บทที่ 728 บุกวังหลวง
เมื่อจ้าวจิ่งซวนนำกำลังคนของตนบุกเข้าไปในพระราชวัง ถังหลี่ก็ปลอมตัวเพื่อเข้าไปด้วยเช่นกัน นางปลอมเป็นนางกำนัลพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินตามอย่างรวดเร็ว การใช้มนต์พรางตามีข้อจำกัดมาก อาทิ ไม่อาจปลอมแปลงเป็นบุคคลที่มีผู้คนรู้จักกันโดยทั่วไป เพราะการปลอมแปลงด้วยมนต์จะเปลี่ยนได้แค่ใบหน้า หากเจอคนที่รู้จักเจ้าของใบหน้าดี ก็จะถูกจดจำได้อย่างรวดเร็วเพราะคำพูดและท่าทางที่ต่างออกไป และในขณะเดียวกันหากบังเอิญไปเจอเจ้าของใบหน้าเข้า ก็จะกลายเป็นคนหน้าเหมือนกันสองคนเผชิญหน้ากัน ความลับจะถูกเปิดเผยออกมา
ถังหลี่จึงได้แต่ก้มหน้า เดินด้วยความเร็ว นางชะงักฝีเท้าเงยหน้าขึ้นมอง เห็นมียามแปดคนคอยเฝ้าเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยอยู่ด้านหน้า ผู้คุมทั้งแปดคนนี้เป็นคนของจ้าวชู ไม่ใช่องครักษ์หลวงของจ้าวต้วน
บางครั้งถังหลี่รู้สึกว่าจ้าวชูค่อนข้างสะเพร่า แต่ในบางครั้งก็มีความระวังตัวเป็นอย่างมาก จ้าวชูไม่ได้ไว้ใจจ้าวต้วนมากนัก
เขาแอบเปลี่ยนเวรยามในจุดสำคัญหลายจุดเป็นคนของตัวเอง จ้าวต้วนจึงทำได้แต่เพียงชี้จุดที่ทั้งสองคนถูกคุมขังอยู่เท่านั้น
ถังหลี่ปรับน้ำเสียงให้เหมือนกับนางกำนัลทั่วไป
“ข้ามาส่งอาหารเจ้าค่ะ”
ผู้คุมรับกล่องอาหารในมือของถังหลี่ไป แต่นางกำนัลยังไม่ยอมขยับกายจากไป
“มัวทำอะไรอยู่ กลับไปเสีย” ถังหลี่หันหลังเดินออกไปให้พ้นสายตาของพวกเขา แต่นางไม่ได้เดินไปไกลมากนัก ถังหลี่แอบเฝ้ารออยู่เงียบๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ จู่ๆก็มีเสียงเด็กหนุ่มร้องตะโกนออกมาจากด้านใน
“ช่วยด้วย!”
ผู้คุมทั้งหมดตกใจรีบเข้าไปในห้องด้านในทันที ถังหลี่สบโอกาสลอบเข้าไปด้วย ในห้องโถงที่มืดมิดเสียงร้องตะโกนของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่ว
“ช่วยด้วย ช่วยข้าที” เด็กทั้งสองกลัวมาก พวกเขากอดกันแนบชิด ผู้คุมทั้งหมดรีบเข้าไปที่ด้านข้างของพวกเขา โดยไม่สังเกตเห็นว่าถังหลี่ได้ลอบเข้ามากับพวกเขาด้วย
ผู้คุมชักดาบออกมาเพื่อปกป้องเด็กหนุ่มทั้งสอง พวกเขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เผื่อจะมีมือสังหารโผล่ออกมา แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็ยังคงเงียบกริบ
“คุณชาย..มือสังหารอยู่ไหนหรือ?”
“มีหนู หนูตัวใหญ่มากมันวิ่งมาเหยียบเท้าข้า!” น้ำเสียงของเว่ยจื่ออั๋งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“….”
พวกเขาตะโกนขอความช่วยเหลือเพราะหนูหรือ? ช่างเป็นพวกบัณฑิตขี้ขลาดอะไรอย่างนี้!
