คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 465 เพิ่มผู้ศรัทธาได้อีกหนึ่งคนก็ยังดี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 465 เพิ่มผู้ศรัทธาได้อีกหนึ่งคนก็ยังดี

ฉินหลิวซีเข้าไปใกล้อีก เห็นว่าเจ้าก้อนน้อยตัวจ้ำม่ำที่ตอนนี้ดวงตาปิดลง สีหน้าซีดเซียว หายใจเร็ว นางจับมือเขาขึ้นมา ใช้สองนิ้วสัมผัสชีพจร

ชีพจรเต้นเร็วและแรง ตัวร้อนฉับพลัน นางเหลือบมอง เห็นรอบผื่นแดงบนคอของเจ้าก้อนน้อย ราวกับว่ามีผื่นขึ้น

“ดูที่คอนายน้อยเร็วเข้า” แม่นมตาไว เมื่อเห็นรอยผื่นเป็นจ้ำเหล่านั้นจึงอุทานด้วยความตกใจ

ฮูหยินน้อยจูตกใจเป็นอย่างมาก “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ถอดเสื้อผ้าของเขาออกดู” ฉินหลิวซีปล่อยมือ เปิดเปลือกตาของเจ้าก้อนน้อย เขาสลบไปแล้ว มองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามว่า “นอกจากกินลูกกวาดแล้วยังกินอะไรไปอีกบ้าง”

“ไม่มีแล้ว นายน้อยเป็นคนเลือกกินมาก ไม่ค่อยกินอาหารจากข้างนอก ส่วนลูกกวาดนี้เป็นลูกกวาดที่พวกเราพกติดตัว” แม่นมตอบ

ฉินหลิวซีมองดูรูปร่างของเจ้าก้อนน้อย อายุประมาณสามถึงสี่ขวบ ตัวอ้วนกลม เต็มไปด้วยเนื้อ ตอนที่จับชีพจรเมื่อครู่ นางต้องกดลึกลงไปจึงจะจับโดนชีพจร

เลือกกินจนกลายเป็นเด็กอ้วน แสดงว่าตระกูลจูรู้จักวิธีเลี้ยงเด็ก

สาวใช้ได้ถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้ว ทุกคนต่างก็เห็นผื่นที่ขึ้นบนร่างกายของเขา

“สวรรค์ จู่ๆ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ลูกชายข้า…” ฮูหยินน้อยจูแทบจะเป็นลม ร้องไห้ออกมา

แม่นมสีหน้าซีด เอ่ย “เป็นไปได้อย่างไร”

เถ้าแก่ร้านซูจี้เอ่ยถาม “ท่านหมอน้อย หรือว่าจะถูกวางยา ฮูหยินน้อยจูกับคนอื่นๆ มาได้ยังไม่ถึงสองเค่อ เด็กคนนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นเช่นนี้”

“ไม่ได้ถูกพิษ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นพิษ” ฉินหลิวซีถามแม่นมและคนอื่นๆ “ก่อนหน้านี้เคยเป็นเช่นนี้หรือไม่”

แม่นมส่ายหน้า “ไม่เคยเป็นมาก่อนเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ สายตาไปตกอยู่ที่ตะเกียงที่เตาเผาถ่านกำลังลุกโชน จากนั้นก็มองไปยังดอกไป่เหอ[1]หลายดอกที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมในแจกันบนโต๊ะ คาดเดาอยู่ในใจ

ฉินหลิวซีตรวจสอบร่างกายของเจ้าก้อนน้อย จากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมาแล้วเริ่มฝังเข็มให้เขา ทำให้การหายใจไม่เร็วและลำบากอีกต่อไป เมื่อหยุดเข็ม ผื่นแดงร้อนวูบวาบบนใบหน้าก็ดูเหมือนจะไม่แพร่กระจายแล้ว

ทุกคนประหลาดใจ เขาเป็นหมอจริงๆ ด้วย!

“นี่เป็นการถอนพิษหรือ” เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกรงว่าหากมีบางอย่างผิดปกติกับเจ้าก้อนน้อยผู้สูงศักดิ์ในร้านค้าของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาอีก

ฉินหลิวซีให้คนไปเอาดอกไป่เหอมา ทุกคนไม่เข้าใจ แต่สาวใช้รีบไปเอามาให้อย่างรวดเร็ว

ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน ฉินหลิวซีเอาเกสรดอกไป่เหอมาทาที่หลังเท้าของเจ้าก้อนน้อย จากนั้นไม่นานก็มีผื่นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนหลังเท้าโดยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเด็กน้อยก็เริ่มหายใจเร็วอีกครั้ง

“เขาถูกพิษแล้ว”

นี่เป็นเพียงแค่ผงเกสรดอกไม้เท่านั้น ก็กลายเป็นยาพิษแล้วหรือ

ฉินหลิวซีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดละอองเกสรดอกไม้ออก หยิบขวดยาจากเอว เทออกมาหนึ่งเม็ดแล้วป้อนใส่ปากเขา ใช้กำลังภายในกระตุ้นยา จากนั้นก็หมุนเข็มเงินพลางเอ่ย “พวกเราที่เป็นหมอเรียกอาการนี้ว่าภูมิแพ้แต่กำเนิด”

นางเอ่ยมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ฮูหยินน้อยจูจึงถามว่า “หมายความว่าอย่างไรหรือ”

ฉินหลิวซีเหลือบมองผู้คนในสถานที่แห่งนี้

ฮูหยินน้อยจูใจสั่นเล็กน้อย จ้องมองทุกคนด้วยสายตาเฉียบคม ราวกับบอกให้ฉินหลิวซีรู้แต่ก็ราวกับกำลังเตือนผู้คนในห้องหย่า เอ่ยว่า “ท่านหมอวางใจได้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนรอบตัวข้าที่ไว้ใจได้ ไม่เผยแพร่ออกไปแน่นอน”

ขณะที่นางพูดก็ยังมองไปที่เถ้าแก่เนี้ย

เถ้าแก่เนี้ยรีบแสดงจุดยืนอย่างรวดเร็ว “ร้านซูจี้ของพวกเรามีชื่อเสียงมาโดยตลอด ไม่ใช่คนปากสว่าง มิเช่นนั้นฮูหยินน้อยจูก็คงไม่ชอบมาเยี่ยมชมร้านซูจี้ของพวกเราหรอกกระมัง ท่านวางใจได้ คำกล่าวนี้จะรู้เพียงคนที่อยู่ที่นี่ จะไม่ไปเข้าหูผู้อื่นอย่างแน่นอน”

ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “ภูมิแพ้แต่กำเนิดเป็นอาการที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด เหมือนกับคุณชายน้อยผู้นี้ เขาแพ้ละอองเกสรดอกไป่เหอแต่กำเนิด ในห้องนี้มีเตาถ่านเผาไหม้อยู่ ดอกไม้กำลังเบ่งบานพอดี เกสรจึงปลิวไปตามลม เป็นเพราะเขาสูดเกสรดอกไม้เข้าไปจึงได้หายใจลำบากและมีผื่นขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นอาการนี้ก่อน เมื่อหายใจเร็วจึงได้สำลักลูกกวาดที่อมอยู่ในปาก นับว่าอาการแรกยังไม่ทันทุเลาอาการต่อมาก็เข้าแทรก หลังจากสำลักลูกกวาดออกมา เขาได้รับลมจากข้างนอก เมื่อกลับไปที่ห้องหย่าที่อบอุ่นอีกครั้ง และได้สูดละอองเกสรเข้าไปจึงได้เป็นลมหมดสติ แต่ก็นับว่ารู้สาเหตุได้ทันเวลา อีกทั้งยังมีหมออยู่ หากการช่วยเหลือช้าเกินไป ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน”

อาการแพ้อาจมีตั้งแต่ผื่นขึ้นไปจนถึงหายใจลำบากจนเป็นลมไปเหมือนเขาเช่นนี้ จากนั้นก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็มี

ฮูหยินน้อยจูสีหน้าซีดในทันที

ในที่สุดนางก็เข้าใจถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีลังเลในเมื่อครู่ เพียงแค่ละอองเกสรดอกไม้ก็สามารถทำร้ายบุตรชายของนางได้ หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปแล้วมีคนคิดจะทำร้ายเขา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องง่าย

เถ้าแก่เนี้ยเองก็มึนงง “พวกเราไม่รู้ว่าละอองเกสรก็เป็นเช่นนี้ได้ เช่นนั้น…”

“ดูเหมือนว่าดอกไป่เหอจะบานในฤดูร้อน เป็นเรื่องยากที่ดอกไป่เหอจะบานสะพรั่งได้ดีในฤดูหนาว” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง

ฮูหยินน้อยจูมองเถ้าแก่เนี้ยด้วยสายตาเย็นชา “แม่นางชิ่ง เพราะข้าเชื่อใจร้านซูจี้จึงได้มาเยี่ยมชม เกรงว่าพวกเจ้าจะต้องให้คำอธิบายแก่ข้า”

เถ้าแก่เนี้ยที่ถูกเรียกว่าแม่นางชิ่งก็รู้สึกไม่ยุติธรรม แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวอธิบายว่า “ฮูหยินน้อยจู ท่านก็รู้ว่าฮูหยินใหญ่ซูของพวกเราเป็นคนรักดอกไม้ โดยเฉพาะดอกกล้วยไม้กับดอกไป่เหอ ด้วยเหตุนี้นางจึงสร้างเรือนอุ่นเพื่อใช้เป็นเรือนเพาะปลูกดอกไม้นานาชนิด จริงอยู่ที่ว่าดอกไป่เหอจะบานในฤดูร้อน แต่ฮูหยินใหญ่ของพวกเรามีห้องอุ่น นางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกดอกไม้ แม้แต่ดอกไป่เหอก็ทำให้บานในฤดูหนาวได้ หากไม่เชื่อท่านสามารถไปเยี่ยมชมได้ ดอกไป่เหอนี้นางส่งมาจากเรือนอุ่น อย่างที่ท่านทราบร้านซูจี้ของพวกเราตกแต่งแต่ดอกไม้ตามฤดูกาลเท่านั้น”

เพื่ออธิบายเรื่องบังเอิญเช่นนี้ แม่นางชิ่งได้กล่าวอีกว่า “และดอกไม้เหล่านี้พวกเราก็สัมผัสได้โดยไม่มีใครเป็นอะไร”

นางพูดพลางถูละอองเกสรดอกไม้ไปทั่วมือ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฮูหยินน้อยจูนึกถึงนิสัยที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครของฮูหยินใหญ่ซู จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี พยักหน้า “ฮูหยินใหญ่ซูรักดอกไม้ ทุกคนต่างรู้ดี”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีการทะเลาะวิวาทอะไรกันที่นี่ ข้าเพียงแสดงความคิดเห็นของหมอ ไม่ได้ตั้งใจจะโทษใคร ทุกคนล้วนมีภูมิแพ้แต่กำเนิด มีสิ่งมากมายนับหมื่นที่สามารถเกิดอาการแพ้ได้ อย่างเช่น เกสรดอกไม้ สุรา และอาหาร บางคนถึงขั้นไม่สามารถกินไข่ไก่ ถั่วลิสง ซิ่งเหริน[2] นมวัว พวกเราไม่ต้องกล่าวไปไกล เพียงแค่เอ่ยเรื่องของคุณชายน้อย ในเรื่องอาหารข้ายังไม่รู้ แต่เขาห้ามเข้าใกล้ดอกไป่เหอนี้เป็นอันขาด พวกท่านต้องระวัง”

“สามารถตรวจอะไรได้อีกหรือไม่” ฮูหยินน้อยจูเอ่ยถาม

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าไม่มีความสามารถนี้ และในโลกนี้ก็ไม่มีใครทำได้” เมื่อเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าของฮูหยินน้อยจู จึงเอ่ยต่อว่า “โหวงเฮ้งของบุตรชายท่านมีวาสนาจะได้เป็นผู้ร่ำรวยและมีฐานะสูงส่ง แม้ว่าจะมีอุปสรรคและอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่ก็จะได้พบกับผู้สูงศักดิ์ ท่านวางใจเถิด”

“ท่านดูโหงวเฮ้งเป็นด้วยหรือ”

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “ข้าคือเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิงในเมืองหลี มีนามเต๋าว่าปู้ฉิว มีทักษะการรักษาและดูโหงวเฮ้งอยู่บ้าง”

ผู้ศรัทธาเพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็ดีกว่าไม่มี ล้วนเป็นการเพิ่มความศรัทธาให้แก่เจ้าลัทธิเต๋าของพวกเรา

เจ้าลัทธิเต๋า ‘ไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดูเจ้า แต่คำพูดนี้ดูผิดไปเล็กน้อย’

[1] ดอกไป่เหอ ดอกลิลลี่

[2] ซิ่งเหริน อัลมอนด์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท