บทที่ 571 มังกรหยิ่งยโส!
บทที่ 571 มังกรหยิ่งยโส!
“วาบ!”
ท้องฟ้าและผืนแผ่นดินทั้งผืนสว่างไสวด้วยแสงสีเขียวแกมน้ำเงินจากร่างของวั่งไฉ รัศมีแห่งพลังอำนาจแผ่กระจายเป็นวงกว้าง
ลู่หยวนกำมือแน่น ทันใดนั้น ค่ายกลที่กักขังวิญญาณมังกรหยวนก็สั่นสะเทือนในพริบตา ค่ายกลนั้นแผ่ขยายออกไปหลายร้อยลี้
จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ พร้อมมังกรเจินหลง ต่างถูกลู่หยวนพาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่ด้านนอกค่ายกล!
ร่างของลู่หยวนและหญิงสาวเพิ่งลงแตะพื้นไม่ทันไรก็เห็นว่าพลังอันยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากกลางค่ายกลทันที!
“ตู้ม!”
พลังอันยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนสิ่งที่สามารถทำลายฟ้าดิน กัดเซาะแผ่นดินและอากาศให้แตกสลายในพริบตา มันทลายเป็นชิ้น ๆ ไปทีละชั้น ๆ!
ฝุ่นควันมหาศาลลอยขึ้น สัมผัสอันยิ่งใหญ่แผ่ขยายออกไปหลายร้อยลี้ พุ่งตรงไปยังค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศ เข้าปะทะอย่างจัง ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป
แสงสีเขียวแกมน้ำเงินพร้อมด้วยอักขระอันสั่นไหวจำนวนมากโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางฝุ่นละออง
จากนั้นก้อนวัตถุสีเขียวแกมน้ำเงินขนาดใหญ่ก็ลอยขึ้นในอากาศราวกับไข่มังกร
ลู่หยวนรู้ดีว่าวั่งไฉเริ่มดูดกลืนพลังและย่อยมัน
วิญญาณแห่งมังกรหยวนนี้ก็ถือว่าเป็นพลังแห่งการสืบทอด ตราบใดที่พลังนั้นยินยอมสยบ และส่งผ่านไปยังคนต่อไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าจะสามารถย่อยพลังเหล่านั้นได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนมากมายที่ได้รับการยอมรับจากผู้ทรงพลังและรับพลังเหล่านั้นมา ทว่าก็มีไม่น้อยที่สิ้นชีวิตลงในระหว่างการถ่ายทอดพลัง!
การที่วั่งไฉจะรับการถ่ายทอดพลังนี้ ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ลู่หยวนกลับไม่รู้สึกกังวล นั่นเพราะวั่งไฉผู้นี้ติดตามลู่หยวนมานานแล้ว หากว่ามันไม่สามารถทนรับพลังนี้ได้ ลู่หยวนคงลอกหนัง เลาะเอ็นของมัน จากนั้นก็นำไปต้มกินเสีย!
ลู่หยวนละสายตาจากระยะไกล และหันกลับมามองหลิงอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมแขนของตน
หลิงอวิ๋นหลับอยู่ในอ้อมกอดของลู่หยวนอย่างสงบ และสีหน้าของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว
ปราณกระบี่ของลู่หยวนนั้นมีรากฐานมาจากหลิงอวิ๋น แต่บัดนี้เขาได้รับพลังจากการช่วยเหลือของระบบ กล่าวได้ว่าตอนนี้เขาได้เลื่อนขั้นไปสู่จุดสูงสุดของปราณกระบี่แล้ว
ในเวลานี้ หากเปรียบเทียบเพียงแค่ในด้านปราณกระบี่ ลู่หยวนและหลิงอวิ๋นนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
แต่เมื่อลู่หยวนพยายามใช้ปราณกระบี่เพียงนิด ปราณกระบี่ในร่างของหลิงอวิ๋นก็จะเคลื่อนไหวตามราวกับว่ากำลังตอบสนองต่อปราณกระบี่ของลู่หยวน คล้ายว่าทั้งสองจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!
แม้ว่าหลิงอวิ๋นจะตัดใจจากความรักและเข้าสู่วิถีหอกอำมหิต บังคับตนเองให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของปราณกระบี่และเข้าใกล้วิถีแห่งสวรรค์
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขาดไปเล็กน้อย ปราณกระบี่ที่ลู่หยวนเรียกใช้นั้นได้ช่วยให้หลิงอวิ๋นสัมผัสได้ถึงการฝึกฝน หากหลิงอวิ๋นเดินทางไปพร้อมกับลู่หยวน ย่อมมีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่จะบรรลุได้อีกครั้ง ทำให้วิถีหอกอำมหิตของตนในขณะนี้แข็งแกร่งขึ้น หากฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดก็อาจจะเทียบเท่ากับวิถีแห่งสวรรค์ได้โดยตรง!
ลู่หยวนได้วางแผนไว้ล่วงหน้า หลิงอวิ๋นเป็นนักรบที่หาได้ยาก หากเลี้ยงดูนางไว้สักระยะหนึ่ง ในอีกไม่นานนางก็จะสามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!
หลังจากคิดแผนการทั้งหมดเสร็จสิ้น ลู่หยวนก็ละสายตาและมองไปยังหญิงสาวที่ตัวสั่นเทาอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าชื่ออะไร?”
ลู่หยวนถามอย่างกะทันหัน
จู่ ๆ หญิงสาวก็ตกใจราวกับว่านางไม่คาดคิดว่าลู่หยวนจะถามคำถามเช่นนั้นขึ้นมา แต่นางก็ตอบอย่างให้ความยำเกรง “ข้าไม่มีชื่อ”
เหล่าผู้ใช้มังกรมักจะมีจำนวนน้อย มากที่สุดก็ไม่เกินสิบ ตอนนี้เหลือเพียงสามสาวเท่านั้น
ทุกคนเรียกขานกันว่าต้าวา เอ้อร์วา ซานวา ไม่มีใครต่างออกไปจากนี้ หรือสรุปก็คือไม่มีชื่อ
“เจ้าและมังกรเจินหลงสามพันตัวนั่น ต้องยอมจำนนต่อข้า”
ลู่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สิ่งที่เอ่ยมานั้นเป็นเพียงการสั่งหญิงสาวโดยไม่รับฟังคำโต้แย้งแม้แต่นิด!
แม้ตอนนี้หญิงสาวจะยังไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับพลังของลู่หยวน เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้นางกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
เจ้าลู่หยวนนี่เพียงปล่อยลมก็สามารถทำให้ตนเองตายได้แล้ว!
หากขัดขืนอีกฝ่ายก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายโดยแท้!
ตอนที่นางกล่าวคำดูหมิ่นต่อลู่หยวนว่าจะให้อีกฝ่ายมาเป็นพ่อพันธุ์นั้น นางไม่มีแนวคิดอะไรเลย
เพราะอย่างไรก็ตาม ที่แห่งนี้มีนักรบผู้แข็งแกร่งผ่านมานักต่อนัก แต่แล้วเป็นอย่างไร?
คนเหล่านั้นก็ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงคิดเป็นธรรมดาว่า ไม่ว่าลู่หยวนจะเก่งกาจสักเพียงใดก็คงเหมือนเช่นเมื่อก่อน คือต้องพ่ายแพ้ให้กับวิญญาณแห่งมังกรหยวน
ทว่าตอนนี้วิญญาณแห่งมังกรหยวนกลับถูกกลืนกินเข้าไปแล้ว
และเจ้าตัวก็ได้เอ่ยแล้วว่าจะไว้ชีวิตนาง เพียงมิได้ปล่อยลมปราณทำให้นางตายก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างถึงที่สุดแล้ว นางควรที่จะสำนึกในบุญคุณเสีย!
อีกอย่างหนึ่ง ในตระกูลของพวกนางก็มีป้า ๆ ซึ่งทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์อยู่แล้ว ระหว่างการจับคนที่นี่ไปสืบพันธุ์ กับการตั้งใจรับใช้ลู่หยวนอย่างดี แล้วให้อีกฝ่ายประทานชายหนุ่มมาให้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว…
ดูเหมือนว่าการรับใช้ชายผู้นี้จะสบายกว่าเสียอีก เพราะการไล่จับคนของนางนั้นไม่แน่ไม่นอน อาจพลั้งพลาดทำให้ทั้งตระกูลต้องจบเห่เอาได้
อย่างเช่น ลู่หยวน เป็นต้น
แต่หากทำหน้าที่ให้ดี รอรับรางวัล ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างออกไป!
ถึงเวลานั้น นางก็จะสามารถเลือกเองได้อย่างเต็มที่!
นี่มันเป็นการได้เปรียบอยู่เห็น ๆ !
หญิงสาวรีบทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลู่หยวน “ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่าน ชั่วชีวิต ชั่วกัลปาวสาน!”
ลู่หยวนเปล่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็ส่งยันต์ไปที่จิตเทวะของหญิงสาวโดยตรง
แสงสว่างวาบขึ้น กลิ่นอายของปีศาจแผ่ซ่านออกมาพร้อมกับเสียงของระบบที่ดังขึ้น และหญิงสาวก็ได้กลายเป็นหนึ่งในบริวารของลู่หยวน!
หญิงสาวก็รับรู้เช่นกันว่า เมื่อถูกฝังยันต์ก็เหมือนกับการเป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์ของลู่หยวนแล้ว
ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้า เอ่ยออกไปเบา ๆ ว่า “ขอท่านโปรดประทานนามให้ข้าด้วย!”
หญิงสาวมีความปรารถนาต่อชื่อของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่าจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่สามารถตั้งได้ตามใจชอบ แต่ความหมายของมันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ท่ามกลางดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของหญิงสาว ลู่หยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตกผลึกได้
“เจ้าเป็นผู้ใช้มังกร อีกทั้งยังเป็นสตรี ข้าจึงจะเรียกเจ้าว่า… หลงอ้าวเทียน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก็ได้ทวนวาจาของลู่หยวน “หลงอ้าวเทียน…เพราะดี! เหมาะสมเป็นที่สุด!”
หลงอ้าวเทียนดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็คำนับขอบคุณลู่หยวนอีกครั้ง จึงเอ่ยต่อว่า “ท่านผู้เป็นใหญ่ เผ่าพันธุ์ของข้ากำลังเสื่อมถอยลงแล้ว ในตอนนี้ รุ่นปัจจุบันก็มีจำนวนไม่มาก รวมข้าก็เพียงสามคน เวลานี้พวกนางทั้งสองก็ใกล้จะสิ้นใจแล้ว ขอให้ท่านโปรดเมตตา ช่วยชีวิตพวกนางเถิด! ให้พวกนางได้รับใช้ท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
ลู่หยวนรำลึกไปครู่หนึ่ง อีกสองคนก็เป็นสตรีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะห่อคลุมด้วยหนังสัตว์ แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนั้นมีรอยแผลเป็นเกรอะกรังอยู่ทั่วร่าง ลมปราณภายในก็ปั่นป่วน ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนล้มลงมาอย่างแรง!
“พวกนางบาดเจ็บร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ลู่หยวนเอ่ยปากถาม ตามเหตุผลแล้วคนกลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ มีวิญญาณแห่งมังกรหยวนคอยปกปักรักษาจะได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น บาดแผลที่ได้รับยังสาหัสถึงชีวิตอีกด้วย?
หลงอ้าวเทียนเล่าว่า “ท่านคงยังไม่ทราบ พวกข้ามีอาวุธชิ้นหนึ่ง เวลาที่จะเลือกว่าใครจะเป็นผู้นำตระกูล ทุกคนจะต้องไปจับอาวุธชิ้นนั้น ใครที่จับได้ถึงสามลมหายใจ ก็จะได้เป็นผู้นำในทันที”
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราทั้งสามคนเตรียมจะผลัดกันไปลองจับดู ทว่าพวกนางสองคนจับไปได้ไม่ถึงสามลมหายใจด้วยซ้ำ ข้าเห็นพวกนางเป็นเช่นนี้จึงไม่กล้าลอง”