ผู้คุมเหล่านั้นไม่พูดอะไรแล้วเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูปิดลง ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของพวกเขามลายไปหายไปจนหมด เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยหันไปมองไปยังทิศเดียวกัน ร่าง ๆหนึ่งเดินออกมาแม้ว่าใบหน้าและรูปร่างจะไม่คุ้นเคย แต่พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เว่ยจื่ออั๋งมองตาไม่กระพริบ หัวใจของเด็กหนุ่มเดือดพล่าน ลำคอแห้งผาก เขาส่งเสียงเสียงทุ้มต่ำดังออกมา
“ท่านแม่”
ถังหลี่ยิ้มตอบรับเสียงเบา
“แม่เอง”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวพวกเขากอดนางไว้แน่น
เป็นท่านแม่จริงๆ
ตอนที่พวกเขาโดนเรียกเข้าวัง ทั้งสองคนไม่ร้องไห้เลยแม้แต่น้อย ตอนที่ถูกขังโดยไม่รู้วันรู้คืนก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เหตุใดตอนนี้ขอบตาของพวกเขาร้อนผ่าว จริงๆ แล้วทั้งคู่กลัวมาก กลัวว่าจะทำให้บิดามารดาเป็นอันตราย กลัวว่าถ้าพวกเขาตายไปแล้วจะไม่ได้เจอบิดามารดาและน้องๆ ของพวกเขาอีก
ถังหลี่กอดเด็กทั้งสองคนไว้ นางตบหลังบุตรชายอย่างปลอบประโลม นางเขียนข้อความลงในขนมเพื่อให้ทั้งสองคนรู้ว่านางรออยู่ที่ด้านนอก พวกเขาจึงตะโกนขอความช่วยเหลือออกไป หลังจากที่กอดกันสักพัก ถังหลี่ก็ปล่อยพวกเขา
“ท่านแม่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร มันอันตรายมาก” เว่ยจื่ออั๋งกระซิบ
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็เป็นอันตรายเช่นกัน แม่เป็นห่วง”
ถังหลี่มองเด็กหนุ่มตัวสูงทั้งสองคน แม้ว่านางจะรู้ว่าเขาโตแล้วและฉลาดเฉลียวมากเพียงใด แต่หัวใจของมารดาก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี จ้าวชูจับตัวเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไว้เป็นตัวประกัน หากสามีของนางและจ้าวชูได้เผชิญหน้ากันเมื่อไหร่ เขาจะต้องนำสองคนนี้มาใช้เป็นไพ่ตายต่อรองอย่างแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่นางล่วงหน้ามาหาเด็กทั้งสองเพราะเกรงว่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับบุตรชาย นางไม่ได้คิดว่าเด็กทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่ แม้พวกเขาจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ตาม พวกเขาคืออัครเสนาบดีใหญ่ในวันข้างหน้า ความฉลาดปราดเปรื่องย่อมมีมากกว่านางซึ่งเป็นมารดาของเขาอยู่แล้ว
“พวกข้ายอมตกเป็นตัวประกัน ส่วนที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่ของท่านพ่อ” เว่ยจื่ออั๋งพูด
“ใช่แล้ว”
“พี่สาว ข้ากับจื่ออั๋งอยู่ในวังหลวงนานแล้วก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เราเจอสถานที่ลับ” สวี่เจวี๋ยพูด จากนั้นทั้งสองจึงได้พาถังหลี่เข้าไปในห้องโถงด้านใน เดินไปที่ตู้ เด็กหนุ่มผลักตู้ออก
“ถ้านำกระดานไม้ออก เราจะเข้าไปซ่อนด้านในได้ มันใหญ่พอสำหรับพวกเราสามคน”
“เราแกล้งเปิดหน้าต่างทิ้งไว้แสร้งว่าเราหนีไปแล้ว” สวี่เจวี๋ยชี้ไปที่หน้าต่างด้านบนพร้อมกับจัดที่ทางของมัน หญิงสาวหัวเราะออกมา ตอนนี้นางหวังว่าจ้าวจิ่งซวนจะสามารถยื้อเวลาได้เพราะจะทำให้สามีของนางมีโอกาสมากขึ้น
….
จ้าวจิ่งซวนนำคนของตนบุกเข้าไปในวังหลวง ทุกอย่างดูราบรื่นเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าจ้าวต้วนแอบโยกย้ายคนของตัวเองออกไปอย่างเงียบๆแล้ว
ตอนนี้คู่ต่อสู้ของเขาจึงมีแค่คนของจ้าวชูเท่านั้น เมื่อจ้าวจิ่งซวนบุกไปที่ประตูเป่าฉิง จ้าวชูตกใจมากเพราะประตูเป่าฉิงเป็นปราการชั้นที่สองของวังหลวง จ้าวจิ่งซวนผ่านประตูแรกที่มีกำลังพลสามถึงสี่ร้อยคนมาได้อย่างไร?
“กองกำลังรักษาพระองค์มัวทำอะไรอยู่?” จ้าวชูถามด้วยความโกรธ
“องค์ชายสาม ที่ประตูเป่าฉิงไม่มีกองกำลังรักษาพระองค์พะย่ะค่ะ” ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน
“แล้วราชองครักษ์ล่ะ?” จ้าวชูถามอย่างเย็นชา แต่ไม่มีใครตอบเขาได้
“ส่งคนไปหยุดจ้าวจิ่งซวนให้ได้” สีหน้าจ้าวชูเคร่งเครียดจริงจัง มีบางอย่างผิดปกติ จ้าวต้วนหายไปไหน? แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหยุดจ้าวจิ่งซวนให้ได้ เมื่อเขาเทกำลังพลไปยังประตูเป่าฉิง จ้าวจิ่งซวนจะรับมือไม่อยู่
ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องฆ่า ฆ่าให้หมด!
