บทที่ 722 การตอบโต้
ตอนนี้ถังหลี่และเว่ยฉิงได้อาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กที่เป็นบ้านพักผ่อนของหน่วยองครักษ์เงา ที่นี่มีความเป็นส่วนตัวอยู่ในภูเขามีป่าล้อมรอบ น้ำและอาหารบางส่วนได้ถูกสำรองเตรียมเอาไว้สำหรับที่จะกบดานอยู่สักพัก
ถังหลี่นอนหนุนแขนเว่ยฉิง สมองของนางกำลังวิเคราห์ถึงเรื่องราวในตอนนี้
“ตามข่าวที่องครักษ์เงาสืบมาได้ ตอนที่ต้วนโส่วฝู่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงมีพระอาการไม่ค่อยดีนัก ทำได้แค่ผงกพระเศียรตอบรับเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”
“หมอเทวดาอาจจะช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องนี้ก็เป็นได้” เว่ยฉิงคาดคะเน ถังหลี่พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้ว ขุนนางทั้งหลายต่างมองว่าหมอเทวดาเป็นเพียงหมอประจำพระองค์ของฝ่าบาท จึงไม่ได้ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ หมอเทวดาอาจจะใช้วิธีการเลวร้ายบางอย่าง เช่น ยาบางตัวที่ทำให้ฮ่องเต้เกิดความสับสน จะตอบรับก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงเท่านั้น”
หลังจากที่ถังหลี่รู้เรื่องราวทั้งหมดของนวนิยาย นางจึงรู้ว่ายาของหมอเทวดาเป็นยาที่มีผลต่อจิตใจและเป็นสารเสพติด
แต่ถึงแม้นางจะรู้ ถังหลี่ก็เลือกที่จะปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้น …
ประการแรกคือหมอซูไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แม้แต่ในยุคปัจจุบันเองก็ตาม แม้ว่าหมอซูจะพยายามรักษามากเพียงใด แต่ฮ่องเต้โจวทรงเชื่อพระทัยในหมอเทวดามากกว่า
การรักษาของเขานอกจากจะทำให้หายปวดพระเศียรแล้วยังทำให้พระวรกายแข็งแรงกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีกด้วย ในทางกลับกันการรักษาของหมอซูกลับต้องทนทรมานเป็นอย่างมาก หากชั่งน้ำหนักดูก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่า ฝ่าบาทจะทรงเลือกหมอคนไหนเป็นผู้รักษาพระองค์ มิหนำซ้ำเรื่องนี้จะนำอันตรายมาสู่หมอซูเสียมากกว่า
ประการที่สอง ฮ่องเต้โจวสังหารมารดาและตระกูลของสามีของนางจนสิ้น แล้วเหตุใดถังหลี่จะต้องให้หมอซูยื่นมือช่วยศัตรูด้วย?
เขาทำความเจ็บแค้นให้กับสามีของนางมากถึงเพียงนั้น ถังหลี่จึงเฝ้ารอให้ฮ่องเต้โจวได้รับผลกรรมที่ทำลงไป
แต่นางไม่ได้คาดคิดเลยว่า จ้าวชูจะเลือกใช้หมอเทวดามาลงดาบและควบคุมฮ่องเต้โจว
“ตอนที่หมอเทวดาให้ยาแก่ฮ่องเต้ ราชองครักษ์หลวงไม่มีใครคิดห้ามปรามเลยหรือ? ”
“ข้าคิดว่ากองกำลังรักษาพระองค์ถูกจ้าวชูควบคุมเอาไว้แล้วเช่นกัน” เว่ยฉิงมองไปยังใบหน้าเล็กๆ ที่เหนื่อยล้าของภรรยาทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจ
“ฮูหยิน เจ้าอย่าได้คิดให้มากนัก ตอนนี้ควรกินอะไรรอท้องก่อน องครักษ์เงากำลังรวบรวมข้อมูล สถานการณ์อาจจะไม่น่าเป็นห่วง”
อาหารที่มีอยู่เป็นอาหารพื้นๆ เรียบง่ายแค่เซาปิ่งธรรมดาเท่านั้น ถังหลี่หิวมาก นางกัดเซาเปิ่งในมือคำใหญ่ เว่ยฉิงถือน้ำพลางป้อนนางเป็นครั้งคราว
หลังจากที่ถังหลี่กินไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางกินต่ออีกไม่ไหว หันไปป้อนเซาปิ่งที่เหลือใส่ปากสามีแทน เว่ยฉิงกินของที่ภรรยาป้อนให้อย่างอารมณ์ดี
“ภรรยา เจ้างีบหลับสักพักเถิด”เขาชักชวน
ถังหลี่ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว นางง่วงมากแต่ยังตาสว่างอยู่ ต่อเมื่อได้เข้าไปซุกในอ้อมแขนของสามี ในที่สุดถังหลี่ก็ผล็อยหลับไปอย่างอ่อนล้า เว่ยฉิงมองภรรยาที่นอนหายใจสม่ำเสมอในอ้อมแขนของตน หัวใจของเขาพองโตขึ้น ยามที่นางไม่อยู่ข้างกายจิตใจเขาสับสนว้าวุ่นต่อเมื่อได้นางกลับมาอยู่ใกล้ชิดภายในอ้อมแขนเขาเช่นนี้ ในที่สุดหัวใจเขาจึงสงบลงได้
ต่อให้สถานการณ์ทุกอย่างจะเลวร้าย มีเมฆหมอกมาบดบัง แต่เว่ยฉิงกลับมีกำลังใจและคิดว่าทุกอย่างจะคลี่คลายและดีขึ้นในเร็ววัน
เมื่อถังหลี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เช้าแล้ว หญิงสาวสดชื่นมากขึ้นเพราะได้นอนเต็มอิ่ม เมื่อหันไปเห็นใบหน้าเต็มไปด้วยตอหนวดของสามี นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เว่ยฉิงลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นภรรยากำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาจึงเอาคางที่เต็มไปด้วยตอหนวดสั้นๆ ของตนเองเข้ามาถูไถหยอกล้อที่ใบหน้าของภรรยา ทำให้ถังหลี่จั๊กจี้จนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
นานแล้วที่เว่ยฉิงไม่ได้กอดภรรยาเอาไว้แนบอกเช่นนี้ เขาแทบไม่อยากปล่อยนางไปเลย
“มีข่าวจากองครักษ์เงาบ้างหรือไม่?” ถังหลี่ถามขึ้น เว่ยฉิงยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน เขาลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู รับรายงานข่าว ทั้งสองคนก้มหน้าลงอ่านกระดาษในมือพร้อมกัน หลังจากอ่านจบ ถังหลี่จับใจความสำคัญได้ว่าตอนนี้กองกำลังรักษาพระองค์ได้ถูกควบคุมเอาไว้โดยจ้าวต้วนผู้เป็นรองผู้บังคับบัญชา
“จ้าวต้วนคือใคร?”
“ในเมืองหลวงมีองครักษ์หลวงทั้งหมดหนึ่งหมื่นนาย สองพันนายมีหน้าที่ปกป้องอารักขาฮ่องเต้และวังหลวง ส่วนอีกแปดพันนายกระจายกำลังอยู่รอบๆ เมืองหลวง ทหารสองพันในกองกำลังรักษาพระองค์ล้วนมาจากสกุลที่มีชื่อเสียง เพื่อให้ได้ใกล้ชิดองค์หญิงพี่ชายของเจ้าเองก็เข้าร่วมกับกองกำลังรักษาพระองค์เช่นกัน” เว่ยฉิงอธิบาย
ถังหลี่พยักหน้า เพื่อตามเกี้ยวองค์หญิงจิ้งชู พี่ชายของนางยอมสมัครเข้าไปเป็นองครักษ์หลวงในกองกำลังรักษาพระองค์ ต่อมาเมื่อเขาได้แต่งงานกับองค์หญิงจิ้งชูแล้ว กู้หวนจิ่นจึงได้ลาออก เขามุ่งความสนใจไปกับกิจการของสกุลกู้แทน
“กองกำลังรักษาพระองค์มีผู้บัญชาการหนึ่งคน และรองผู้บัญชาการอีกสี่คน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ตระกูลของนายทหารเหล่านั้นล้วนมีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่เข้าข้างฝ่ายไหนในสงครามชิงบัลลังก์ทั้งสิ้น จ้าวต้วนผู้นี้เป็นบุตรคนโตของขุนนางใหญ่ เขาเป็นคนเที่ยงตรงและมีความโดดเด่น ผู้คนต่างให้ความชื่นชมเขา”
“เหตุใดคนเช่นนี้จึงเชื่อฟังคำสั่งของจ้าวชูได้..” ถังหลี่กล่าว
ถังหลี่ตระหนักได้ว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ ถ้าสามารถสืบหาได้ว่าเขาต้องการอะไรและซื้อใจเขาได้ จ้าวชูจะสูญเสียกำลังลงไปมาก หากพระอาการของฮ่องเต้โจวดีขึ้น การเปิดโปงแผนการณ์ของจ้าวชูย่อมมีความเป็นไปได้ ทั้งสองคนต่างเข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องพูดจาให้มากความ
“ข้าจะให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องของจ้าวต้วน” เว่ยฉิงเข้าใจทันที การสืบสวนเรื่องของจ้าวต้วนเป็นไปได้ยาก
แต่ก่อนที่จะสืบเรื่องของจ้าวต้วนได้ความ รายงานเร่งด่วนบางอย่างก็ถึงเว่ยฉิงและถังหลี่เข้าเสียก่อน ฮ่องเต้โจวมีพระกระแสรับสั่งให้เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไปเข้าเฝ้าในวังหลวง
ถังหลี่ได้ยินก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เหลียงตงที่ถูกเรียกเข้าไปก็โดนตั้งข้อหาปลงพระชนม์จนถูกประหารชีวิต สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งต้องเข้าวังไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
“สามี เราต้องหาทางเข้าเมืองหลวงแล้ว” ถังหลี่ร้อนใจ เว่ยฉิงโอบไหล่นางพลางปลอบว่า
“จื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไม่ตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน จ้าวชูเพียงแต่ต้องการใช้เด็กทั้งสองข่มขู่เรา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็นเด็กฉลาดมากย่อมรู้จักเอาตัวรอดได้” เว่ยฉิงหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า
“แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าเมืองหลวงแล้ว” แม้ว่าเมืองหลวงจะอันตรายมาก แต่จะจับลูกเสือได้อย่างไรหากไม่เข้าถ้ำเสือ?
มีเพียงการเข้าไปในเมืองหลวงเท่านั้นจึงจะพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ได้ แต่พวกเขาไม่อาจเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผย เพราะจะทำให้จ้าวชูไหวตัวทัน
พวกเขาจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและเล่นงานจ้าวชู …
…
วังหลวง
เด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ในห้องโถงที่มืดสลัว เมื่อสองชั่วยามก่อนทั้งสองได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า ถึงจะกะทันหันแต่ทั้งคู่ก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว
องค์ชายสามมีปัญหากับบิดามารดาของพวกเขา ตอนนี้เมื่อรุ่ยอ๋องมีอำนาจอยู่ในมือ เขาจะละทิ้งโอกาสทองในการโจมตีสกุลอู่ไปได้อย่างไร?
อีกทั้งสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งต่างก็เป็นพระสหายคนสนิทขององค์ชายหกด้วย
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมีทีท่าสงบไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องอดทนรอจนกว่าบิดาและมารดาของพวกเขาจะกลับมา พวกเขาพยายามชะลอเวลาเอาไว้ หลังจากได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ทั้งคู่ก็พากันเข้าวังหลวง
ขันทีทิ้งให้เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยอยู่ให้ห้องโถงมืดๆ เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม ด้วยสภาพบรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผู้ที่รอคอยอดไม่ได้ที่จะขวัญเสีย แต่เมื่อทั้งคู่ได้มองหน้ากัน พวกเขาก็โล่งใจเพราะแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ไม่นานนักประตูห้องโถงก็เปิดออก เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างเงียบเชียบ ผ่านทั้งสองไป เขาก้าวขึ้นไปบนบันไดแล้วมองลงมาที่เด็กหนุ่มทั้งสองคน ท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในกำมืออย่างผู้ชนะ
จ้าวชู…