขาอับอายมาก หวังหยูจึงช่วยเขา อาฮวามองถังหลี่อย่างกระตือรือร้น มีแต่อามู่พี่ชายของอาฮวาเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองนางอย่างไม่ไว้วางใจ
ถังหลี่มองอามู่และอามู่ยังคงจ้องกลับอย่างดุเดือด
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา” อาฮวารู้สึกขอบคุณมาก หากวันนี้พวกเขาไม่ปรากฏตัวช่วยเหลือ นางและพี่ชายหรือแม้แต่อาซวนคงไม่รอดอย่างแน่นอน
อาฮวามองถังหลี่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“พี่สาว ท่านเป็นญาติกับอาซวนหรือ?”
“ข้าชื่อถังหลี่ ข้าได้รับการไว้วางใจจากใครบางคนให้มาตามหาเขา” ถังหลี่ตอบ “เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่า เจ้าพบกับอาซวนได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
อาฮวารู้สึกได้ว่า พี่สาวคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่นางเคยเห็น ตอนนั้นเธอไม่รู้จักคำว่า “ฉลาด” แต่ต่อมาเมื่อได้ยินคำนั้น นางจึงตระหนักได้ทันที
อาฮวาช่วยอาซวนได้อย่างไร? รวมไปถึงความคับข้องใจของจ้าวจิ่งซวน
จากคำบอกเล่าของอาฮวา ถังหลี่ถึงได้เข้าใจสถานการณ์ของเผ่า แต่เดิมนางคิดว่าเผ่านี้จะเหมือนกับเผ่าโบราณทั่วๆ ไป แต่กลับไม่ใช่ พวกเขามีความเป็นอยู่คล้ายคลึงกับหมู่บ้านภายนอก เช่น ใช้ระบบสามีภรรยาหนึ่งเดียวเช่นกัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว พวกเขาเชื่อในเรื่องเทพเจ้า ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีเป็นเพราะเทพเจ้ามอบให้ การติดต่อสื่อสารระหว่างเขากับเทพเจ้าจึงมีพ่อมดเป็นตัวกลาง พวกเขาเต้นรำและทำพิธีสังเวยบูชาต่อเทพเจ้า
โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด โดยเฉพาะถังหลี่ที่เป็นดวงวิญญาณที่เกิดจากรัศมีของสวรรค์และโลก โดยมีเทียนเต๋าอยู่เบื้องหลังของตน ถังหลี่จึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธว่าเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง
แต่อย่างไรก็ตาม พ่อมดในหมู่บ้านไม่สามารถเป็นตัวแทนของเทพเจ้าได้ เพราะเทพเจ้าได้กลายเป็นเครื่องมือของพ่อมดเพื่อครอบงำความเป็นอยู่และความนึกคิดของชาวบ้าน จนทำให้พ่อมดมีอิทธิพลเหนือชาวบ้าน เขาจึงกลายเป็นราชาของเผ่าไปโดยปริยาย เขาทำทุกอย่างตามความต้องการของตนโดยการอ้างเทพเจ้า และชาวบ้านก็เลือกที่จะมองข้ามไป
มีผู้ที่สำเหนียกถึงอันตรายของเรื่องนี้ไม่กี่คน เช่น อาฮวาและอามู่เท่านั้นที่รู้สึกถึงการกดขี่และความอยุติธรรม
“คุนสัญญากับข้าว่า หากข้าแต่งงานกับเขาแล้ว เขาจะบอกให้พ่อมดปล่อยอาซวนไป แต่พอเรากำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน คุนกลับบอกข้าว่า อาซวนตายแล้ว! ข้าจึงโกรธเขามาก”
“ข้าไม่เป็นไร ข้ากลั้นหายใจแกล้งตาย พวกเขาคิดว่าข้าตายแล้ว จึงได้ไม่ระวัง ข้าจึงหนีรอดมาได้” จ้าวจิ่งซวนที่ได้รับการช่วยเหลือจากหวังหยู เขาเอนร่างไร้เรี่ยวแรงพิงหวังหยูเอาไว้
ในตอนนั้นจ้าวจิ่งซวนหมดหวัง เขาไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมา เพียงแต่อยากไปขัดขวางการแต่งงานของอาฮวากับคุนเท่านั้น พอนึกถึงแล้วก็ให้ใจเสีย หากตอนนั้นถังหลี่ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เขาคงตายไปแล้ว
“เด็กน้อย เจ้าฉลาดมาก” ถังหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่! ข้าฉลาดมาก” จ้าวจิ่งซวนมีทำสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่แล้วต้องนิ่วหน้าเพราะปวดแผลอย่างกะทันหัน
“พี่ซวน” ซานเป่าวิ่งไปหาเขา
“สาวน้อย เจ้าก็มาด้วยหรือ? เป็นห่วงพี่ชายใช่หรือไม่?” จ้าวจิ่งซวนมีความสุข เขาเอื้อมมือไปลูบผมนาง
“ไม่ใช่ ! ข้าตามมารดามาหาประสบการณ์ต่างหาก”
จ้าวจิ่งซวน “……….”
จ้าวจิ่งซวนเหลือบมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ยอมมองหน้าเขาอย่างขุ่นเคือง
“แต่ข้าก็เป็นห่วงพี่เหมือนกันนะ” ซานเป่าพูดเอาใจ
อารมณ์ขุ่นเคืองของเขาจึงได้บรรเทาลง
“ก็แค่นั้นแหละ”
จ้าวจิ่งซวนได้รับการช่วยเหลือให้นั่งลงข้างๆ ถังหลี่ เขานั่งคุยกับนาง
“เสด็จแม่ของข้า..นางเป็นอย่างไรบ้าง?”บราวนี่ออนไลน์
“ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง ข้าได้พบเสด็จแม่ของท่าน ข้ารับปากให้ความมั่นใจกับนางว่าจะพาท่านกลับไปโดยสวัสดิภาพ ท่านจึงได้สบายพระทัยมากขึ้น”
“ขอบคุณ ที่ท่านช่วยข้าเอาไว้ ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด” จ้าวจิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง
หลังจากผ่านความเป็นความตายมา จ้าวจิ่งซวนดูเปลี่ยนไป ถังหลี่ครุ่นคิด เขาดูสงบลงและเติบโตขึ้นไม่น้อย
“หลังจากข้ากลับไป ข้าจะตั้งใจฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ให้หนัก เพื่อที่ข้าจะได้ไม่เป็นคนไร้ประโยชน์” เขาพูดอย่างจริงจัง การเรียนรู้ศิลปะและวิทยายุทธ์อาจช่วยผู้คนในยามคับขันได้ก็จริง แต่สิ่งที่จ้าวจิ่งซวนควรเรียนรู้น่าจะเป็นการปกครองแคว้นมากกว่า เพราะจะทำให้เขาช่วยเหลือผู้คนได้มากที่สุด
ถังหลี่อดทนต่อการจ้องมองอย่างดุดันของอามู่อยู่นานจนในที่สุดนางอดรนทนไม่ไหว จึงถามอาฮวาขึ้นว่า
“พี่ชายของเจ้าไม่ชอบหน้าข้าหรือ?” ถังหลี่ไม่รู้จริงๆ ว่า นางได้ทำอะไรลงไปจนทำให้เขามองนางอย่างดุร้ายอยู่เช่นนั้น นั่นทำให้ถังหลี่ต้องระวังตัวแจ เพื่อป้องกันการโจมตีอย่างคาดไม่ถึงจากเขา
ก่อนที่อาฮวาจะตอบ จ้าวจิ่งซวนเอามือกุมท้องของตนหัวเราะเสียงดัง เขาได้รับบาดเจ็บทั่วตัว พอหัวเราะขนาดนั้นย่อมกระเทือนบาดแผลเป็นธรรมดา ทำให้เขาถึงกลับน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
จากหัวเราะเลยกลายเป็นร้องไห้ไป…
“พี่สาว พี่ชายข้าไม่ได้เกลียดชังท่าน เขาชอบท่านมาก” อาฮวาพูดออกมา
ถังหลี่มองอามู่ อามู่ก็จ้องนางกลับเช่นกัน
“อามู่แสดงสีหน้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ตอนแรกข้าเองก็คิดว่าเขาดุร้ายเช่นกัน แต่หลังจากนั้นจึงได้รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาเป็นคนขี้อาย”
จ้าวจิ่งซวนบุ้ยใบ้ไปที่อามู่ เขาดึงทึ้งหญ้าตรงหน้าของตนจนแทบจะโล่งเตียนไปจนหมดเห็นได้ชัดว่าเขาประหม่า
เมื่อถังหลี่รู้เช่นนั้น นางจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ซานเป่าคิดว่าเขาเป็นคนน่าสนใจมาก นางจึงวิ่งไปคุยกับเขา ซานเป่าถามและอามู่ตอบคำถามนาง ทั้งคู่พากันคุยอย่างออกรส
ทันใดนั้น ซานเป่าก็เหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งที่หน้าปากถ้ำ
นางร้องเรียกออกมาอย่างยินดี
“อาจารย์!” ตู้เย่และองครักษ์ทั้งสี่กลับมาแล้ว องครักษ์เงาของนางได้รับบาดเจ็บทุกคน พวกเขามีสีหน้าละอายใจไม่น้อย แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านเหล่านั้นมีพละกำลังมากเพียงใด
“พวกเขาโดนข้าสกัดเอาไว้ได้” ตู้เย่ตอบ “คนเหล่านั้นเรี่ยวแรงเยอะมาก”
พวกเขาแข็งแกร่งเกินกว่าคนปกติทั่วไป
หลังจากพูดจบ เขามองไปที่ลูกศิษย์ของตน ถังหลี่เข้าใจทันทีว่าตู้เย่หมายถึงอะไร ซานเป่าเองก็มีความแข็งแกร่งและมีพละกำลังเหนือผู้อื่นเช่นกัน
ตู้เย่กำลังสงสัยว่าซานเป่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเผ่านี้หรือไม่? คล้ายกับการคาดเดาของถังหลี่ก่อนหน้าเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีใครรู้ และนี่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเขา จึงไร้ประโยชน์ที่จะไปคิด
หลังจากพากันคุยถามไถ่แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“อามู่ อาฮวา พวกเจ้าเต็มใจจะไปกับพวกเราหรือไม่?” ถังหลี่ถามพวกเขา
อาฮวาและอามู่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล พวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น เรากลับเส้นทางเดิมกันเถอะ” ถังหลี่พูด นางมองจ้าวจิ่งซวนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และองครักษ์ที่พากันอ่อนล้าอย่างเห็นใจ
“พักที่นี่ก่อนสักคืนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง” ปัญหาในการกลับเส้นทางเดิมก็คือ ค่ายกล นอกจากจะห้ามผู้คนเข้ามา ยังห้ามผู้คนออกไปอีกด้วย ในตอนที่พวกนางเข้ามา ถังหลี่ได้ถามหวังหยูแล้วว่าพวกเขาจะใช้เส้นทางเดิมออกไปได้หรือไม่ หวังหยูส่ายหน้า เขาไม่รู้เช่นกัน มีแค่ต้องลองออกไปดู พิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น
ที่เชิงเขา
พ่อมดของหมู่บ้านจุดคบเพลิง เรียกผู้คนจากหมู่บ้านถัดไปมาสมทบ
ตอนนี้มีฝูงชนจำนวนมาก
พ่อมดบอกชาวบ้านว่ามีคนนอกบุกเข้ามา สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึม ดูจริงจัง
“เทพเจ้ารับสั่งว่า คนภายนอกจะนำภัยพิบัติมาให้ พวกเราจึงต้องจับกุมพวกเขาเพื่อขจัดภัยพิบัติออกไปให้หมด!” พ่อมดยืนอยู่บนแท่นสูงโบกไม้เท้าของตนไปมาท่าทางน่าเกรงขาม
“จับพวกมัน!”
“ขจัดภัยพิบัติ!” ชาวบ้านร้องตะโกน
“คนครึ่งหนึ่งพากันไปค้นในภูเขา ส่วนที่เหลือช่วยกันไปป้องกันทางออกของหมู่บ้าน!” พ่อมดเผ่าอู๋ซานตะโกนสั่ง