…..
ในเวลาเดียวกัน
เว่ยฉิงแอบเข้าไปในท้องพระโรงหลักที่ฮ่องเต้โจวถูกขังไว้ เมื่อช่วยได้แล้วจ้าวต้วนจึงกำลังคนมาช่วยพวกเขาออกไป ตอนนั้นเองที่พวกเขาเผชิญหน้ากับกองกำลังของจ้าวชู พวกเขาปะทะกัน
จ้าวต้วนกวาดตามอง มีบางอย่างผิดปกติ
“เหตุใดคนของจ้าวชูถึงได้มีมากขนาดนี้?”
“กองกำลังส่วนตัวที่จ้าวชูซ่องสุมไว้ที่วั่งเซี่ยนเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว” เว่ยฉิงตอบ กองกำลังส่วนตัวของจ้าวชูมีมากเกินไป ถ้าจ้าวจิ่งซวนไม่ได้หันเหความสนใจไปอาจจะมีมากกว่านี้แน่
สีหน้าของจ้าวต้วนเคร่งขรึม
“ข้าจะหาวิธีระดมกองกำลังรักษาพระองค์”
เว่ยฉิงแบกฮ่องเต้โจวที่หมดสติไว้บนหลัง พระสนมเหลียงเดินตามพวกเขามาไม่ห่าง คนเหล่านี้โจมตีเว่ยฉิงโดยไม่สนใจว่าฮ่องเต้ที่อยู่บนหลังของเขาจะเป็นหรือตาย จ้าวชูได้สั่งการสังหารบิดาของเขาแล้ว
เว่ยฉิงเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าเดิมเพราะเขาต้องแบกฮ่องเต้ไว้ข้างหลัง เพื่อปกป้องฮ่องเต้โจว เว่ยฉิงบาดเจ็บและเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ช่วงเวลาที่วิกฤติเช่นนี้ ในที่สุดกองกำลังเสริมของพวกเขาก็มาถึง ทำให้เว่ยฉิงได้เปรียบขึ้นมา เขาถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาแบกฮ่องเต้โจวไว้บนหลังเดินไปยังประตูของวังหลวง ภายใต้การอารักขาของจากกองกำลังรักษาพระองค์ เว่ยฉิงต้องการไปยังท้องพระโรงเพื่อเรียกประชุมขุนนาง
ในตอนนี้ขุนนางทั้งหลายควรรออยู่ที่นั่นแล้ว เขาต้องการให้ฮ่องเต้โจวเปิดโปงแผนการของจ้าวชูต่อหน้าขุนนาง
ตราบใดที่พวกเขาไปถึงประตูวังได้…
ทันใดนั้นเส้นทางที่พวกเขากำลังจะผ่านไปถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้ เมื่อเว่ยฉิงเงยหน้าขึ้น เขาเห็นจ้าวชูนั่งอยู่บนหลังม้า
จ้าวชูมองใบหน้าของเว่ยฉิง เป็นใบหน้าที่เขาไม่คุ้นเคย เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจ เขามองจ้าวต้วนและคิดว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากจ้าวต้วน
“จ้าวต้วน! เจ้าจับฝ่าบาทเป็นตัวประกันเจ้าตั้งใจก่อกบฏ พวกเจ้ายังทำตามคำสั่งของเขาอีกหรือ?” จ้าวชูมองไปที่ทหารองครักษ์ ในบรรดาคนเหล่านี้มีเพียงคนสนิทของจ้าวต้วนเท่านั้นที่รู้ความจริง ทำให้พวกเขาตัดสินใจฟังจ้าวต้วน ส่วนทหารที่เหลือนั้น พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนของฝ่าบาทแต่เดิม พวกเขามีหน้าที่ต้องอารักขาพระองค์
เมื่อจ้าวชูตวาดออกมา ทำให้พวกเขาเริ่มลังเล เพราะจ้าวชูเป็นองค์ชายมีสถานะเป็นองค์รัชทายาท ในเมื่อเขากล่าวหาว่ารองผู้บัญชาการเป็นกบฏ พวกเขาควรจะเชื่อฟังใคร?
เว่ยฉิงเม้มริมฝีปากแน่น สถานการณ์ตอนนี้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เดิมทีองครักษ์หลวงมีกำลังทหารพอๆ กับจ้าวชู แต่ถ้าหากพวกเขาเปลี่ยนใจเข้าร่วมกับฝั่งจ้าวชู เมื่อนั้นเว่ยฉิงย่อมตกอยู่อันตราย!