คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 460 เฟิงปั๋ว ท่านมีปัญหาใหญ่แล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 460 เฟิงปั๋ว ท่านมีปัญหาใหญ่แล้ว

เมื่อต้องเปลี่ยนใบหน้าให้เฟิงปั๋ว ฉินหลิวซีก็ไม่ได้จะดูถูก แต่ในทะเลสาบลวี่หูไม่มีผีน้ำแล้ว จึงให้เฟิงปั๋วไปขุดโคลนในบ่อจากใจกลางทะเลสาบขึ้นมาเอง ใช้ยันต์ชำระล้างมือให้สะอาด จากนั้นก็จุดธูปบอกกล่าวต่อสวรรค์แล้วจึงเริ่มลงมือ

“ไม่ควรจะใช้ใบหน้านี้ เพื่อไม่ให้มีคนเชื่อมโยงไปถึงตระกูลเหยียนของท่าน ท่านแปลงใบหน้าเองดีหรือไม่” ฉินหลิวซีกล่าว

เฟิงปั๋วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดุร้ายเล็กน้อย มีหนวดเคราและดวงตาสีระฆังทองแดง ราวกับลิงยักษ์ที่มีดวงตาโกรธเกรี้ยว

ฉินหลิวซีกลั้นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “จริงๆ แล้วอ่อนโยนกว่านี้หน่อยก็ได้”

“ไม่ต้องหรอก เอาเช่นนี้แหละ”

เอาเถิด เจ้าตัวเองก็พูดเช่นนี้แล้ว ฉินหลิวซีเติมโคลนลงบนรูปปั้นอันเดิม พลางถามว่า “ท่านบอกว่าตอนที่วิญญาณแตกสลายได้รับโอกาสจึงได้ฝึกบำเพ็ญเป็นครึ่งเทพ คือโอกาสอะไรหรือ”

“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ถามเสียแล้ว” เฟิงปั๋วนั่งลง เมื่อเห็นฉินหลิวซีหันมามองเขา จึงยิ้มพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้าลังเลที่จะกล่าวอยู่หลายครั้ง ตอนนี้ก็ยังให้พวกเขาหลีกออกไป จะต้องมีข้อสงสัยในใจอย่างแน่นอน เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถามเรื่องนี้”

ฉินหลิวซีปั้นไปด้วยพลางเอ่ย “ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเต๋ามาตลอดชีวิตมากมายไม่สามารถฝึกบำเพ็ญจนมีชีวิตเป็นอมตะได้ อย่างพวกเราก็มีผู้อาวุโสมากมายที่ฝึกบำเพ็ญลัทธิเต๋าอย่างขยันขันแข็งมาตลอดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถบรรลุเป็นเทพเซียนได้ อย่างมากก็แค่มีอายุยืนยาว แต่ก็หนีไม่พ้นความตาย ดังนั้นสำหรับผีอย่างท่าน เพียงระยะเวลาหนึ่งร้อยปีก็สามารถฝึกบำเพ็ญเป็นครึ่งเทพได้แล้ว แสดงว่าจะต้องได้รับบุญกุศลอันยิ่งใหญ่กับโอกาสอันดี ช่วงเวลาอันเหมาะสมและโชคอันใหญ่หลวงจึงฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ได้”

“ความจริงแล้วครึ่งเทพที่ออกบวชมาแล้วครึ่งทางอย่างท่านเช่นนี้ โลกนี้พึ่งจะเคยมี หากให้สรรพสิ่งในโลกนี้รู้เข้า ทุกคนก็จะอิจฉาริษยาท่าน” ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ “มีปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งที่ฝึกบำเพ็ญมานับพันปีจึงเปลี่ยนร่างเป็นคนได้ แล้วยังมีปีศาจโสมตนหนึ่งที่ฝึกบำเพ็ญนับพันปีจนมีจิตวิญญาณ แต่ยังไม่สามารถบวชเรียนได้ เห็นได้ว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสบุญวาสนา ดังนั้นท่านบอกว่าท่านตายมาแล้วร้อยปีก็กลายเป็นครึ่งเทพแล้ว ใครบ้างจะไม่อิจฉาริษยา”

เฟิงปั๋วเหลือบมองนาง “เด็กสาวอย่างเจ้าพึ่งจะผ่านพิธีปักปิ่น เหตุใดจึงพูดจาราวกับผู้ใหญ่เช่นนี้ ผู้ที่ผึกบำเพ็ญเต๋าเป็นเหมือนเจ้าทุกคนเลยหรือ ข้าเห็นลูกศิษย์ของเจ้าผู้นั้นก็เหมือนกัน ดูท่าทางเบื่อโลก”

“บอกได้เพียงว่าข้าเป็นคนเข้าใจเหตุผล” ฉินหลิวซีหยิบโคลนมาปั้นใบหน้า หยิบเข็มขึ้นมาเพื่อลงรายละเอียดบนใบหน้าโคลน เอ่ย “ดังนั้นข้าจึงอยากรู้เกี่ยวกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ท่านกล่าวถึง หวังว่าเทพเจ้าน้ำจะช่วยคลายความสงสัยแก่ข้า”

“มิบังอาจ” เฟิงปั๋วนึกย้อนไปพลางเอ่ย “ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ ตอนนั้นข้าใช้พลังผีทั้งหมดจนวิญญาณแตกสลายจมลงก้นทะเลสาบ เพียงแค่รู้สึกเสียใจทำอะไรไม่ถูก ตายก่อนวัยอันควร เป็นผีก็อยู่ได้ไม่นาน ชีวิตดูเหมือนพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็จบลงเสียแล้ว ใจข้ามีความขุ่นเคือง”

คนมีความยึดติด ผีเองก็มีเช่นกัน ความยึดติดที่อยู่ในใจของเขาคือตอนที่เขาเป็นคนก็อายุสั้น ทั้งยังรู้สึกผิดต่อคนรักแต่กลับไม่ทันได้กล่าวอะไรสักคำ มองอีกแง่หนึ่ง เขามีความหลงผิดเกี่ยวกับโลกใบนี้

และด้วยความคิดหลงผิดเหล่านี้ เขาราวกับถูกอะไรบางอย่างดึงดูด ลอยลงไปสู่ส่วนลึกของทะเลสาบ ความหลงผิดติดอยู่กับบางสิ่งที่เปล่งแสงสีขาวนวล จิตวิญญาณได้หลอมรวมขึ้นมา และเขาก็มีพลังอีกครั้ง

แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรง น้ำในทะเลสาบแทบจะทะลักออกไป เขาได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของผู้คน ในชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกว่าเสียงกรีดร้องนั้นไพเราะมากแต่ไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา นั่นคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนบ้านเดียวกัน

เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้นก็ได้ใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดสร้างม่านอาคมขึ้นมาปิดกั้นน้ำที่ไหลออกจากทะเลสาบทั้งหมดให้กลับคืนสู่ทะเลสาบดังเดิม

ต่อมาจึงได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า ‘เทพเจ้าน้ำ’ เมื่อได้รับการบูชาและความศรัทธา จิตวิญญาณของเขาก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ปกป้องผืนดินและผืนน้ำแห่งนี้

ฉินหลิวซีหยุดชั่วคราว สูดหายใจเข้าลึก “สิ่งนั้นคืออะไร”

“กระดูกขาขวา”

ฉินหลิวซีเกือบจะบดขยี้ศีรษะรูปปั้นในมือ

นางวางมันไว้ด้านข้าง สองมือร่ายคาถา เปิดดวงตาสวรรค์ มองไปยังกระดูกขาขวาของเขาด้วยสายตาชัดเจนและลุ่มลึก

กระดูกส่วนน่องประกอบเข้ากับโครงสร้างกระดูกของเขาจนกลายเป็นร่างที่สมบูรณ์ นางเอื้อมมือไปสัมผัส พลังพุทธะอันไร้ขอบเขตผสมกับความหลงผิดได้พันธนาการจนจิตวิญญาณของนางสับสนวุ่นวาย

เฮือก

เฟิงปั๋วเบิกตาโต เขาเดินถอยออกไปสองสามก้าว เอ่ย “เจ้าทำอะไร”

เขาก้มลงมองขาของตัวเอง จากนั้นก็ลูบหน้าอก ขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย

ฉินหลิวซีกดจุดบนร่างกายตัวเองสองตำแหน่ง กระอักเลือดออกมา ใช้มือเช็ดเลือด ก่อนจะเอ่ยด้วยความปวดหัวว่า “เฟิงปั๋ว ท่านมีปัญหาใหญ่แล้ว”

เฟิงปั๋วรู้สึกชาไปทั้งศีรษะ

ฉินหลิวซีค่อยๆ หยิบขวดยาออกมาจากถุงผ้าที่เอว หยิบเม็ดยามาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงไป จ้องมองไปที่กระดูกขาของเขา นวดบริเวณหว่างคิ้ว

กระดูกพุทธะชิ้นที่สอง

กลับปรากฏอยู่ที่เฟิงปั๋ว และถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาไปแล้ว

