บทที่ 1127 ฆ่าจินโหย่วกุ้ย
บทที่ 1127 ฆ่าจินโหย่วกุ้ย
ครั้นถานเย่สิงได้ยินเรื่องร้องทุกข์ของเหล่าชาวประชา เขามองไปยังจินโหย่วกุ้ยที่ยังไม่สำนึก และยังคงใช้เล่ห์เหลี่ยมข่มเหงผู้อื่น จึงตะเบ็งเสียงดังลั่น “พวกเราชายชาติทหาร อย่าได้หวั่นเกรงการนองเลือด การเสียสละต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ ในสนามรบเราต้องปกป้องผู้คนของเราจากความทุกข์ยากของสงคราม แต่ว่าท่านนั้นโชคดีมากที่ได้กระทำสิ่งชั่วร้าย ทำร้ายผู้คนภายใต้หล้าอันสงบสุขและรุ่งเรืองเช่นนี้ ฮ่องเต้มักพูดเสมอว่าในอาณาจักรดำรงอยู่ได้ด้วยประชาชน และเรื่องราวของประชาชนนับได้ว่าเป็นเรื่องของราชสำนัก หากวันนี้ข้าไม่ได้มาตามหาหลานสาวที่เมืองรุ่ยเสียน เกรงว่าองค์ฮ่องเต้จะไม่มีทางรู้ว่าดินแดนอันสงบสุขและรุ่งเรืองที่โหยหามาเนิ่นนาน จะถูกเจ้าหนูสกปรกอย่างเจ้ามารบกวน”
จินโหย่วกุ้ยตื่นตระหนก เขาทรุดตัวลงคลุกเข่าร้องอ้อนวอน “ท่านแม่ทัพ โปรดอภัยให้ข้าด้วย โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
“ผิดไปแล้ว?” ถานเย่สิงถูกชาวบ้านขนานนามว่าเทพแห่งสงคราม และถูกศัตรูขนามนามว่าปีศาจ ถึงอายุของเขาจะไม่น้อยแล้วและแม้ว่าเขาจะปลดอาวุธเกษียณตนจากชุดเกราะแล้ว แต่เขาที่เป็นทหารมาครึ่งชีวิต สุขภาพร่างกายของเขาจึงยังแข็งแรงอยู่
ประชาชนคือชีวิตของเขา เขายอมสละคนส่วนน้อยเพื่อปกป้องคนส่วนมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่รังแกชาวบ้าน เขาจะปล่อยมันได้อย่างไร
ในขณะนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เขาดึงดาบคมกริบออกมาจากข้างกายของทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา แล้วชี้ไปที่จินโหย่วกุ้ยพลางสาปแช่งด้วยความโกรธเคือง “ข้าไม่เคยฆ่าประชาชน แต่ข้าไม่มีความเมตตาต่ออาชญากร จินโหย่วกุ้ย อาชญากรรมนับไม่ถ้วนที่เจ้าก่อมีมากมายเกินกว่าจะร้องเรียนได้ วันนี้เพื่อฮ่องเต้ ข้าจะกำจัดคนพาลอย่างเจ้าเสียให้สิ้น”
จินโหย่วกุ้ยมองดาบที่สะท้อนแสงเย็นวาบพุ่งตรงมาตนเอง เขาหวาดกลัวจนตัวสั่นและปัสสาวะออกมาเจิ่งนอง เขาหลับตาลงและตะโกนเสียงดัง “ถานเย่สิง ข้าเป็นแขกของหมิงอ๋อง ท่านไม่สามารถฆ่าข้าได้ หากท่านปลิดชีพข้า ไม่กลัวว่าหมิงอ๋องจะหันมาต่อต้านท่านหรือ”
การใช้สถานะของหมิงอ๋องมาแอบอ้างของจินโหย่วกุ้ยเพื่อปราบปรามถานเย่สิงเป็นกลยุทธ์สุดท้ายแล้ว
นอกจากนี้ เขายังรู้อยู่แก่ใจด้วยว่าสำหรับถานอวี้ซูที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งได้รับการความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ และถูกเลี้ยงดูโดยไทฮองไทเฮา รวมทั้งแม่ทัพใหญ่ระดับสอง การที่แอบอ้างหมิงอ๋องเพื่อช่วยเขามันเป็นเพียงความฝัน
อย่างไรก็ตาม จินโหย่วกุ้ยจะยอมตายง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ตระกูลจินมีกิจการขนาดใหญ่ ดังนั้นจะเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใบหน้าของจินโหย่วกุ้ยก็ยิ่งอัปลักษณ์มากขึ้น
เขายังตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ ถ้าเขาซื้อเวลาได้เล็กน้อย แม้จะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหมิงอ๋องช่วยเขาได้จริง ๆ
เขาก็ยอมทุกอย่าง
เขายังมีหมิงอ๋องเป็นพรรคพวก
ครั้นถานเย่สิงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่าตนเองควรจะหวาดกลัวหมิงอ๋อง เขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ข้าจะกลัวหมิงอ๋องต่อต้านอย่างนั้นหรือ ฮ่า ๆๆ ในสนามรบ ข้าถานเย่สิงไม่เคยพูดว่ากลัวไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน”
เมื่อเห็นว่าถานเย่สิงไม่ได้สนใจหมิงอ๋อง จินโหย่วกุ้ยก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็เห็นถานเย่สิงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับถือดาบไว้ในมือ หัวใจของจินโหย่วกุ้ยก็เต้นระรัว
เมื่อเห็นถานเย่สิงเดินอย่างสุมเข้ามาอย่างมาดร้าย ผู้คนโดยรอบจึงกรูเข้าไปหาจินโหย่วกุ้ยด้วยท่าทางโกรธ ราวกับว่าพวกเขาต้องการฆ่าจินโหย่วกุ้ย
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก “เขาคือเทพแห่งสงคราม เขาคือแม่ทัพถาน”
ความเงียบงันพลันเกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ทัพถานเป็นเทพแห่งสงครามจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่าเทพแห่งสงครามเป็นวีรบุรุษและเต็มไปด้วยความไม่ธรรมดา สวรรค์ ข้าได้เจอเทพแห่งสงครามจริง ๆ!”
“เทพแห่งสงคราม เทพแห่งสงคราม” เมื่อได้ยินว่าชายอายุหกสิบปีที่อยู่ต่อหน้าเขาคือแม่ทัพถาน เทพแห่งสงคราม ผู้คนล้วนตะเบ็งเสียงยกย่องอีกฝ่าย
เกิดสถานการณ์วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง และเป็นเวลาเกือบหกหรือเจ็ดปีแล้วที่ถานเย่สิงสละชุดเกราะ หากแต่ชื่อเสียงของเขายังคงดังก้องไปทั่วอาณาจักรต้าชิง
วีรกรรมของเขาเป็นที่พูดถึงของผู้คนมากยิ่งขึ้น
อะไรคือวีรบุรุษ เพื่อปกป้องต้าชิง ปกป้องประชาชน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อความมั่นคงของต้าชิง ท้ายที่สุดจึงมีการเรียกคนที่ทำงานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนว่าเทพแห่งสงคราม
ผู้คนมากมายในเมืองรุ่ยเสียนเคยได้ยินชื่อเสียงของเทพแห่งสงครามมาก่อน ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นตัวจริง เลือดของพวกเขาก็เดือดพล่านยิ่งกว่าเดิม
ถ้าไม่ใช่เพราะทหารบนหลังม้าที่หยุดกลุ่มคน สถานการณ์นี้คงควบคุมไม่ได้
ถานเย่สิงรู้สึกประทับใจเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของกลุ่มคน
คนเหล่านี้คือประชาชนของอาณาจักรต้าชิงที่เขาและทหารต่างทุ่มเทเพื่อที่จะปกป้องประชาชน ตอนนี้เขาว่างมือมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว หากแต่ผู้คนก็ยังคงจดจำเขาได้
ถานเย่สิงไม่เคยสนใจชื่อเสียงภายนอก แต่การสรรเสริญของผู้คนทำให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทำนั้นคุ้มค่า
รวมทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ที่จากไป พวกเขาทั้งหมดสละชีวิตเพื่อปกป้องอาณาจักรต้าชิงและชาวประชา
ถานเย่สิงกวาดสายตามองผู้คนที่โห้ร้องอย่างตื่นเต้น จึงโบกมือและพูดด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม “ประชาชนทั้งหลาย ข้าถานเย่สิงอยู่ในกองทัพเพียงเพื่อความปลอดภัยของประชาชน แต่ตอนนี้มีเศษสวะปรากฏตัวอยู่ในเมือง และทำให้ทุกคนมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นใจ นี่คือการละเลยต่อหน้าที่ของอาณาจักรต้าชิง แม้ว่าข้าจะวางมือแล้ว แต่ถานเย่สิงก็ยังคงเป็นถานเย่สิง ข้าจะไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายประชาชนไป และฮ่องเต้จะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป”
เมื่อผู้คนได้ยินคำพูด พวกเขาก็ปรบมือและตะโกนว่าให้ฆ่าจินโหย่วกุ้ย
ถานเย่สิงถือดาบตรงมาหาจินโหย่วกุ้ย มองลงไปที่เขาและพูดอย่างเย็นชา “จินโหย่วกุ้ย เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังต้องการพูดอะไรอีกไหม”
ใบหน้าของจินโหย่วกุ้ยซีดเผือดไร้เลือดฝาด ความเย่อหยิ่งได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ตอนนี้ปลายดาบอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่หนึ่งคืบ เขารู้ว่าถ้าถานเย่สิงยื่นมือออกมาเพียงเล็กน้อย ดาบเล่มนั้นจะสามารถปลิดชีพเขาได้ทันที แต่เขายังตายไม่ได้ เขายังตายไม่ได้!
จินโหย่วกุ้ยมองไปที่ใบหน้าของถานเย่สิงที่ดำเหมือนก้นหม้อและร้องไห้ออกมา “แม่ทัพถาน ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้ารู้ว่าข้าผิด ข้ารู้ว่าข้าผิด”
“เมื่อรู้ว่าผิดมันก็สายเกินไป” ถานเย่สิงยกดาบในมือขึ้นและฟันลงไป
เมื่อเห็นว่าถานเย่สิงต้องการฆ่าจินโหย่วกุ้ยให้ตายจริง ๆ ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็ปิดตาสนิท บางคนที่กล้าหาญกว่าก็ลืมตาขึ้นเพื่อดูสถานการณ์ เมื่อเห็นความหวาดกลัวของจินโหย่วกุ้ย พวกเขาต่างก็ปรบมือให้ และรอดูเลือดของคนชั่วสาดกระเซ็น
จินโหย่วกุ้ยได้ทำความชั่วมามากมาย และตอนนี้การที่เขาอยู่ในสภาพนี้ นั่นคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ
———————————————–