บทที่ 733 ฮ่องเต้ทรงพระประชวร
ไม่นานหลังจากที่เว่ยฉิงกลับไปที่จวน ก็ได้รับข่าวการเสียชีวิตของต้วนโส่วฝู่
แม้จะเป็นสิ่งที่คิดเอาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายไม่ได้ ถังหลี่รู้ว่าสามีอารมณ์เศร้าโศก นางจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงนั่งอยู่ข้างๆ กอดเขาเอาไว้เท่านั้น
“ต้วนโส่วฝู่อุทิศตนเพื่อผลประโยชน์ของราษฎรมาตลอดทั้งชีวิต แม้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ เขาก็ยังคิดถึงต้าโจวและราษฎร”
“เขาขอให้ข้าสัญญากับเขาว่าข้าจะช่วยเหลือจ้าวจิ่งซวนให้ยืนได้อย่างมั่นคง ช่วยปกป้องคุ้มครองราษฎร”
“ข้าได้ให้สัญญากับเขาแล้ว” เว่ยฉิงอธิบายกับภรรยา
กลายเป็นว่าต้วนโส่วฝูได้เรียกสามีของนางไปสั่งเสีย และฝากฝัง ก่อนที่เขาจะหมดสิ้นอายุขัยของตน เขาเป็นขุนนางที่ดีมีความซื่อสัตย์ และจงรักภักดี สามีของนางย่อมทำตามความปรารถนาของเขาอย่างแน่นอน
ต้วนโส่วฝูจะได้จากไปอย่างไร้ซึ่งความกังวล
“ท่านได้ดูแลราชสำนักและผู้คนในแคว้นต้าโจวมาตลอดชีวิตของท่านแล้ว ขอให้วิญญาณของท่านได้ไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมกับฮูหยินผู้เป็นที่รัก” เว่ยฉิงกอดถังหลี่แน่น
“ภรรยา เราคงจะต้องอยู่ในเมืองหลวงกันอีกสักพัก”
ถังหลี่เงยหน้าขึ้นมองสามี
“ท่านอยู่ที่ไหน ข้าก็จะขออยู่กับท่านด้วย” นางจะอยู่เคียงข้างสามีของตน ประหนึ่งดอกบัวที่จะบานอยู่เคียงข้างกันและกันตลอดไป
หัวใจที่ว่างเปล่าของเว่ยฉิงเต็มไปด้วยเรื่องราว ผู้คนไม่อาจปฏิเสธความเกิดแก่เจ็บตายได้ แต่ความรักกลับช่วยจรรโลงให้หัวใจไม่เหน็บหนาวและอบอุ่นขึ้นมาได้
ช่วงบ่ายจวนอู่โหวมีโอกาสได้ต้อนรับแขกสองคน คือกู้หวนจิ่นและองค์หญิงจิ้งชู ถังหลี่ไม่ได้เห็นพวกเขาสองคนมาระยะหนึ่งแล้ว ดวงตาของจิ้งชูแดงระเรื่อเมื่อเห็นถังหลี่ นางวิ่งเข้าไปกอดหญิงสาวจนแน่น
“ถังถัง ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” ถังหลี่ตบหลังจิ้งชูเบาๆ
“อาจื่อ ของขวัญที่เจ้ามอบให้น้องสาวข้ายามพบกันอีกคงไม่ใช่น้ำมูกน้ำตาหรอกใช่หรือไม่?” เสียงหยอกล้อดังขึ้น
องค์หญิงจิ้งชูยืนนิ่ง หันไปจ้องสามี
“ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่? ทั้งน้ำมูกน้ำตาแทบจะโดนน้องสาวข้าอยู่แล้ว” กู้หวนจิ่นพูดเสียงดังท่าทางจริงจัง องค์หญิงจิ้งชูไม่ยอมแพ้ นางรีบวิ่งเข้าใส่เขาเอามือไปป้ายที่หน้าตากู้หวนจิ่น จนใบหน้าเขาเลอะไปด้วยน้ำมูกน้ำตาของนาง
กู้หวนจิ่นร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจ แต่เขากลับกอดกระชับนางจนแน่น
ถังหลี่เห็นภาพแล้วในเพียงคิดในใจว่า พวกเขามาหาข้าหรือ? เหตุใดข้ากลับคิดว่าพวกเขามาโยนอาหารสุนัขให้ข้ากินกันเล่า?
สองสามีภรรยาหยอกล้อพัวพันกันสักพักก่อนที่จะผละออกจากกัน
องค์หญิงจิ้งชูหันมาบ่นใส่ถังหลี่เบาๆว่า
“ถังถัง พี่ชายเจ้าช่างน่ารำคาญนัก”
“ข้าไม่ได้หูหนวกนะ ข้าได้ยินคนว่าร้ายนินทาข้า น้องสาว เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารู้สึกผิดเพียงใดที่เจ้าไม่อยู่ในช่วงนั้น มีคนคอยบังคับข้าไม่ให้ข้ากินนั่นนี่ ไม่ให้ข้าอาบน้ำบ้างล่ะ อย่างวันนี้ก็ห้ามไม่ให้ข้ามาหาน้องสาว”
กู้หวนจิ่นเดินเข้ามาบ่นหาคนสนับสนุนเขา
“ไม่ใช่ว่ามือของท่านบาดเจ็บหรืออย่างไร? ข้าไม่ได้เป็นคนออกคำสั่ง แต่ท่านหมอกำชับข้าต่างหาก” นางเตะเขาด้วยความโมโห แล้วหันมาพูดว่า
“ดูนะถังถัง! ท่านหมอให้เขาพักผ่อนให้ดี แต่เขายังวิ่งไปโน่นมานี่อยู่นั่น ไม่ยอมทำตามคำสั่งของหมอเลย”
พวกเขาเข้ามาผลัดกันฟ้องถังหลี่ มื้อนี้นางได้กินอาหารสุนัขจนอิ่มโดยที่ไม่ต้องกินอาหารกลางวันเลยทีเดียว
กู้หวนจิ่นฟังภรรยาบ่นจนอิดหนาระอาใจระคายหูเต็มทีแล้ว เขารีบแล่นหนีไปหาหลานฝาแฝดสองคนที่เรือนหลัง พบว่าเด็กน้อยยังเล่นเสียงดังไม่ยอมนอน มู่เป่าสนิทสนมกับท่านลุง เขาพูดเจื้อยแจ้วกับท่านลุงไม่หยุด คนหนึ่งอายุมากกว่า อีกคนอายุน้อยกว่ามาก แต่กลับเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ในระหว่างที่เล่นกับหลานตัวน้อย กู้หวนจิ่นเกิดความคิดอยากจะขโมยมู่เป่ากลับบ้านเลี้ยงเขาเป็นบุตรชายของตนกับอาจื่อขึ้นมา
องค์หญิงจิ้งชูยังอยู่กับถังหลี่ เมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของต้วนโส่วฝู่ องค์หญิงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย นางเกิดความเป็นห่วงเสด็จพ่อของตน ความเศร้าโศกของมนุษย์เป็นเช่นนี้เอง เมื่อเห็นคนอื่นป่วยหนัก ก็หวนคิดถึงตัวเองและคนที่ตนรัก นี่จึงเป็นสาเหตุแห่งความเศร้าของจิ้งชู
แม้ฮ่องเต้จะเป็นคนโหดเหี้ยมไร้ซึ่งพระเมตตา แต่กับพระธิดาแล้ว ทรงรักใคร่นางเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าทั่วราชสำนักในเวลานี้ มีองค์หญิงจิ้งชูเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีความเป็นห่วงเป็นใยฮ่องเต้อย่างแท้จริง
“ข้าได้ยินมาจากหวนจิ่นว่าท่านพ่อทรงพระประชวรหนักมาก นี่เป็นความผิดของหมอเทวดาผู้นั้น ข้าอยากจะหั่นเนื้อเขาเป็นชิ้นๆ ยิ่งนัก” องค์หญิงจิ้งชูไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงเรียกใช้หมอเทวดาอีก นางไม่ต้องการให้หมอเทวดาเข้ามารับใช้บิดาของตน
“จ้าวชูกักขังเสด็จพ่อเอาไว้ในตำหนักและวางยาเขา ข้ารู้ว่าเขาไม่ใช่คนดิบดีอะไร เขาก็เหมือนผู้หญิงคนนั้น จินเซ่อ!”