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาได้เป็นครึ่งเทพแล้ว กระดูกพุทธะนี้อยู่ในร่างเทพของเขา พลังศรัทธาและบุญกุศลที่เขาดูดซับมา สะท้อนเข้าสู่กระดูกพุทธะบางส่วน ตราบใดที่กระดูกนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อซื่อหลัวมาตามหา เฟิงปั๋วจะกลายเป็นครึ่งเทพองค์แรกในใต้หล้าที่ถูกซื่อหลัวทำลายอย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น หากเขาถูกทำลายไปเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เกรงว่าโชคลาภของตระกูลเหยียนจะได้รับผลกระทบเพราะเขา ทั้งตระกูลจะต้องทนทุกข์ทรมาน ในทางกลับกันหากซื่อหลัวค้นพบการมีอยู่ของโชคลาภนี้ เช่นนั้นทั้งตระกูลเหยียนจะสามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมในการช่วยหล่อเลี้ยงกระดูกพุทธะนี้ได้หรือ

เมื่อฉินหลิวซีคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ

เมื่อนางเห็นเฟิงปั๋ว ก็แอบมีความรู้สึกราวกับว่าคุ้นเคย แต่นางไม่เคยเจอเขามาก่อนอย่างแน่นอน และไม่ใช่เป็นเพราะเหยียนฉีซาน ตอนนี้ดูเหมือนว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นจะมาจากกระดูกพุทธะบนขาของเขา

นึกไม่ถึงเลยจริงๆ!

เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉินหลิวซีโดยไม่ได้ปกปิดด้วยความสงบนิ่ง เฟิงปั๋วจึงถามว่า “เจ้าทำเอาข้าใจวูบโหวง เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่”

ฉินหลิวซีชี้ไปที่ขาของเขา “ท่านรู้หรือไม่ว่ากระดูกขาของท่านนี้เป็นของใคร เมื่อห้าพันปีก่อน มีคนผู้หนึ่งฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นมารเอ้อฝูนามว่าซื่อหลัว และได้นำภัยพิบัติมาสู่ผู้คนจำนวนมาก…”

นางได้บอกเกี่ยวกับที่มาของซื่อหลัวว่าเขาเคยทำเรื่องใดไว้ หนีออกมาจากนรกได้อย่างไร กระทั่งที่นางเดาไว้ว่าเขาคิดที่จะทำอะไร

เฟิงปั๋วสีหน้าแปลกไป

ก้มลงมองขาของตัวเอง ตัวสั่นเล็กน้อย

“อย่าตกใจไป เขาหนีออกจากคุกมหาอเวจีนรก ต้องการจะตามหากระดูกกลับคืนมาหรือไม่นั้น ทั้งหมดล้วนเป็นการคาดเดาของข้าเท่านั้น บางทีอาจเป็นข้าที่คิดมากไป!” ฉินหลิวซีหัวเราะแห้ง

เฟิงปั๋วลูบขาพลางยิ้มอย่างหมดปัญญา “ตัวเจ้าเองเชื่อคำพูดนี้หรือ”

ฉินหลิวซีลำบากใจ แน่นอนว่านางไม่เชื่อ หากนางเป็นซื่อหลัวก็จะทำเช่นเดียวกัน ต่อให้มีผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้าสิงร่าง อย่างไรเสียก็ไม่ดีเท่ากับกระดูกร่างเดิมของตัวเอง หากลับคืนมาประกอบร่างใหม่ เช่นนั้นพลังของมันจะไม่สามารถทำลายล้างทั้งพิภพได้เลยหรือ

“กระดูกพุทธะมีทั้งหมดเก้าชิ้น ท่านหลอมรวมกระดูกหนึ่งในนั้นไป มีความรู้สึกถึงเสียงสะท้อนหรือการมีอยู่ของกระดูกชิ้นอื่นๆ หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

เฟิงปั๋วส่ายหน้าพลางเอ่ย “แต่ตอนที่เจ้าเอื้อมมือมาเมื่อครู่นี้ ข้าราวกับว่ามีความคิดอยากจะเข่นฆ่า”

ฉินหลิวซีตกตะลึง เงียบไปพักใหญ่ กล่าวว่า “กระดูกพุทธะนี้ได้เข้าสู่ร่างเทพของท่านแล้ว มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือให้พลังแก่ท่าน ข้อเสียคือหากใช้ไม่ดี ท่านก็จะถูกมันกระตุ้นความคิดชั่วร้าย เมื่อถึงเวลานั้นท่านอาจจะกลายเป็นเทพสังหาร สวรรค์ย่อมไม่ปล่อยไว้”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท