ตอนที่ 462 ปล่อยไปตามโชคชะตา
พึ่งจะรุ่งสางก็มีราษฎรมากราบไหว้บูชาเทพเจ้าน้ำที่ทะเลสาบลวี่หู เมื่อนำธูปปักลงในกระถางแล้วเงยหน้าขึ้นก็ตกตะลึงในทันที
“รูปปั้นเทพเจ้าน้ำมีใบหน้าแล้ว เทพเจ้าน้ำแสดงอภินิหารแล้ว!”
ก่อนหน้านี้เทพเจ้าน้ำในศาลแห่งนี้ไม่มีใบหน้า แต่ตอนนี้กลับมีใบหน้าราวกับลิงยักษ์มีชีวิตที่กำลังโกรธ ทรงพลังเป็นอย่างมาก เหมือนเทพเจ้ามากขึ้น
เสียงร้องตะโกนนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกใจ ทยอยกันมาชื่นชมสักการะบูชา
กระแสศรัทธาหลั่งไหลเข้ามาสู่เฟิงปั๋วไม่ขาดสาย ทำให้รูปปั้นของเขามีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ได้ไปที่ตระกูลของเหยียนฉีซาน นี่ก็เป็นคำขออันแรงกล้าของเหยียนฉีซานด้วย เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกแก่หัวหน้าตระกูล แต่หากให้เขาที่วันๆ เอาแต่ศึกษาตำราไม่ได้ตระหนักรู้เรื่องอำนาจลี้ลับไปเอ่ยเรื่องผีสางนางไม้เช่นนี้ เกรงว่าพูดจนปากเปื่อยก็ไม่สามารถทำให้หัวหน้าตระกูลเชื่อได้
ดังนั้นเขาจึงอยากให้ฉินหลิวซีไปช่วยเอ่ยสักหน่อย ทางที่ดีควรให้ท่านทวดแสดงตนด้วย
ฉินหลิวซีเห็นความจริงใจของเขา และเมื่อเห็นว่าเฟิงปั๋วเองก็คิดเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ตามเขาไปที่บ้านเดิมตระกูลเหยียน
เหยียนฉีซานอาศัยอยู่ในเมืองหลวง หากไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรก็น้อยที่จะกลับมาบ้านเดิมในอวี๋หัง หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันเป็นสายเลือดแท้ๆ ของท่านพ่อของเขา นั่นคือพี่ชายคนโตของท่านพ่อเขา ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกว่าท่านลุงใหญ่
ปีนี้หัวหน้าตระกูลเหยียนพึ่งจะอายุครบแปดสิบปี ยังคงดูแข็งแรง ใบหน้าแดงระเรื่อ แม้ว่าน้องชายแท้ๆ ของเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดของน้องชายของปู่เขา แต่น้องชายของปู่ก็เสียไปหลายปีแล้ว เขาเองก็ยังถือว่าเป็นน้องชายและไม่เคยตัดขาดสายเลือด
เมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันตรุษจีนแล้ว ได้เห็นหลานชายกลับมาที่บ้านเดิม ทำเอาหัวหน้าตระกูลเหยียนยิ้มด้วยความดีใจ ถามไม่หยุดว่าหลานชายกลับมาฉลองตรุษจีนที่บ้านเดิมหรือไม่
เหยียนฉีซานบอกว่ามีธุระ แล้วยังได้แนะนำเจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ กับเขา จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป เหลือเพียงผู้ที่รู้เรื่องไม่กี่คน และได้เริ่มเล่าให้ฟัง
เป็นดั่งที่คาดไว้ เมื่อหัวหน้าตระกูลเหยียนได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับผีสางนางไม้ ก็มองไปยังหลานชายของตัวเอง ถามเป็นนัยๆ ว่า “เจ้าสาม อากาศค่อนข้างหนาว เจ้าถูกลมหนาวพัดเป่าจนทำให้สับสนไปแล้วหรือ บุตรชายบ้านเจ้าเจ็ดนามว่าจื้อหย่วนผู้นั้นก็เรียนแพทย์แผนจีนโบราณ ให้เขามาช่วยจับชีพจรให้เจ้าดีหรือไม่ เชื่อลุงเถิด การรักษาโรคควรจะรักษาแต่เนิ่นๆ การหลีกเลี่ยงการรักษานั้นเป็นสิ่งที่ผิด”
เหยียนฉีซานรู้สึกหมดปัญญา มองไปยังฉินหลิวซีอย่างมีความหวัง รู้สาเหตุที่ข้าเชิญท่านมาที่นี่แล้วใช่หรือไม่
“ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่ได้ป่วย สิ่งที่ข้าพูดคือเรื่องจริง น้องชายของท่านปู่ทวดกลายเป็นครึ่งเทพแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นหลายสิบปีมานี้เหตุใดตระกูลเราจึงมีโชคลาภที่ดีเช่นนี้ เพียงระยะเวลาหกสิบปี ก็มีบัณฑิตจิ้นซื่อถึงสิบคนแล้วกระมัง สตรีในจวนส่วนใหญ่ก็แต่งงานมีความสุข บุรุษส่วนใหญ่ก็ได้แต่งงานกับภรรยาที่มีคุณธรรม พี่น้องรักใคร่สามัคคี ตระกูลเจริญรุ่งเรือง”
“นั่นย่อมเป็นเพราะมรดกทางวิชาการของตระกูลเหยียนเราได้รับการสืบทอดจากรุ่นสุ่รุ่น มีกฎตระกูลที่ดี ทุกสิ่งในตระกูลก็เจริญรุ่งเรือง” หัวหน้าตระกูลเหยียนยังคงไม่เชื่อ
เหยียนฉีซานหมดมุกแล้ว มองไปยังฉินหลิวซี เชิญออกโรงเถิด!
ฉินหลิวซีเอ่ย “ในเมื่อหัวหน้าตระกูลไม่เชื่อ เช่นนั้นก็จะอัญเชิญเทพเฟิงปั๋วลงมาพบ”
ขณะที่นางกล่าวก็ได้หยิบธูปมาจุด
หัวหน้าตระกูลเหยียนขมวดคิ้ว เห็นฉินหลิวซีที่อายุยังน้อยมีท่าทางแปลกๆ ซ้ำยังมาแสดงอภินิหารที่จวนเขาอีก ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ขงจื๊อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ…
อำนาจลี้ลับอะไร มันคืออะไร
ผีหรือ
หัวหน้าตระกูลเหยียนมองห้องโถงเล็กๆ ซึ่งเดิมทีมีเพียงพวกเขาไม่กี่คน เมื่อเห็นร่างเทพปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าก็เบิกตาโต
เมื่อเงานั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง เขาลุกขึ้นยืนตัวสั่นเทา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ท่านปู่น้อยหรือ”
คนผู้นี้คือน้องชายของท่านปู่ที่ช่วยน้องชายไว้ในตอนนั้นไม่ใช่หรือ
เฟิงปั๋วมองดูหัวหน้าตระกูลเหยียนที่ผมหงอก ซ้ำยังพูดไม่ชัด พินิจอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ย “เสี่ยวชัง เจ้ากินลูกกวาดมากไปจนฟันผุแล้ว จึงได้พูดไม่ชัด!”
สวรรค์ เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
มีเพียงเขาที่บอกว่าตัวเองกินลูกกวาดจนฟันผุทำให้พูดไม่ชัด
ข่าวนี้เกินจริง เกรงว่าเขากำลังหลับฝันอยู่ คงจะไม่ใช่เรื่องจริง
ฉินหลิวซีเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว เดินไปอยู่ข้างกายหัวหน้าตระกูลเหยียน เพียงแค่แทงลงไปหนึ่งเข็มเขาก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ออกมาจากห้องโถงเล็ก ให้บ่าวรับใช้พาพวกเขาไปงีบหลับ นางอายุยังน้อยไม่เป็นไร แต่เจ้าสำนักศึกษาถังอายุมากแล้ว อดหลับอดนอนทั้งคืนนั้นไม่ดีต่อร่างกาย
เจียงเหวินหลิวเชื่อฟังแต่โดยดี
หมายความว่าอย่างไร
“ข้ายังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเป็นร่างเทพ ไม่สามารถไปจากทะเลสาบลวี่หูได้ไกลเกินไป พูดจบข้าก็จะไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง เรื่องเกี่ยวกับโชคชะตาของตระกูลเหยียน ข้ามีสิ่งที่ต้องกำชับกับพวกเจ้า” เฟิงปั๋วเอ่ยเสียงเรียบ
เฟิงปั๋วพยักหน้า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ตระกูลเหยียนก็ไม่สามารถสละโชคลาภอันยิ่งใหญ่เพียงเพราะการมีอยู่ของข้อเสียเหล่านั้น และใช่ว่าจะสละก็สละได้ คงต้องปล่อยไปตามโชคชะตา”
แม้ว่าเขาจะแก่แล้วแต่ก็ยังไม่ได้เลอะเลือน เมื่อเอ่ยขึ้นมาก็เข้าใจถึงปัญหาที่มีอยู่ในทันที
โชคลาภนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่เมื่อตระกูลมีโชคลาภเช่นนี้ก็จะคงอยู่ไปอย่างยาวนานไม่เสื่อมคลาย ราวกับโชคลาภสายเลือดมังกร หากโชคของอาณาจักรหมดไป อาณาจักรก็จะเสื่อมถอย โชคลาภของตระกูลก็เหตุผลเดียวกัน
และความจริงที่ว่าโชคลาภสามารถถูกขโมยหรือสลับเปลี่ยนได้ ได้ทำให้หัวหน้าตระกูลเหยียนตกใจจนเหงื่อเย็นออกทั้งตัว โค้งคำนับเฟิงปั๋วด้วยความเคารพ “ขอท่านบรรพบุรุษช่วยให้คำแนะนำด้วยเถิด”
ฉินหลิวซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ย “การต่อสู้กับสวรรค์และปฐพีนั้นมีแต่ความสนุกไม่รู้จบ ข้าก็เพียงแค่ปล่อยไปตามโชคชะตา”
ส่วนเจียงเหวินหลิว ฉินหลิวซีคำนวณดูก่อนจะเอ่ย “พรุ่งนี้เป็นฤกษ์ดีในการเดินทาง วันนี้เตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้ก็กลับเมืองหลวงแต่เช้าเถิด”
ให้พ่อบ้านพาคนที่ควรพักผ่อนไปพักผ่อน ส่วนคนที่มีอะไรต้องทำก็ไปทำ ส่วนฉินหลิวซียังคงรออยู่ที่หน้าประตู คาดว่าอีกสักครู่พวกเขายังต้องเชิญนางเข้าไปพูดคุย
ปรากฏว่าไม่นานเหยียนฉีซานก็ออกมาหานาง
หลังจากกลับเข้าไปในห้องโถงเล็กอีกครั้ง หัวหน้าตระกูลเหยียนก็โค้งคำนับนางอย่างเป็นทางการ “ตาเฒ่าอย่างข้ามีตาหามีแววไม่ เกือบจะล่วงเกินท่านอาจารย์น้อยเข้าแล้ว ได้โปรดอย่าถือสาตาเฒ่าอย่างข้าเลย”
“หัวหน้าตระกูลเกรงใจแล้ว” ฉินหลิวซีหลีกเลี่ยง มองไปยังเฟิงปั๋ว “อธิบายหมดแล้วหรือ”
“กล่าวถูกต้องแล้ว การมีอยู่ย่อมมีเหตุผล มีตระกูลมากมายในโลกนี้ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตก็คือสิ่งที่เป็นไปตามชะตากรรม” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “และข้าเชื่อเสมอว่าลิขิตสวรรค์นั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบ ทุกสิ่งล้วนมีจุดเปลี่ยนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะดำเนินไปอย่างไรก็เท่านั้น”
เฟิงปั๋วมองไปที่นาง “ท่านเจ้าอาวาสน้อยอายุยังน้อยแต่กลับใช้ชีวิตอย่างเปิดกว้าง”