นางพูดด้วยความโกรธ ถังหลี่ปลอบใจองค์หญิงจิ้งชูสองสามคำ นางรับรู้ว่าในครั้งนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเสด็จพ่อของตนได้ แต่หลังจากได้ระบายความรู้สึกกับถังหลี่แล้ว จิตใจของนางดีขึ้นมาก
ตอนที่นางเข้ามาหาสามี พบว่ามู่เป่ากำลังแหงนหน้ามองดูกู้หวนจิ่นที่กำลังทำท่าจะปีนต้นไม้…
องค์หญิงจิ้งชูอารมณ์เสีย นางกราดเข้าไปบิดหูกู้หวนจิ่นแล้วลากเขาลงมา
“กู้หวนจิ่น เจ้าอยากตายหรือ?” นางคำรามด้วยความโมโห
“มู่เป่าอยากกินไข่นก ..” ว่าแล้วเขาชี้มือไปที่หลาน หากทว่าเด็กน้อยกลับเอียงคอพูดอย่างไร้เดียงสาว่า
“มู่เป่าไม่กินไข่นก นกน้อยเป็นเพื่อนมู่เป่า..”
กู้หวนจิ่น “…..”
ด้วยเหตุนี้เองกู้หวนจิ่นจึงได้โดนลากกลับไปยังจวนองค์หญิงอย่างทุลักทุเล
เมื่อกลับมายังจวน มีบ่าวรับใช้จากวังหลวงมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“องค์หญิง ฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้ว มีรับสั่งให้องค์หญิงเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จะทรงพระประชวร นางสามารถเข้าพบเสด็จพ่อได้ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้นางต้องทูลขอเข้าเฝ้าเพื่อให้เสด็จพ่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าได้เสียก่อน พระวรกายของฮ่องเต้ค่อนข้างอ่อนแอจึงเป็นที่เข้าใจได้ เมื่อองค์หญิงจิ้งชูได้ยินว่าฮ่องเต้ต้องการให้นางเข้าเฝ้า นางดีใจมากรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที
กู้หวนจิ่นต้องการจะไปด้วย แต่จิ้งชูกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของสามี นางจึงบังคับให้เขาพักผ่อนอยู่ที่จวน แล้วเข้าวังตามลำพัง
…..
วังหลวง
องค์หญิงจิ้งชูไม่ได้เข้ามาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น แต่เห็นได้ว่าวังหลวงมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดูร้างว่างเปล่าชวนหดหู่
ภายในท้องพระโรงใหญ่ กลิ่นยาฉุนเข้มข้นพุ่งปะทะเข้าจมูก เมื่อเดินผ่านเข้าไปยังห้องภายใน บรรยากาศค่อนข้างเย็นยะเยือก ฮ่องเต้มีพระวรกายผ่ายผอม ฉลองพระองค์ด้วยภูษาเนื้อบาง ประทับพระวรกายตรงอยู่บนบัลลังก์มังกร ทั้งสีพระพักตร์และรอยแย้มสรวลยังคงเหมือนเช่นในความทรงจำขององค์หญิงจิ้งชูไม่เแปรเปลี่ยน
พระนาสิกขององค์หญิงจิ้งชูร้อนผ่าว นางตรงเข้าไปหาฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อ!” องค์หญิงจิ้งชูประทับนั่งลงตรงหน้าพระพักตร์ วางศีรษะลงที่พระเพลาของฮ่องเต้ด้วยท่าทางเหมือนว่านางยังเป็นองค์หญิงตัวน้อยๆ พระหัตถ์ผ่ายผอมเต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลาลูบไล้ศีรษะของนางอย่างนุ่มนวล
“ต้วนโส่วฝู่จากไปแล้ว…” ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะอย่างแผ่วเบา “ตั้งแต่พ่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาเป็นทั้งขุนนางและเป็นอาจารย์ของพ่อมาตลอด เป็นคนที่เข้าใจและรู้จักพ่อดีที่สุด เมื่อเขาจากไปพ่อย่อมคิดถึงเขา…” ฮ่องเต้ทรงชะงัก
“แต่..พ่อก็จวนเจียนจะตามเขาไปเช่นกัน…”
พระทัยขององค์หญิงจิ้งชูราวกับถูกบีบ แม้แต่จะหายใจเข้าออกก็อดที่จะเจ็บปวดไม่ได้
“เสด็จพ่อทรงมีพระวรกายแข็งแรง จะต้องทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นแน่เพคะ”
ฮ่องเต้ทรงสรวล ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงมีพระดำริเช่นนั้น แล้วจึงพบว่านั่นเป็นเพียงกลโกงและการหลอกลวงครั้งใหญ่ แต่พระองค์ยังคงหลอกตนเองคิดว่าทุกอย่างยังคงควบคุมได้ กว่าจะรู้สึกพระองค์ ก็ได้ตกอยู่ในความควบคุมของคนอื่นจนได้รับความอัปยศอดสูจนไม่อาจจะทนหลอกตนเองต่อไปได้อีก
“มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตาย ไม่มีใครได้รับการยกเว้น แม้แต่บิดาของเจ้าเองก็เช่นกัน” ฮ่องเต้แย้มสรวลออกมาอีกครั้ง “อาจื่อ ตอนนี้เจ้ามีความสุขดีหรือไม่? กู้หวนจิ่นดูแลเจ้าเป็นอย่างดีสมกับที่เขารับปากข้าไว้หรือไม่?”
สายพระเนตรขององค์หญิงจิ้งชูอ่อนโยนนุ่มนวลเมื่อคิดถึงกู้หวนจิ่น
“เขาดูแลลูกเป็นอย่างดีเพคะ”
“เสด็จพ่อ ท่านทรงวางพระทัยเถิด โชคดีเหลือเกินที่ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลูกได้แต่งงานกับเขาไม่ใช่…”
องค์หญิงจิ้งชูชะงัก เงยขึ้นมองฮ่องเต้ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป แม้แต่การเคลื่อนไหวของพระหัตถ์ก็หยุดชะงักลง พระวรกายสั่นเทิ้ม องค์หญิงจิ้งชูผิดสังเกต นางร้องออกมาว่า
“เสด็จพ่อ เป็นอะไรไปหรือเพคะ?”
“เจ้าไปเถิด!” ฮ่องเต้เค้นพระสุรเสียงออกมาจากพระศอ
“เสด็จพ่อ!” องค์หญิงจิ้งชูทรงร้อนรน
“ไปเถิด อาจื่อเจ้ากลับไป!” ฮ่องเต้แทบจะทรงขอร้อง พระองค์ไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพของพระองค์เองยามที่อาการกำเริบ แม้แต่พระสนมเหลียงก็เช่นกัน ฮ่องเต้ไม่มีรับสั่งเรียกนางเข้าเฝ้าอีกเลย พระธิดาที่ทรงรักใคร่โปรดปรานเอย่างองค์หญิงจิ้งชู ย่อมไม่ทรงต้องการให้นางได้เห็นสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ พระองค์ทรงต้องการให้พระธิดาจดจำพระองค์ไว้ในสภาพที่สวยงามเช่นเดิม
องค์หญิงจิ้งชูกัดพระทนต์ เม้มพระโอษฐ์แน่นหันหลังเดินจากไปแต่โดยดี
เมื่อนางลับหายไปแล้ว ฮ่องเต้ทรงเอื้อมพระหัตถ์ที่สั่นเทาหยิบยากำขึ้นมาแล้วกรอกยาทั้งหมดเข้าพระโอษฐ์ ทว่าพระวรกายยังคงสั่นเทิ้ม พระพักตร์กระตุกบิดเบี้ยว ได้ยินเสียงอึกอักออกมาจากพระศอ…
…..
ณ พระตำหนักพุทธาวาส
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนตั่ง ลูบไล้ประคำพร้อมกับสวดมนต์เบาๆ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความสง่างามน่าเกรงขามอันเกิดมาจากภายในที่แผ่ออกมาจากหญิงชราผู้นั้น
แม่นมฉู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างมองไทเฮาอย่างเงียบๆ
ตำหนักพุทธาวาสแห่งนี้ถูกปล่อยปะละเลยมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวังหลวงจึงไม่ได้มีส่วนกระทบมากมายนัก ไม่ต้องสงสัยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาองค์ไทเฮาจะทรงพระกังวลและปริวิตกมากมายเพียงใด เสียงเจริญพุทธมนต์ และเสียงเคาะไม้ดังไม่หยุด
พระนางทรงตระหนักดีว่าพระราชนัดดาองค์โปรดของพระนางได้เข้าไปมีส่วนในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคดีเหลือเกินที่เขาปลอดภัยดี
ไทเฮาทรงขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ได้ทรงมีพระเมตตา อำนวยพรให้พระราชนัดดาของนางปลอดภัย
เมื่อพระนางทรงหยุดสวดมนต์ แม่นมฉู่รีบนำชามาถวายให้พระนางทันที
“ไทเฮาได้โปรดเสวยพระสุธารสชาก่อนเพคะ” ไทเฮารับมาเสวย พระนางทรงลุกขึ้นประทับยืนโดยมีแม่นมฉู่คอยประคอง ทรงเสด็จดำเนินออกไปชมสวนภายนอก
“อาเยว่ ข้าสังหรณ์ใจว่าอีกไม่นานเมฆจะสลาย พวกเราจะได้เห็นดวงอาทิตย์กันอีกครั้ง” ไทเฮาทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน พระนางอยู่ในตำหนักพุทธาวาสแทบจะไม่รู้เรื่องราวภายในราชสำนัก นอกจากจดหมายจากอาฉิงที่เขียนว่าเขาปลอดภัยดีแล้วเท่านั้น พระนางทรงมีลางสังหรณ์เช่นกันว่าเรื่องใกล้จะจบลงแล้ว
“หม่อมฉันได้ยินว่า ฝ่าบาททรงพระประชวร พระพลานามัยทรงถดถอยไปมากเพคะ” แม่นมฉู่กล่าวพลางหันไปมองพระพักตร์ของไทเฮา อย่างไรเสียฝ่าบาทก็เป็นพระโอรสที่ไทเฮาได้ทรงเลี้ยงดูมา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเวลาของฝ่าบาทใกล้หมดลงแล้วนั่นเอง
แต่กระนั้นแม่นมฉู่กลับไม่เห็นพระอาการเศร้าโศกเสียพระทัยปรากฎขึ้นให้เห็นบนพระพักตร์ของไทเฮาเลยแม้แต่น้อย ดูราวกับว่าพระทัยที่เคยมีให้แต่เดิมจะเหือดหายไปจนหมด เหลือไว้เพียงโทสะและความผิดหวังเท่านั้น แม่นมฉู่ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เมื่อเมฆสลายลงไปแล้ว ข้าเองจะได้เห็นหลานสะใภ้และเหลนของข้าอีกหลายคนด้วย” ไทเฮาตรัสออกมาในที่สุด พระนางยอมเสแสร้งเป็นหญิงวิกลจริต เพียงเพราะตั้งความหวังว่าจะได้เห็นบุตรชายและบุตรสาวของเว่ยฉิงเท่านั้น
“แต่เดิมข้ายังคิดว่า ข้าคงไม่ได้เห็นพวกเขาเสียแล้วในชาตินี้ แต่ตอนนี้โอกาสได้มาอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว” ไทเฮาตรัสออกมาด้วยความยินดี สายพระเนตรทอประกายสว่างไสว
…..