คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 466 ทั้งหมดเป็นเพราะความยากจน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 466 ทั้งหมดเป็นเพราะความยากจน

หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้วฉินหลิวซีก็ดึงเข็มออก เมื่อฮูหยินน้อยจูเห็นว่าบุตรชายสงบลงแล้ว ทั้งยังลืมตาพลางเรียกท่านแม่อย่างแผ่วเบา ก็อดดีใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ถ่อมตัวแล้ว บุตรชายข้าฟื้นแล้ว ไม่ทราบว่าโรคนี้รักษาให้หายขาดได้หรือไม่”

“นี่คือโรคประจำตัว ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างเช่นครั้งนี้รักษาให้เขาแล้ว แต่หากหายใจเอาเกสรดอกไป่เหอเข้าไปอีกอาการก็จะกำเริบอีก พวกเราไม่มีการตอบสนองเช่นนี้กับดอกไป่เหอ มีเพียงสภาพร่างกายอย่างเขาเท่านั้น ดังนั้นเอ่ยได้ว่าดอกไป่เหอเป็นพิษต่อเขา พวกเจ้าเพียงแค่ต้องระมัดระวังก็จะไม่มีปัญหาใหญ่แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะเขียนใบสั่งยาต้มหมาซิ่งสือกัน[1]ให้เขาดื่ม ในวันทั่วไปให้พวกเจ้าเตรียมผงแก้พิษไว้ข้างกายสักหน่อย เพื่อป้องกันเวลาที่ลมพัดมา หากสูดละอองเกสรดอกไม้เข้าไปอาการก็จะกำเริบอีก”

“เช่นนั้นรบกวนท่านอาจารย์ช่วยเขียนใบสั่งยาด้วย” ฮูหยินน้อยจูเอ่ย

เถ้าแก่เนี้ยรีบส่งกระดาษและพู่กันไปให้

ฉินหลิวซีรับมา รีบเขียนใบสั่งยาสองใบแล้วยื่นให้ “หลังจากดื่มยาต้มหมาซิ่งสือกันแล้วสามารถกินสิ่งนี้เพื่อปรับสภาพร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้ นอกจากนี้การใช้เวลาอยู่กลางแสงแดดมากขึ้นจะช่วยให้เขาฝึกวรยุทธ์ได้ดี แต่หากไม่ฝึกวรยุทธ์ก็ให้ฝึกอู่ฉินชี่[2]อะไรเหล่านั้นจะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นได้ เช่นนี้แม้ว่าจะสูดดมละอองเกสรดอกไม้แล้วอาการกำเริบอีก อาการก็จะไม่รุนแรง เพราะร่างกายแข็งแรงจนสามารถต้านทานได้”

“การฝึกฝนวรยุทธ์นั้นลำบากมากนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพึมพำขึ้นมา

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “การฝึกฝนวรยุทธ์นั้นย่อมลำบากอยู่แล้ว การเรียนรู้ทักษะวิชาความสามารถก็ยากเช่นกัน หากทนความลำบากไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยอมรับและเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอย่างธรรมดา หากเทียบกับการสูญเสียชีวิต การทนต่อความยากลำบากนั้นคงไม่เป็นปัญหาหรอกกระมัง”

สาวใช้ใบหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

แต่ฮูหยินน้อยจูกลับฟังอย่างใส่ใจ หากเทียบกับชีวิตของบุตรชายแล้ว นางเต็มใจเห็นบุตรชายทนต่อความยากลำบาก

“กลับไปต้มยาให้เขาดื่มเถิด ในขณะที่ดื่มยาห้ามกินอาหารจำพวกอาหารทะเล ไข่ไก่ เนื้อวัว” ฉินหลิวซีกำชับแล้วเตรียมจะจากไป

ฮูหยินน้อยจูส่งเด็กน้อยให้แม่นมอุ้ม หยิบถุงเงินมาจากสาวใช้ข้างกาย ส่งให้ฉินหลิวซีพลางเอ่ย “วันนี้ออกจากจวนโชคดีได้พบกับท่านอาจารย์ บุตรชายของข้าจึงได้ไม่มีอันตราย ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์พักอยู่ที่ไหน เมื่อกลับไปข้ากับสามีจะไปขอบคุณด้วยตัวเอง”

“ไม่ต้องหรอก อีกสักครู่ข้าจะไปจากอวี๋หังและกลับเมืองหลี แค่นี้ก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีรับถุงเงินมาแล้วยัดเอาไว้ในเข็มขัด

เมื่อฮูหยินน้อยจูเห็นอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ จึงเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ต้องการซื้อผ้าไหมใช่หรือไม่ ของที่ท่านซื้อในวันนี้ ข้าจะจ่ายเองทั้งหมด”

นางเอ่ยพลางมองไปยังแม่นางชิ่ง

แม่นางชิ่งก็เข้าใจในทันที รีบเอ่ยกับคนงานที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปถามว่าท่านอาจารย์ดูผ้าดิ้นอะไรไว้บ้าง รวบรวมมาทั้งหมด แล้วเพิ่มผ้าฝ้ายซงเจียงกับผ้าแพรสีพื้นอีกหนึ่งผืน นี่คือค่าตอบแทนที่ร้านซูจี้มอบให้ท่านอาจารย์”

โชคดีที่ฉินหลิวซีเข้ามาช่วย ทำให้ไม่เกิดเรื่องกับคุณชายน้อยตระกูลจูผู้นี้ หากช่วยเขากลับคืนมาไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีจากความผิดพลาดได้

แม่นางชิ่งถามฉินหลิวซีว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าทุกคนล้วนมีโรคภูมิแพ้แต่กำเนิดเช่นนี้ ตราบใดที่ไม่ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น หรือตราบใดที่หลีกเลี่ยงมันก็จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “อาการแพ้อาหารที่พบได้บ่อยที่สุดคือนมวัว อาหารทะเลอย่างเช่น กุ้งและปู ถั่วลิสง ปลา…”

“ช้าก่อน” แม่นางชิ่งหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาจด เอ่ยว่า “ข้าต้องจดไว้สักหน่อย อย่างไรเสียร้านซูจี้ของพวกเราทุกร้านล้วนมีขนมเล็กๆ น้อยๆ ซ้ำยังมีหอสุรา ต่อไปจะได้เตือนลูกค้าก่อนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”

“ท่านละเอียดรอบคอบมาก” ฉินหลิวซีชื่นชม เอ่ยว่า “ข้าเขียนให้เอง”

นางเขียนสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ทั่วไปที่อยู่ในความทรงจำของนาง อย่างเช่น อาหาร เกสรดอกไม้ และสิ่งอื่นๆ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ยื่นให้

ฮูหยินน้อยจูรีบให้สาวใช้ไปคัดลอกมาหนึ่งแผ่น

เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่านางท่าทางราวกับเผชิญปัญหาใหญ่ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ให้เจ้าตัวน้อยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เมื่อร่างกายแข็งแรงแล้วก็จะมีภูมิต้านทานต่ออาการภูมิแพ้ได้ เพียงกินยาสักหน่อยก็หายแล้ว อีกอย่างยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็จะน้อยลง จึงจะสามารถรับชะตาชีวิตอันดีเช่นนี้ได้”

“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์พอจะมอบยันต์แคล้วคลาดให้ได้หรือไม่” ฮูหยินน้อยจูถือโอกาสถามอีกครั้ง

ฉินหลิวซียิ้ม หยิบยันต์แคล้วคลาดออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อแล้วใส่เข้าไปในเสื้อของเจ้าก้อนน้อย ลูบหน้าผากเจ้าตัวน้อยพลางเอ่ยให้พร “ขอเทพเจ้าประทานพรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

เจ้าตัวน้อยมองนาง เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม

ฉินหลิวซีไม่ได้อยู่ต่อ เดินออกไปท่ามกลางการมุงดูของแม่นางชิ่งและสาวใช้ข้างกายของฮูหยินน้อยจู เมื่อหย่งเฉวียนเห็นผ้าไหมเหล่านั้นถูกนำมาวางไว้ในรถก็รู้สึกชาเล็กน้อย มองฉินหลิวซีด้วยความเกรงขามยิ่งขึ้น

ท่านนี้ไม่เพียงแต่ดูโหงวเฮ้งเป็น ซ้ำยังมีวิชาแพทย์ที่ดีอีกด้วย!

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว หย่งเฉวียนก็เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ฮูหยินน้อยจูผู้นี้เป็นฮูหยินน้อยตระกูลจูที่มีร้านขายอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในอวี๋หัง แม้ว่าตระกูลสามีของนางจะเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา แต่ตระกูลของพวกเขามีภูเขาเงินภูเขาทอง ซ้ำยังมีพระสนมผู้สูงศักดิ์ที่ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย อีกอย่างตระกูลมารดาของฮูหยินน้อยจูคือจวนฉังซิงปั๋ว”

“อ้อ? เช่นนั้นก็ต้องดูว่าค่าตอบแทนนี้เป็นเงินเท่าไหร่” ฉินหลิวซีนำกระเป๋าเงินออกมาแล้วโยนให้เถิงเจา “ลองดูสิ”

เถิงเจาเปิดดู ข้างในมีตั๋วเงินสามใบ ใบละหนึ่งพันตำลึง

ฉินหลิวซีเหลือบมอง พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่เลวเลย สมแล้วที่ตระกูลได้รับฉายาว่าภูเขาทองภูเขาเงิน”

หย่งเฉวียนพูดไม่ออกเล็กน้อย เอ่ยว่า “เงินเป็นเรื่องเล็ก น้ำใจจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ท่านได้รับน้ำใจจากคนตระกูลจูและฮูหยินน้อยจูในคราวเดียว”

“เจ้าไม่เข้าใจ สำหรับพวกเราเงินจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า เจ้ายังไม่เคยเห็นอารามชิงผิงของพวกเรา วัดวาอารามของผู้อื่นงดงามเป็นอย่างมาก แต่ของพวกเรา แม้ว่าจะไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว แต่ก็ไม่พอที่จะเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่และงดงาม วิหารหลักหลังคาทองก็พึ่งได้รับการสร้างในปีนี้ รูปหล่อทองของเจ้าลัทธิเต๋าก็เช่นกัน” ฉินหลิวซีนึกถึงบ้านเกิดของตัวเอง “ช่วยไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความยากจน ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเราแล้ว น้ำใจนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าอย่าลืมว่าเงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ[3] พวกเราทั้งต้องสร้างวิหารและต้องบำเพ็ญกุศล ไหนเลยจะไม่ต้องใช้เงิน”

หย่งเฉวียน “…”

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่อยากจะบอกว่าอย่ามองเพียงผิวเผินเช่นนั้น แต่สิ่งที่นางเอ่ยมาก็ถูก

วัดวาอารามที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ไม่ว่าจะตั้งไว้ที่ใดก็จะดึงดูดผู้ศรัทธาและผู้ออกบวชให้มาอยู่ประจำ หากไม่มีแม้ที่ให้พัก แล้วเขาจะมาอยู่ประจำได้อย่างไร ใช้ฟางมุงหลังคาเอาหรือ

“ด้วยความสามารถของท่าน ตราบใดที่ท่านเต็มใจ ต้องการหาค่าน้ำมันตะเกียงให้ได้มาก ก็ล้วนเป็นเรื่องง่าย” หย่งเฉวียนเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น พ่อค้าเหล่านั้นมีเงินมากมาย แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม หากท่านยื่นมือไปช่วยเหลือ เลือกฮวงซุ้ยบรรพบุรุษที่ดี เงินก็จะไหลมาเทมา หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอะไรทำนองนั้น ก็จะมีคนจำนวนมากหอบเงินมาขอร้องท่าน”

เถิงเจาเอ่ยอย่างซื่อสัตย์ว่า “อารามชิงผิงของพวกเราเกิดมาจากความชอบธรรม รับค่าน้ำมันตะเกียงมาอย่างจริงใจ ไม่ทำมนต์ดำเพื่อช่วยผู้คนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตที่ขัดกับเจตจำนงของสวรรค์อะไรเหล่านั้น อย่าเอ่ยเหลวไหล”

หย่งเฉวียนตกตะลึง รีบยิ้มพลางเอ่ยขอโทษ “ข้าน้อยพูดมากเกินไปแล้ว”

ฉินหลิวซีลูบศีรษะลูกศิษย์ เอ่ยกับหย่งเฉวียนว่า “สิ่งที่คนทำสวรรค์เฝ้าดูอยู่ สิ่งที่ผู้ที่เข้าสู่ลัทธิเต๋าอย่างพวกเราทำจะต้องแบกรับผลที่ตามมามากขึ้น ไม่สามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้”

หย่งเฉวียนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ข้าน้อยมีความคิดที่ไม่ดี ขายหน้าท่านอาจารย์แล้ว”

ฉินหลิวซีน้ำเสียงเปลี่ยนไป “แน่นอนว่าตราบใดที่มีเงินมากพอ และไม่ผิดศีลธรรม จะยื่นมือเข้าไปช่วยก็ไม่เสียหาย!”

หย่งเฉวียน “!”

[1] ยาต้มหมาซิ่งสือกัน ออกฤทธิ์ เผ็ด เย็น ระบายความร้อน ระบายชี่ของปอด ควบคุมอาการหอบ

[2] อู่ฉินซี่ การบริหารร่างกายโดยเลียนแบบท่าทางของสัตว์ 5 ชนิดคือ เสือ กวาง หมี ลิง และนก

[3] เงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ ความลำบากเล็กน้อยแต่กลับทำให้เรื่องสำคัญไม่อาจดำเนินต่อ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท