ตอนที่ 1257 หวาดระแวง
ดวงตาดำเปล่งประกายของไป๋จิ่นเซ่อมองไปทางสัมภาระที่ชายผู้นั้นใช้หนุนศีรษะอยู่ ย่ามใบนั้นยังมีอาหารแห้งเหลืออยู่ ชายผู้นั้นเหลือไว้ให้ลูกชายที่อายุห้าหกขวบของตัวเองกิน เขาและภรรยาแทบไม่ได้แตะต้องของในนั้นเลย
เท่าที่ไป๋จิ่นเซ่อสังเกตดูสองสามีภรรยาแทบไม่ได้กินอาหารแห้งแล้ว พวกเขาให้ลูกชายของพวกเขากินอาหารแห้งวันละสองครั้ง ทว่า ตอนนี้ลดเหลือวันละครั้งแล้ว แสดงว่าอาหารแห้งของพวกเขาใกล้จะหมดแล้ว
หากอาหารแห้งของพวกเขาหมดลง หากเบื้องหน้าไม่มีใบไม้ใบหญ้าหลงเหลืออยู่แล้ว คราวนี้คงถึงตาของนางแน่นอน
ทว่า นางจะตายไม่ได้!
หากนางตายท่านแม่ พี่หญิงใหญ่และบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ต้องเสียใจแน่นอน
โดยเฉพาะพี่ชายห้า…เขาต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ เขาเป็นคนพานางติดตามไปออกรบ หากนางหายตัวไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซากศพพี่ชายห้าจะรับไหวได้อย่างไรกัน
นางต้องรอด นางต้องรอดกลับไปให้ได้!
แม้ไม่ทำเพื่อตัวเองนางก็ต้องทำเพื่อทุกคนในครอบครัวของนาง!
ตระกูลไป๋สูญเสียคนในครอบครัวไปมากแล้ว พี่หญิงใหญ่บอกว่านางไม่สามารถสูญเสียผู้ใดไปได้อีกแล้ว
ไป๋จิ่นเซ่อคำนวณระยะทางอยู่ในใจว่านางจากเมืองอวิ๋นจิงมาไกลเท่าใดแล้ว นางกำลังคำนวณว่าตอนนี้ต้าโจวหรือต้าเยี่ยนยึดเมืองอวิ๋นจิงได้แล้วหรือไม่
นางจะเดินทางไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากเดินต่อไปนางต้องไกลจากเมืองอวิ๋นจิงและค่ายทหารต้าโจวไปเรื่อยๆ แน่นอน
ไป๋จิ่นเซ่อเงยหน้าขึ้น นางมองเห็นเด็กชายร่างผอมโซอายุประมาณแปดเก้าขวบถูกมัดเช่นเดียวกับนาง อยู่ไม่ไกลออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะหิวโซเหมือนนางเช่นเดียวกัน
เด็กชายผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่ ดวงตาสีดำสนิทของเขาสะท้อนแสงไฟจากกองไฟที่ใกล้จะมอดดับลงจนมองเห็นอย่างริบหรี่ แววตาของเขาดุดันราวกับต้องการสังหารคนรอบข้างให้สิ้น ลึกลงในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ไป๋จิ่นเซ่อหันหน้าหนีไปทางอื่น ทันใดนั้นนางเหลือบเห็นเศษกระเบื้องของชามที่แตกอยู่บนกองฟาง นางก้มลงมองความยาวของเชือกที่มัดตัวนางอยู่ นางขยับเข้าไปใกล้กองฟาง จากนั้นหันหลังใช้มือที่ยังพอขยับได้หยิบเศษกระเบื้องที่แตกขึ้นมา มือของนางถูกกระเบื้องบาดจนเป็นรอยหนึ่งแผล
เมื่อไป๋จิ่นเซ่อหยิบเศษกระเบื้องแตกขึ้นมาได้จึงรีบใช้มันตัดเชือกที่รัดตัวนางให้ขาดอย่างรวดเร็ว ทว่า นางไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้วจึงไม่ค่อยมีแรงสักเท่าใดนัก มือที่ถือเศษกระเบื้องสั่นระริก เชือกยังไม่ทันขาดมือของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเลือดแล้ว
ไป๋จิ่นเซ่อกลั้นลมหายใจแน่น นางกัดฟันกรอด นี่คือช่วงความเป็นความตาย ไป๋จิ่นเซ่อสามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้ทุกรูปแบบ
บางทีอาจเป็นเพราะอดอยากมาหลายวันแล้ว ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดจึงน้อยลงด้วย เศษกระเบื้องบาดโดนมือของนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่า ไป๋จิ่นเซ่อไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่งร่างทั้งร่างของไป๋จิ่นเซ่อโชกไปด้วยเหงื่อ ทว่า เชือกยังไม่ขาดออกจากกันเสียที
ไป๋จิ่นเซ่อตัดเชือกพลางคิดอยู่ในใจว่าตอนนี้คือเวลากลางคืน เป็นช่วงที่คนหลับสนิทที่สุด ขอเพียงนางถือโอกาสหลบหนีไปได้ ต่อให้ร่างกายของนางอ่อนแอเพียงใดก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้!
ตอนนี้ไป๋จิ่นเซ่อสัมผัสได้ว่าเด็กผู้ชายที่เหมือนลูกหมาป่าผู้นั้นกำลังจ้องมาที่นางเขม็ง!
ไป๋จิ่นเซ่อคิดได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคงตกเป็นอาหารของคนซีเหลียงพวกนี้เช่นกัน นางช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่คิดสงสารเขาในเวลาที่ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเช่นนี้ ไป๋จิ่นเซ่อปลอบตัวเองว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมองมาที่นางอยู่ หากนางหนีไปคนเดียวโดยปล่อยเขาเอาไว้ หากเขาตะโกนขึ้นมานางคงหนีไปไม่รอดแน่
เมื่อรู้สึกหลวมที่มือไป๋จิ่นเซ่อจึงรู้ทันทีว่านางทำสำเร็จแล้ว สาวน้อยไม่มีเวลาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง นางทำนิ้วมือส่งสัญญาณให้เด็กชายคนนั้นเงียบเสียง นางใช้มือยันกำแพงลุกขึ้นยืนด้วยความอ่อนแรง จากนั้นกำเศษกระเบื้องเดินตรงไปหาเด็กชายผู้นั้น
เด็กชายเหมือนจะรู้ว่าไป๋จิ่นเซ่อกำลังจะไปช่วยเขา เขาจึงยอมอยู่นิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
ไม่นานไป๋จิ่นเซ่อก็ตัดเชือกที่มัดตัวเด็กชายผู้นั้นไว้ขาดสำเร็จ
ทั้งๆ ที่หิวโซมานานเหมือนกัน ทว่า เด็กชายคนนั้นกลับว่องไวราวกับหมาป่าจนไป๋จิ่นเซ่อตามไม่ทัน
เด็กชายจ้องไปทางสัมภาระที่ชายผู้นั้นใช้นอนหนุนศีรษะอยู่เขม็ง จากนั้นค่อยๆ ดึงสัมภาระใบนั้นออกมาจากศีรษะของชายผู้นั้นอย่างระมัดระวัง
แววตาที่ไป๋จิ่นเซ่อใช้มองเด็กผู้ชายคนนั้นขรึมลงทันที นางใจเต้นรัวอย่างคุมไม่ได้ นางช่วยเขาออกมาแล้ว ทว่า เด็กคนนั้นกลับเลือกที่จะกลับไปขโมยเสบียงของคนเหล่านั้นเอง เขาไม่รีบหนีไป ทว่า เลือกย้อนกลับไปตายอีกครั้งเอง ไป๋จิ่นเซ่อรีบวิ่งหนีออกไปจากวัดร้างอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
ไป๋จิ่นเซ่อเดินไปถึงหน้าประตูวัดร้าง ชายคนที่นอนหนุนสัมภาระอยู่ลืมตาขึ้น เขากระชากแขนของเด็กชายผู้นั้นพลางตวาดเสียงดัง “เจ้าคิดจะทำอันใด!”
เสียงตะโกนของเขาทำให้คนส่วนใหญ่ที่นอนอยู่ในวัดร้างสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
ไป๋จิ่นเซ่อที่เดินออกไปจากวัดร้างสำเร็จเกาะขอบกำแพงพลางหายใจอย่างเหนื่อยหอบ คนตื่นขึ้นมาหมดแล้วนางต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้
เด็กชายซึ่งยังอยู่ในวัดกอดสัมภาระใบนั้นแน่น เขาก้มหน้ากัดแขนของชายผู้นั้นอย่างแรง
ชายผู้นั้นผุดลุกขึ้นยืนพลางสะบัดแขนออกจากเด็กชายอย่างแรง เขากระชากสัมภาระที่มีอาหารแห้งอยู่ด้านในกลับมาจากมือของเด็กชาย จากนั้นกระทืบร่างผอมโซของเด็กอย่างแรง จากนั้นเหยียบเท้าลงบนหน้าอกของเด็กชายด้วยความโมโห เสบียงเหล่านี้คือทางรอดของลูกชายเขา เขาจะปล่อยให้เด็กเดรัจฉานผู้นี้ขโมยมันไปได้อย่างไร!
“ย่ามใบนั้นมีอาหารแห้งอยู่!”
ภาษาซีเหลียงที่ไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้นกลางวัดร้าง ดวงตาทุกคู่ของชาวบ้านเร่ร่อนของซีเหลียงจ้องไปยังสัมภาระในอ้อมกอดของเด็กชายทันที
อย่าว่าแต่อาหารแห้งธรรมดาเลย ตอนนี้ชาวบ้านในวัดร้างแห่งนี้กินได้แม้กระทั่งท่อนไม้หรือใบหญ้าแห้งด้วยซ้ำ ตอนนี้ผู้ใดยังมีอาหารแห้งซ่อนอยู่จะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกเขาทันที
ชายที่กำลังใช้เท้าเหยียบหน้าอกของเด็กชายร้อนรนขึ้นมาทันที ภรรยาของเขาอุ้มลูกชายไปหลบอยู่ทางด้านหลังชายผู้นั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พ่อเอ้ย…”
“ผู้ใดกล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ ครอบครัวของข้าเดินทางมากับทุกคนตลอดทาง ทุกคนไม่เห็นตอนข้ากินเปลือกไม้ใบไม้อย่างนั้นหรือ หากข้ามีอาหารแห้งเหลือจริงเหตุใดต้องทนทรมานเช่นนี้ด้วย!” ชายผู้นั้นตะโกนเสียงดังลั่น
“มีหรือไม่มี เจ้าให้พวกข้าตรวจดูของด้านในย่ามก็รู้แล้ว!”
“นั่นสิ หากไม่มีเจ้าก็เทของในย่ามออกมาให้พวกเราดูสิ!”
ชาวบ้านกล่าวพลางขยับเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นละเท้าออกจากหน้าอกของเด็กชาย จากนั้นพาภรรยาและบุตรชายถอยหลังหนีไปพร้อมสัมภาระในมือ ทว่า ด้านหลังคือกำแพง พวกเขาหนีไม่มีที่ให้ถอยหนีแล้ว
ทันใดนั้นเด็กชายลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปกระชากสัมภาระของชายผู้นั้น อาหารแห้งหล่นกระจายเต็มพื้น
“อาหารแห้ง…”
“อาหารแห้ง!”
“เข้าไปแย่งเร็ว!”
ภายในวัดร้างโกลาหลขึ้นทันที ชาวบ้านลี้ภัยของซีเหลียงต่างกรูกันเข้าไปเก็บเสบียงอาหารที่หล่นอยู่บนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต ผู้ชายบางคนลงมือทำร้ายผู้ชายคนนั้น จากนั้นแย่งสัมภาระของครอบครัวนั้นมา ชายคนนั้นแกว่งไม้กระบองซึ่งหยิบมาจากที่ใดไม่รู้ไปทั่วเพื่อปกป้องลูกและเมียของตัวเอง
เมื่อเห็นท่าทีของผู้ชายคนนั้น เมื่อชาวบ้านคนอื่นที่หิวจนตาลายและไม่ได้เข้าไปแย่งอาหารตั้งแต่ทีแรกเห็นว่ามีชาวบ้านบางส่วนแย่งเสบียงอาหารมาได้แล้วจึงเข้าไปร่วมวงด้วยทันที