บทที่ 719 สามคนขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
“องค์ชาย ท่านออกจากฮั่นหลินไปที่สกุลเหลียงก่อน” สวี่เจวี๋ยตัดสินใจ จ้าวจิ่งซวนพยักหน้ารับ หากเป็นเขาเมื่อก่อนหน้านี้คงกลับวังไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ถี่ถ้วน แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาควบคุมอารมณ์รู้จักไตร่ตรองวิเคราะห์สถานการณ์มากขึ้น
ยามนี้เหตุการณ์ยังไม่ชัดเจน กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือจ้าวชูกุมอำนาจกองกำลังรักษาพระองค์เอาไว้ได้ทั้งหมด หากเขากลับไปยังวังหลวงก็เท่ากับตกหลุมพรางที่จ้าวชูวางแผนเอาไว้
หากอยู่ข้างนอกจ้าวจิ่งซวนยังมีโอกาสที่จะมีพลิกสถานการณ์
“ไปที่ประตูหลัง”
“ไม่ได้ ที่ประตูหลังอาจจะมีทหารดักอยู่” เว่ยจื่ออั๋งคว้าจ้าวจิ่งซวนก่อนจะพูดขึ้น
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี” จ้าวจิ่งซวนพูดพลางมองหน้าเว่ยจื่ออั๋ง พวกเขาพากันเงียบ คิดหาหนทางอื่น ในตอนที่จ้าวจิ่งซวนอยู่ที่สำนึกศึกษาหลวงเขาชอบหารูสุนัขลอด เมื่อมาที่สำนักฮั่นหลินเขาก็ยังคงติดนิสัยนี้มาเช่นเดิม เขาพยายามสำรวจว่ามีรูสุนัขลอดตรงไหนบ้าง แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำรูนั้นขึ้นมาเอง
“ไปกันเถิด” จ้าวจิ่งซวนกล่าว
จ้าวจิ่งซวนนำทางเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไปอย่างชำนาญ
“ข้าจะออกไปดูต้นทางก่อน” สวี่เจวี๋ยกล่าว
เขามุดลอดออกไปคนแรก เบื้องหน้าเป็นตรอกที่ดูเงียบสงบ เมื่อมองไปรอบๆ ก็ไร้วี่แววของทหารองครักษ์ สวีเจวี๋ยหันไปบอกคนทั้งสอง
“ออกมา”
จ้าวจิ่งซวนและเว่ยจื่ออั๋งตามออกมาทันที จ้าวจิ่งซวนมีประสบการณ์ที่มากในการมุดลอดรูพวกนี้
แต่เว่ยจื่ออั๋งเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก สภาพของเขาจึงดูทุลักทุเล มอมแมมไปทั้งตัว แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาวางท่าใส่ใจภาพลักษณ์ของตน ทั้งสามคนเดินเลาะไปตามตรอกมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลเหลียง
“นายท่านขอรับ บ่าวรับใช้กลับมารายงานว่า มีกองกำลังรักษาพระองค์เข้าล้อมที่ทางเข้าออกสำนักฮั่นหลินเอาไว้หมดแล้วขอรับ”
เมื่อเหลียงตงทราบข่าวว่ามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท เขารู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ เขาต้องการที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่กลับถูกกีดกัน ยิ่งทำให้เขารู้ว่าสถานการณ์ภายในวังหลวงไม่ปกติ
ตอนนี้วังหลวงถูกควบคุมภายใต้อำนาจของจ้าวชูแล้ว
เหลียงตงรีบส่งคนไปรับองค์ชายหกจากสำนักฮั่นหลินแต่ไม่คิดเลยว่าสายเกินไป พวกเขาส่งคนมาชิงตัวองค์ชายหกหรือ? ในขณะที่เหลียงตงกำลังกังวล เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในจวน
เป็นหลานชายของเขาเอง
เหลียงตงดีใจมาก หากจะให้เขาเข้าไปชิงตัวหลานชายจากกองกำลังรักษาพระองค์คงจะเป็นไปได้ยาก ทั้งยังอาจทำให้เกิดการตั้งข้อหาไม่เป็นธรรมตามมา อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้สกุลเหลียงในภายหลัง
ความปลอดภัยขององค์ชายหกมีความสำคัญ หากเขาอยู่ที่นี่ย่อมเป็นผลดีมากกว่า
“องค์ชาย เหตุใดท่าน..”
“สหายของข้าช่วยข้าออกมาจากสำนักฮั่นหลิน ท่านลุงรองเกิดอะไรขึ้นในวังหลวงกันแน่?” จ้าวจิ่งซวนถาม
“ข้ายังไม่ได้ข่าวเลย” เหลียงตงส่ายศีรษะ ทุกอย่างเกิดขึ้นกระทันหันจนไม่มีใครตั้งรับทัน
“ตอนนี้องค์ชายประทับอยู่ที่สกุลเหลียงก่อน ที่เหลือกระหม่อมจะจัดการเอง” เหลียงตงกล่าว
เมื่อสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเห็นว่าจ้าวจิ่งซวนเข้าไปในจวนสกุลเหลียงแล้ว แทนที่พวกเขาจะกลับไปยังฮั่นหลิน ทั้งสองเลือกที่จะกลับไปจวนสกุลอู่
นายท่านอู่และฮูหยินอู่ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก ทั้งสองย่อมไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาเลย ตอนนี้บิดามารดาของพวกเขาไม่อยู่ หน้าที่ดูแลสกุลอู่จึงตกเป็นของสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง สกุลอู่มีความแค้นเคืองกับจ้าวชูมาก่อน เด็กทั้งสองไม่สามารถเอาชนะจ้าวชูได้แน่ สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือต้องรอให้บิดามารดากลับมาที่จวนจากนั้น เว่ยจื่ออั๋งส่งคนไปตามเว่ยจื่ออี้ให้รีบกลับ พร้อมทั้งสั่งบ่าวให้ปิดจวนห้ามใครเข้าออกอย่างเด็ดขาด
พวกเขาไปหาน้องฝาแฝด เด็กน้อยทั้งสองยังคงนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้เดียงสา เขากำชับให้พี่เลี้ยงดูแลน้องๆ อย่าให้คลาดสายตา ในขณะเดียวกันก็เสริมกำลังองครักษ์ให้มากขึ้น
มู่เป่าและถังเป่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของบิดามารดา พวกเขาจะต้องปลอดภัย
ในช่วงบ่าย สกุลอู่ได้ต้อนรับแขกอย่างฮูหยินกู้ นางรีบมาที่จวนสกุลอู่เมื่อรู้ว่าบุตรสาวและบุตรเขยไม่อยู่ที่จวน นางกังวลว่าจวนอู่จะวุ่นวาย ฮูหยินกู้รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นสกุลอู่ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก
เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว
ฮูหยินกู้ไปหามู่เป่าและถังเป่า นางตั้งใจจะค้างที่นี่สองสามวัน ที่จวนสกุลกู้มีกู้หวนเนี่ยนบุตรชายคนโตของนางกับภรรยาฝางเหมี่ยว ทั้งสองหารือกันก่อนที่ฝางเหมี่ยวจะเสนอให้ฮูหยินกู้มาอยู่ที่จวนสกุลอู่ ส่วนนางจะดูแลจวนสกุลกู้เอง
เมื่อท่านยายของพวกเขามาถึง เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยรู้สึกโล่งใจมาก เขาไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของมู่เป่าและถังเป่าแล้ว
เมื่อผ่านไปสองวันอาการพระประชวรของฮ่องเต้ยังไม่ทุเลา ข้าราชบริพารหลายคนตกอยู่ในความสับสน เหล่าขุนนางจึงได้ปรึกษาหารือกัน มีหลายคนที่ยังจงรักภักดีต่อฮ่องเต้โจว พวกเขารู้สึกถึงความผิดสังเกตในพระบรมราชโองการ ทั้งยังประชวรหนักจนทำให้ออกว่าราชการในท้องพระโรงไม่ได้
ส่วนขุนนางที่อยู่ฝ่ายองค์ชายหกนั้น เมื่อเขาเลือกข้างแล้ว ในวันที่จ้าวชูขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาจะต้องโดนกวาดล้างอย่างแน่นอน ในตอนนี้พวกเขาจึงต้องสู้ยิบตา เหลียงตงเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
หากต้วนโส่วฝู่เป็นผู้ที่นำข้าราชบริพารขอเข้าเฝ้า แล้วจ้าวชูยังบ่ายเบี่ยงอีก เรื่องนี้ย่อมไม่ชอบมาพากลแน่นอน
ต้วนโส่วฝู่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของชายชราซีดเซียวอ่อนแอมาก เขาไอออกมาเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่ไอราวกับปอดจะทะลุ เขาป่วยหนักมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ในตอนเช้าลูกศิษย์มาเล่าให้ฟังว่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
หลังจากนั้นบ่าวจึงได้มารายงานว่ามีขุนนางกลุ่มหนึ่งมาขอเข้าพบ ต้วนโส่วฝู่พยายามที่จะลุกขึ้นจากเตียง
“นายท่าน หมอกำชับไม่ให้นายท่านลุกจากเตียงนะขอรับ” บ่าวรับใช้พยายามที่จะเข้ามาห้าม
“ในสถานการณ์เช่นนี้จะให้ข้าจะพักผ่อนได้อย่างไร”
เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก บ่าวรับใช้จึงช่วยให้เขาลุกขึ้นแต่งตัว
เมื่อเขาออกไป บรรดาขุนนางที่มาขอเข้าพบต่างตกใจกับใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา ต้วนโส่วฝู่พบเจอผู้คนครั้งสุดท้ายเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นเขายังไม่ได้ป่วยหนักเช่นนี้ เขาผ่ายผอมลงไปมากกว่าเดิม บรรดาขุนนางต่างพากันคิดเหมือนกันว่า เวลาของต้วนโส่วฝู่กำลังจะหมดลง
“ใต้เท้าต้วน เมื่อวานนี้ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงออกว่าราชการแต่มีพระรมราชโองการแต่งตั้งให้องค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาท พวกเรากังวลกับสุขภาพของฝ่าบาทแม้จะอยากเข้าเฝ้าก็ทำไม่ได้”
“ไม่กี่วันที่ผ่านมาพระองค์ทรงพระเกษมสำราญมาตลอด เหตุใดจึงมีพระอาการประชวรขึ้นมาได้”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะแต่งตั้งองค์ชายหกเป็นรัชทายาท…แต่เหตุใด จู่ๆ พระองค์จึงได้เปลี่ยนพระทัยกลายเป็นองค์ชายสามไปได้เล่า?”
ขุนนางเจ็ดแปดคนที่เข้ามารวมตัวกันรอบๆ ต้วนโส่วฝู่ อยากให้ต้วนโส่วฝู่เป็นผู้ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โจว เพื่อยืนยันว่าพระบรมราชโองการฉบับนั้นเป็นของจริงหรือไม่?
ต้วนโส่วฝู่ครุ่นคิดจากนั้นจึงพยักหน้า
“ข้าจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเอง”