ตอนที่ 1247 ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
ต้าโจวเพิ่งยึดต้าเหลียงมาได้ภายหลัง พวกเขาไม่เคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของต้าโจวมาก่อน ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าตอนนี้ยังมีขุนนางและคนตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ยอมจำนนต่อต้าโจว บัดนี้นางเคลื่อนย้ายทหารที่คุ้มกันต้าเหลียงไปยังชายแดนต้าเยี่ยน คนที่ไม่ยอมจำนนต่อต้าโจวของต้าเหลียงอาจก่อเรื่องขึ้นได้
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ต่งชิงผิงพยักหน้า เขากังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
“อีกเรื่องฝากใต้เท้าทั้งสามลอบกระจายข่าวเรื่องที่ข้าได้รับรายงานว่าแผนการที่รู้กันเพียงต้าโจวและต้าเยี่ยนถูกต้าเยี่ยนปล่อยข่าวให้ซีเหลียงจนทำให้คุณชายห้าและคุณหนูเจ็ดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและเรื่องที่ข้ากำลังจะเดินทางไปยังซีเหลียงทั้งที่เพิ่งคลอดลูกออกมาให้ด้วย” แววตาของไป๋ชิงเหยียนมุ่งมั่นและชัดเจน “จากนั้นเพิ่มความเข้มงวดในเมืองหลวง ให้หน่วยตรวจสอบตรวจสอบคนที่เดินทางออกไปยังเมืองหลวงทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยก่อนหน้านี้ ครั้งนี้พวกเราต้องจับสายลับของต้าเยี่ยนและซีเหลียงที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงของเราให้ได้ทั้งหมด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลู่ไท่เว่ยรับคำ
“มีอีกเรื่องที่ข้าอยากให้ใต้เท้าทั้งสามรับรู้เอาไว้ แม้ครั้งนี้อาอวี๋จะถูกซีเหลียงจับตัวไปเพราะคนของต้าเยี่ยนสมคบคิดกับซีเหลียงจริง ทว่า อาอวี๋รู้เรื่องนี้ดีและจงใจซ้อนแผนพวกเขาเพื่อที่จะเข้าไปเปิดประตูเมืองอวิ๋นจิงให้กองทัพต้าโจว ลดอัตราการบาดเจ็บและสูญเสียของกองทัพต้าโจวลง ส่วนที่ข้าให้ทหารยกทัพไปประชิดชายแดนของต้าเยี่ยนก็เพื่อปูทางสำหรับการรวมรวบใต้หล้าให้เป็นหนึ่งหลังพวกเรายึดเมืองอวิ๋นจิงได้สำเร็จ!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวทุกถ้อยคำออกมาด้วยเสียงหนักแน่น ตอนที่กล่าวถึงคำว่ารวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง…เลือดในกายของชายชราอย่างหลู่ไท่เว่ยร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ใช่แล้ว นี่แหล่ะคือจักรพรรดินีแห่งต้าโจวของพวกเขา!
ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากก็ยังไม่ลืมปูทางสำหรับแผนการในวันข้างหน้า ฝ่าบาทของพวกเขาไม่เคยลืมการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งแม้สักวันเดียว
เมื่อเสิ่นซือคงเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบคอบจึงวางใจลง ดูเหมือนว่าฝ่าบาทของเขาจะไม่ใช่คนใจร้อนวู่วามหรือเสียสติเพียงเพราะความโมโหชั่ววูบจริงๆ
“ฝากหลู่ไท่เว่ยจัดการเรื่องอื่นๆ ในราชสำนักด้วย หลู่ไท่เว่ยสามารถปรึกษาไทเฮาได้ทุกเรื่อง หากเป็นเรื่องด่วนที่รอการอนุมัติจากข้าที่ซีเหลียงไม่ได้ หากไทเฮาอนุญาตก็สามารถลงมือทำได้…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” หลู่ไท่เว่ยรับคำ
“ดี เช่นนั้นข้าขอฝากเรื่องในเมืองหลวงไว้กับใต้เท้าทั้งสามคนด้วย โดยเฉพาะเรื่องการสอบชุนเหวย จงรับสตรีที่มีความสามารถเข้ามาเป็นขุนนางให้มาก ให้ชาวบ้านรับรู้ว่าการอนุญาตให้สตรีเข้ารับการศึกษาและสอบเข้ารับราชการของข้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อีกเรื่องให้พวกต่งฉางหยวนช่วยกันคิดกฎหมายรองรับสตรีที่จะเข้ามาเป็นขุนนางในด้านต่างๆ เช่น การแต่งงานของสตรี การคลอดลูกหรือการอยู่ไฟออกมาให้ข้าทีว่าหากเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นขุนนางฝ่ายใดจะมารับผิดชอบเรื่องพวกนี้แทนสตรีเหล่านี้ชั่วคราว”
“ยังมีเรื่องหน้าที่และบทบาทของสตรีหลังเข้ามาเป็นขุนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับฝ่าบาทหลังฝ่าบาทเสด็จกลับมาเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” หลู่ไท่เว่ยกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงเย็น “บุรุษทำหน้าที่ใดได้สตรีก็ทำหน้าที่นั้นได้ ให้บุรุษและสตรีมีบทบาทเช่นเดียวกันไปก่อน พยายามอย่าเพิ่งแยกบุรุษและสตรี หากพบปัญหาใดค่อยมาปรึกษากันภายหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลู่ไท่เว่ยรับคำ
“ข้ามีเรื่องจะกล่าวเพียงเท่านี้ หากหลังจากนี้มีปัญหาใดพวกเราค่อยปรึกษากันภายหลัง” ไป๋ชิงเหยียนประมวลผลในสมองอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่นแล้วจึงกล่าวกับใต้เท้าทั้งสาม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ใต้เท้าทั้งสามทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเดินลงจากรถม้าของไป๋ชิงเหยียน
ต่งชิงผิงมองไป๋ชิงเหยียนอย่างอึกอัก ทว่า สุดท้ายกล่าวกำชับเพียง “ดูแลตัวเองให้ดี! ร่างกายของเจ้าไม่ได้ทำด้วยเหล็ก! ตอนนี้รู้แล้วว่าอาอวี๋ซ้อนแผนซีเหลียงเจ้าจึงทำไปตามน้ำ ทว่า เจ้าต้องคิดถึงตัวเองให้มาก อย่าเร่งเดินทางเร็วนัก หากเจ้าไม่สบายใจก็ส่งจดหมายไปบอกให้น้าชายของเจ้าที่อยู่เติงโจวเดินทางไปซีเหลียงก่อน ตอนนี้หรงตี๋ตกเป็นของต้าโจวแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังทางนั้นตลอดเวลา”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านลุง” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้ต่งชิงผิง นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจทันที
ต่งชิงผิงถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นลงไปจากรถม้า เขาโค้งกายส่งรถม้าของไป๋ชิงเหยียนจากไปอย่างนอบน้อมพร้อมกับหลู่ไท่เว่ยและเสิ่นซือคง
เมื่อครู่ตอนอยู่ในรถม้าเขาคือลุง ทว่า ตอนนี้เขาคือขุนนาง
เมื่อรถม้าของไป๋ชิงเหยียนจากไปไกลหลู่ไท่เว่ยจึงหยัดกายขึ้นพลางกล่าว “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ร่างกฎหมายรองรับสตรีที่เข้ามาเป็นขุนนาง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนของพวกเรา”
“แม้ต่งฉางหยวนจะเป็นชายหนุ่มเลือดร้อนและมีสติปัญญา ทว่า เขายังเด็กอยู่มาก ให้ตาแก่เจ้าเล่ห์อย่างหลู่จิ้นคอยช่วยสอนน่าจะดี หลู่จิ้นผู้นี้ฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก!” เสิ่นซือคงกล่าว
ต่งชิงผิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แม้หลู่ไท่เว่ยอยากเสนอบุตรชายของตัวเอง ทว่า หลู่ไท่เว่ยต้องยอมรับว่าหลู่จิ้นเก่งและแกร่งกว่าหลู่จิ่นเสียนบุตรชายของเขามาก
ตอนนี้หลู่ไท่เว่ยควรพิจารณาที่จะดันหลู่จิ้นออกมาเพื่อฝึกฝนไท่เว่ยที่ดีคนต่อไปให้ไป๋ชิงเหยียนและต้าโจว เรื่องในครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบหินระหว่างหลู่จิ้นและต่งฉางหยวน
จวนไป๋ในเมืองหลวง
วันที่สองหลังจากที่ไป๋ชิงเหยียนเดินทางไปยัง ‘ซีเหลียง’ มีข่าวออกมาจากวังหลวงว่าองค์หญิงน้อยอาเจียนนมออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้องค์ชายน้อยอาเจียนตามด้วย ไทเฮาตามโหรหลวงมาสอบถาม นางเล่าว่านางฝันกลางวันมาสามวันติดว่าชาวบ้านนอกวังหลวงลือกันว่าตอนที่องค์ชายและองค์หญิงประสูติออกมามีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจวนไป๋ นางถามโหรหลวงว่าความฝันนี้เกี่ยวข้องกับการอาเจียนขององค์ชายและองค์หญิงหรือไม่
โหรหลวงเป็นคนมีไหวพริบ เขาตอบไทเฮาว่าจวนไป๋คือสถานที่ที่ฝ่าบาทเคยประทับ เป็นที่ที่มีพลังและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในเมืองหลวง ไทเฮาสามารถพาองค์ชายและองค์หญิงไปเลี้ยงที่จวนไป๋ได้
ไทเฮาพอใจกับคำตอบของโหรหลวงมาก นางเรียกหลู่ไท่เว่ย เสิ่นซือคงและต่งซือถูมาพบและเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด ทั้งสามคนให้ความสำคัญกับสุขภาพขององค์ชายและองค์หญิงเป็นหลัก ที่พักเป็นสิ่งสำคัญรองลงมาเท่านั้น
ทว่า พวกเขาต้องช่วยกันปิดบังเรื่องที่ไทเฮาพาองค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยไปเลี้ยงที่จวนไป๋ไว้เป็นความลับ
ทว่า เรื่องในราชวงศ์ถือเป็นเรื่องของราชสำนักเช่นเดียวกัน ข่าวนี้รู้ไปถึงหูของเสนาบดีทั้งหกกรมในไม่ช้า
เมื่อหลู่จิ้นรับรู้ข่าวนี้จึงลูบเคราของตัวเองอย่างใช้ความคิด ทันใดนั้นเขาคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออกทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว ฝ่าบาทคงไม่ได้เสด็จไปยังซีเหลียงจริงๆ คงแค่เดินทางออกไปจากเมืองและลอบกลับเข้ามาอีกครั้ง
ไทเฮาจะพาองค์ชายและองค์หญิงกลับมาพักที่จวนไป๋ ทุกคนในจวนไป๋จึงยุ่งวุ่นวายขึ้นมาทันที
ชุนเถา ชุนจือ หลูผิงและเว่ยจงกำลังเดินทางไปซีเหลียงอย่างไม่รีบร้อน
เว่ยจงมีหน้าที่อื่นที่ต้องไปทำที่ซีเหลียง เขาให้ชุนเถา ชุนจือและหลูผิงตามมาด้วยเพื่อความไม่ประมาทเท่านั้น
หลังจากไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองราชย์นางไม่ได้กลับมาที่เรือนชิงฮุยเลย
เรือนชิงฮุยยังคงเหมือนเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลยสักนิด
ไป๋ชิงเหยียนนั่งเอนกายพิงหัวเตียงพลางอุ้มบุตรสาวไว้ในอ้อมกอด นางสวมหมวกกันลมที่มารดาบังคับให้นางสวมตลอดเวลา